[กระทู้แรกของฉัน] แชร์ประสบการณ์บริหารเงินเดือนตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน



    แต่เดิมนั้น ผมเองรับราชการอยู่แถวๆดอนเมือง และใช้ชีวิตในกรุงเทพฯมากว่าสิบปีแล้ว เพื่อกระชับเนื้อความผมขอเริ่มเล่าในช่วงเวลาที่ผมเองกำลังเรียนมหาวิทยาลัยเลย

    สมัยนั้นผมมีรายรับต่อเดือนประมาณไม่เกิน 10k เท่านั้น ด้วยความฝันอยากเรียนให้จบปริญญา กอปรกับไม่ชอบงานราชการอยู่แล้วแต่ที่ทนทำอยู่เพราะเหตุบางประการ จึงหวังไต่เต้าด้วยการ"เรียนสูงๆในสาขาที่ชอบ เพื่อมาทำงานที่ใช่ ในองค์กรที่ชื่นชม" เงินเดือนน้อยๆ ทำงานมาแล้ว2ปีตั้งแต่อายุ 18 เรียบจบ ปวส.แล้ว มันคงถึงเวลาที่จะต้องกำหนดเป้าหมายอะไรสักอย่าง

ผมตัดสินใจกู้เงินก้อนที่สองจากสหกรณ์มาเรียนหนังสือในจำนวนหลายแสน และแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็นส่วนๆคือ
- ค่าใช้จ่ายต่อเทอม เป็นจำนวน 20k 6เทอม
- ซื้อคุณภาพชีวิตให้กับตัวเอง เช่น ตู้เย็น TV พัดลม ตู้เตียงนอน คอมพิวเตอร์ ฯลฯ อะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ซื้อมาให้หมด ของทุกอย่างไม่เน้นยี่ห้อเน้นการใช้งานระยะยาวกว่า 5ปี
- และนำไปใช้อื่นๆ ที่ตัวเองอยากใช้ ประดุจทุบหม้อข้าวเข้าตีเมืองจันท์

เมื่อแล้วเสร็จ ผมมีรายจ่ายต่อเดือนจนทำให้เหลือรายรับสุทธิประมาณ 3,xxx เท่านั้น และแน่นอนว่ามันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปในอีกระยะยาวกว่า 15ปี กระนั้นเองผมทราบในจุดนี้ด้วยจึงตั้งเป้าหมายในชิวิตมหาวิทยาลัยว่า "ฉันจะต้องเรียนให้เก่ง ทุกบาทที่ฉันใช้กับที่นี่จะต้องไม่สูญเปล่า" โดยแบ่งการใช้จ่ายออกมาดังนี้

- ค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ขี่จากดอนเมืองไปพระราม7 วันละ 70บาท ตกเดือนละ 1,500
- ค่าน้ำค่าไฟ จ่ายเดือนละไม่เกิน 400บาท ค่าห้องของหลวงไม่มีค่าใช้จ่าย
- ที่เหลือเป็นค่ากินใช้ จ่ายมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ในส่วนของค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนแยกกัน เพราะกันเงินกู้ไว้ใช้โดยเฉพาะ ไม่ผิดแผนเด็ดขาด ถ้าผิดแผนมีเจ็บ เป็นอย่างงี้ประมาณสามปี รายละเอียดปลีกย่อยไม่ขอกล่าว

    และเป้าหมายของผมก็ประสบความสำเร็จ ผมเรียนจบใช้เวลา 7 เทอม ผลการเรียนอยู่ในกลุ่มบนๆ ความรู้ที่ได้รับอยู่ในระดับที่ทำงานได้เลยทันที นอกเหนือจากมหาลัยก็หาความรู้อื่นเอง ทันทีที่เรียนจบไม่นาน แฟนก็แนะนำให้ลาออกมาทำงานเอกชน ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้เหมือนกัน เริ่มไกล่เกลี่ยขอผ่อนชำระหนี้สหกรณ์ โดนขัดแข้งขัดขาอยู่หลายเดือน จนได้ทำงานที่แรก ในเงินเดือน 17k ทุกวันนี้เงินเดือนมากกว่าทำงานครั้งแรกจะสิบเท่าแล้ว

    หลายคนชอบตั้งกระทู้ถามว่า "เงินเดือน X,xxx จัดการตัวเองกันอย่างไรบ้าง?" "ทำยังไงถึงจะมีเงินเก็บ?" หรือหลายคนก็มักเสนอความคิดย้อนแย้งว่า "ฉันได้รับเงินเดือน 9k ก็จริง แต่ฉันเก็บได้ 3k แต่คนเงินเดือน 20k เก็บได้ 3k เหมือนกัน เราชนะ !!!" (หรอ?) ผมขอแยกประเด็นระหว่าง "คุณภาพชีวิต" กับ "ต้นทุนทางสังคม" ออกจากกันก่อนเพราะมันไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ และผมเองไม่ได้มีเงินเก็บเยอะแยะมากมาย แต่มีอยู่ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ทันที เช่น หุ้นสหกรณ์ กองทุนต่างๆ และอาจจะไปอยู่ในรูปแบบอื่นที่สร้างผลกำไรได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็คิดซะว่ามันเป็น"ทรัพย์สิน" ซึ่งทุกบาททุกสตางค์อาจจะมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างก็ว่ากันไป

    สมมติ มีรายรับ 20k เมื่อเทียบกับตอนมีรายรับ 9k ในอดีตนั้น ถึงแม้จะมีรายได้มากขึ้นแต่ผมก็ยังไม่ได้ตุนเงินสดพร้อมใช้ไว้เลย ถามว่าถ้าเหลือเก็บมันหายไปไหนหมด ก็น่าจะเพราะมาจากการซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการซื้อทรัพย์สินทั้งที่เพิ่มมูลค่าได้บ้างไม่ได้บ้าง จนหมดไม่เหลือสักบาทเดียว

ปอกส้ม


   เพื่อความชัดเจนขอยกตัวอย่างจากกรณีจริง คือมีน้องที่ทำงานคนหนึ่ง เธอนั่งรถเมล์มาทำงานทุกวัน และมาได้เช้ามากจนผมอายตัวเองที่นั่ง BTS ที่ใช้เวลาน้อยกว่า เธอให้เหตุผลว่า ที่เธอยังทำแบบนี้เพราะเธอตื่นเช้าได้ เธอนั่งรถเมล์เธอสามารถพักผ่อนได้โดยเลือกคันที่คนน้อยๆแล้วนอนหลับระหว่างกลับบ้าน ซึ่งในอดีตจะเห็นว่าผมเองก็เคยทำแบบนั้นแต่ปัจจุบันไม่ทำแล้ว เพราะข้อจำกัดมันหายไป ผมเลือกที่จะเอาเงินไปซื้อคุณภาพชีวิต เดินทางโดยรถไฟฟ้าซึ่งกลับมาถึงบ้านและไปทำงานได้เร็ว ไม่ต้องตื่นเช้า แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่เพราะอายุที่มากขึ้นและข้อจำกัดนั้นก็หายไปผมเลือกช่องทางนี้จะเหมาะกว่า ถือคติมีน้อยใช้มากล่มจม มีมากใช้น้อยเสียโอกาส เพราะอย่าลืมว่าองค์ประกอบทุกอย่างที่เราเป็น เกี่ยวเนื่องกับทุกๆอย่างในกิจวัตรประจำวัน

    ในส่วนของการลงทุนผมก็เลือกลงทุนต่างๆไปโดยที่ไม่ได้ไปจดจ่ออยู่กับผลกำไรมันเสียเท่าไหร่ เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นปัจจัยที่ทำให้เสียสมาธิในการลงทุนอย่างมาก ก็เอาเงินไปลงหุ้นสหกรณ์รายเดือนไปเลย ส่งประกันไปเลย เอาไปลงLTF RMFไปเลย [เน้นประหยัดภาษี] แล้วคิดซะว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน ถ้ามีเงินสดถูกตุนไว้ก็จะคิดว่า เอาไปทำอะไรดีตลอดเวลา ซื้อทองดีหรือเปล่า ซื้อกองทุนเพิ่มดีไหม? หรือซื้อหุ้นปันผลตัวไหนดี เห็นไหมว่าไม่มีเงินสดตุนไว้เลย ยอมรับด้วยว่าตอนนี้ก็ยังทำอะไรๆไม่ครบถ้วนเท่าไหร่ตามที่วางแผนไว้ แต่ก็จะทำแบบนี้ต่อไป เชื่อไหมว่า พอผลตอนแทนมันออกมา บางทีเราจะงงๆด้วยซ้ำว่า เงินนี้มาจากไหน เท่านี้แหละ คนข้างๆที่ไม่ได้ทำอะไรเลยอาจจะมองว่าเรารวยไปแล้วก็ได้ (ทั้งๆที่จริงๆก็จนนะ ฮา)



"ถ้าการประหยัดมันยากมาก ก็ไม่ต้องประหยัดหรอกครับ ทำให้การลงทุนเป็นรายจ่ายต่อเดือนไปเลย ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ"


   เคยมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเสนอความคิดเห็นว่า "เมื่อก่อนเงินเดือนเท่านี้ๆอยู่ได้ เดี๋ยวนี้เงินเดือนๆเท่านี้ซึ่งมากกว่าเมื่อก่อนแล้วทำไมขอเพิ่มอีกเพราะอยู่ไม่ได้?" ผมเชื่อว่านั่นอาจเป็นเพราะ สถานะทางสังคมมันไม่เท่ากันแล้วไงครับและค่าใช้จ่ายในการซื้อคุณภาพชีวิตจะเพิ่มขึ้นแปรผันตรงต่อสถานะทางสังคมเสมอๆ อีกเหตุผลหนึ่ง ผมเชื่อว่า "การที่คนๆหนึ่งโดนกดเงินเดือนนั้น เป็นการดูถูกคุณค่าของคนๆนั้น" ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่า คนที่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอจะสามารถยอมรับจำนวนตัวเลขเหล่านั้นได้เพราะมูลค่ามันต่ำกว่าในความรู้สึก และองค์กรนั้นๆจะเสียบุคลากรตัวเด็ดๆไปอย่างง่ายดาย ที่ต้องกล่าวประเด็นนี้ด้วยเพราะการเลือกองค์กรและสภาพสังคมก็เป็นปัจจัยให้เรากำหนดทิศทางการบริหารเงินเดือนได้ด้วย บางทีภาษีสังคมมันเยอะและแพงกว่ามาก จึงพลาดไม่ได้ที่ผู้อ่านจะต้องพัฒนา ความรู้ ความสามารถในการทำงาน การผลักดันตัวเองให้สามารถยืนอยู่ในสถานะและชนชั้นทางสังคมนั้นๆได้ ไม่ใช่ว่าเรียกเงินเดือนสูงๆอย่างเดียวเพราะมันเป็นการเอาเปรียบคุณค่าของเงิน

    และที่น่าจับตามองมาที่สุดคือ ตอนนี้คนมักเริ่มมองหาวิธีการ"ใช้เงินทำเงิน" มากขึ้น ลุกลามไปยังเด็กรุ่นใหม่ๆ มีการแสดงแนวคิดต่างๆออกมามากมาย จนหลายคนเชื่อว่า ความร่ำรวยมันมีสูตรสำเร็จที่ตายตัวชัดเจน บางคนหลงประเด็นจนไปขายตรง หรือนำเงินไปแขวนบนหุ้นหวังความร่ำรวยบนความเสี่ยง สำหรับผมเองไม่เชื่อว่าแนวทางการทำเงินหรือการบริหารเงินของใคร จะใช้ได้เหมาะสมกับทุกๆคน มันมีตรรกะวิบัติมากมาย เช่น



** รูปภาพจากที่ไหนสักแห่งใน Google

- หลายคนเชื่อว่า ซื้อบ้านย่อมดีกว่าซื้อรถ เพราะบ้านราคาขึ้นเรื่อยๆ ส่วนรถนั้นราคาตกลงเรื่อยๆ ดังนั้นซื้อบ้านก่อนห้ามซื้อรถ || ประเด็นคือ ถ้าซื้อรถแล้วสามารถสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นสองเท่า ยังต้องซื้อบ้านก่อนอยู่อีกใช่หรือไม่?

// ผมขอเลือกใช้ BTS ไปก่อน เพราะซื้อมาก็ไม่รู้ว่าจะขับไปไหน

- หลายคนเชื่อว่า ซื้อคอนโดเป็นของตัวเองย่อมดีกว่าเช่าบ้านเอาเงินไปให้คนอื่น เพราะมัน"เป็นของตัวเอง"ไง || ประเด็นคือ สมมติถ้าซื้อคอนโดหรือบ้าน ในราคา 1.7m ผ่อนเดือนละ 12k กว่าๆในขณะที่เราเงินเดือน 25k หมายความว่าเรายอมรับได้ถึงคุณภาพชีวิตที่กำลังจะลดลงแล้วใช่หรือไม่ ถึงจะย้อนแย้งว่าการเอาเงินไปเช่าห้องในพื้นที่เท่ากันแต่ราคา 4kก็เป็นการจ่ายเงินให้คนอื่นอยู่ดี แสดงว่าเรายอมรับได้ใช่หรือไม่ว่าดอกเบี้ยที่จ่ายให้ธนาคารเป็นตัวเลขที่รับได้  หรือจะบอกว่าถ้าซื้อบ้านไว้ยังไงราคาก็ขึ้น ก็ถ้าจะซื้อขายบ้านบ่อยๆขนาดนั้นก็เอาเลยครับตามสบาย

//ผมขอเลือกเช่าห้องไปก่อน เพราะผมยังไม่รู้ว่า สุดท้ายบั้นปลายอยากอยู่ที่ไหนกันแน่ในโลกนี้ แต่เก็บเงินซื้ออยุ่นะ เม่าเหม่อ

    นั่นก็เพราะว่า ต้นทุนทางสังคมอีกนั่นเอง ที่ทำให้คนมีแนวคิดได้ไม่เหมือนกัน แต่ก็อย่าไปเหมารวมว่านั่นเป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เอาเป็นว่าถ้าผู้อ่านบางท่านที่มีต้นทุนทางสังคมดีอยู่แล้ว ถือเป็นความโชคดีนะครับ เพราะยังไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย ไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นคนไม่ดีนะครับ ประเดี๋ยวกลายเป็นกระทู้ดราม่า

อัศวินขี่ม้าขาว

สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่า Key ของความร่ำรวยนั้น มันเป็นการเปรียบเทียบเท่านั้นแหละครับ คำว่า"รวย"เป็นสิ่งที่คนเอาไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่ง เอาเป็นว่าจะทำยังไงให้อยู่รอดและไม่ลำบากในอนาคตน่ะน่าจะสำคัญกว่า รวมถึงการบริหารเงินเดือน การรู้จักช่องทางในการไม่ลดคุณค่าของเงิน การประหยัด การพัฒนาตนเอง และการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆและสังเกตสิ่งรอบๆข้างยังคงเป็นปัจจัยที่จะไม่ทำให้เราลำบากในอนาคตครับ

"เมื่อก่อนลำบากกว่านี้ เดี๋ยวนี้สบายกว่าเมื่อก่อนมาก และอนาคตหวังว่าจะไม่ทำให้ตัวเองลำบากกว่าเดี๋ยวนี้"


[นิยาม]
    - "สถานะทางสังคม" หมายถึง สภาพความเป็นอยู่ของบุคคล ทั้งในที่ทำงาน ที่บ้าน การกินอยู่ การใช้จ่ายเฉพาะบุคคลที่ต้องจ่ายไม่เท่ากัน
    - "ต้นทุนทางสังคม" หมายถึง สิ่งที่เอื้ออำนวยให้บุคคลนั้นๆทำกิจกรรมใดๆต่างๆได้โดยง่าย
    - "คนที่มีต้นทุนทางสังคม" อาจหมายถึง คนรวย คนที่สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องดิ้นรน คนที่มีพร้อมกว่าคนที่ไม่มี เช่นว่า สามารถรับเงินเดือน 15kได้ โดยไม่เดือดร้อน บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ มีบ้านมีรถแล้ว ไม่ต้องแสวงหาเงินเดือนมาจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้
    - "คุณภาพชีวิต" หมายถึง คุณภาพของความเป็นอยู่ของบุคคลที่อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
    - "คนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี" อาจหมายถึง คนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ลำบากทั้งในเรื่องปัจจัยสี่ การอุปโภคบริโภคที่อยู่ในเกณฑ์มาตราฐานของสังคม เช่นว่า ได้นอนหลับพักผ่อนครบ 6-10 ชั่วโมง ไม่มีโรคร้ายที่เกิดจากการทำงาน ได้กินอาหารที่สะอาด ได้ใช้การคมนาคมสะดวก เป็นต้น


[ปัจฉิมลิขิต ]
     - การตั้งกระทู้นี้เป็นการแสดงความคิดเห็น และแชร์ประสบการณ์เท่านั้น ผู้อ่านไม่มีความจำเป็นต้องทำตามและสามารถย้อนแย้งได้ทุกกรณี หากการแสดงความเห็นดังกล่าวจะช่วยเปิดวิสัยทัศน์แก่ผม กรุณาชี้แนะด้วยครับ
     - การตั้งกระทู้นี้เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรก หลังจากที่อ่านกระทู้มามากมาย ไม่ได้มีเจตนาโอ้อวด เกรียน หรือเรียกร้องให้เห็นดีเห็นงามแต่ประการใด
     - การแก้ไขกระทู้หลังจากนี้จะเป็นการแก้ไขคำผิดหรือลบข้อความไม่เหมาะสมเท่านั้น

เม่าออม ขอบพระคุณที่สละเวลาอันมีค่าของท่านในการอ่าน เม่าออม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่