เทศกาลกินเจหรือเทศกาลกินเนื้อสัตว์ปลอมเมื่อจิตใจยังไม่พ้นสภวะการปล่อยวางแล้วจิตจะว่างใจได้อย่างไรเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปจิตใจคนก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงได้ยากการกินเจเป็นกลอุบายหนึ่งของคนโบราณที่บอกให้รู้จักการทำบุญละเว้นการกินเนื้อและทำนู่นนี่ในสิ่งดีๆเป็นอุบายหนึ่งเช่นเดียวกับหลักศาสนาที่ให้คนทำดี ศาสนาเหมือนกับเครื่องยินเหนี่ยววางกลอุบายเรื่องกรรมนู่นนี่นั่นเพื่อให้กลัวการทำบาปหรือการทำชั่วซึ่งกลอุบายคือ
ทำไม่ดี = กรรมตามสนอง
ผมจะยกตัวอย่างการแปลความ
คนชอบนินทา = นินทาคือการกระทำที่ไม่ดีแน่นอนว่าสักวันหนึ่งเรื่องที่นินทาจะเข้าหูคนที่ถูกนินทา(อาจจะไม่ถึงหูคนที่นินทาทุกคนแต่หากนินทา 100 คนต้องมีเข้าหุบ้างหละ) เมื่อนั้นคนที่เรานินทาก็จะไม่พอใจเราถ้าคนที่เรานินทาหัวรุนแรงสักหน่อยก็อาจจะกระทบกระทั่งกันบ้างหละ และแน่นอนว่าการที่เรานินทาใครให้บุคคลที่ 3 ฟังก็ใช่ว่าบุคคลจะชอบเรื่องนินทาเสียทุกคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบก็ไม่อยากจะพูดคุยกับคนชอบนินทามากนักกลับกลายเป็นว่าคนในสังคมไม่ยอมรับ
ส่วนตัวผมเองก็เป็นคนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหรกับเรื่องแบบนี้รู้แค่ผิดชอบชั่วดีอะไรที่ทำให้สบายใจก็ทำอะไรที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ไม่ทำการจะทำบุญผมไม่ได้คิดตั้งใจทำเพราะจะทำบุญแต่เมื่อเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแล้วสบายใจก็ทำไปไม่ได้ยินติดกับว่าจะต้อองปล่อยเต่าปลอยนก ปล่อยปลาแต่เมื่อไหรที่มีโอกาศที่จะให้ก็ให้ก็เฉกเช่นกับเรื่องกรรมที่ศาสนาเอามาเป็นกลอุบายเรื่องทำบุญก็เช่นกันใครว่าทำบุญเห็นผลช้าแต่การทำบุญชโดยไม่คิดอะไรต่างหากหละที่คุณจะได้รับมันทันที ลองสักเกตุตัวเองดูซิเมื่อไหรที่คุณเป็นผู้ให้ด้วยใจบริสุทธฺ์แล้วคุณจะรู้สึกสบายใจเมื่อคุณสบายคุณก็มีจิตใจเบิกบานมากขึ้น สมองคุณจะมีคิดสรา้งสรรอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้นเมื่อคุณมีสภาวะจิตแบบนี้แล้วการพูดคุยของคุณก็ดูมีสเน่ห์ต่อคนรอบข้างแล้วจะนำสิ่งดีๆเข้ามาทั้งการคุยงานต่อรองต่างๆลองมองย้อนกลับมา
แต่อย่างที่บอกเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นแม้แต่การจะถือศีลกินผักทั้งทียังต้องเอามาทำให้เหมือนเนื้อสัตว์ซึ่งมันไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของการถือศีลกินเจเลยกลับยิ่งไปกว่านั้นสโลแกนของการกินเจได้เปลี่ยนไปแล้วคือการละเนิ้อสัตว์มากินผักเพื่อล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกายที่มาจากสัตว์ เห็นไหมว่าเทคโนโลยีมีทั้งส่งผลดีและไม่ดีสังคมทุกวันนี้จึงเปลี่ยนแปลงไปมากไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น
เทศกาลกินเจหรือเทศกาลกินเนื้อสัตว์ปลอมเ
ทำไม่ดี = กรรมตามสนอง
ผมจะยกตัวอย่างการแปลความ
คนชอบนินทา = นินทาคือการกระทำที่ไม่ดีแน่นอนว่าสักวันหนึ่งเรื่องที่นินทาจะเข้าหูคนที่ถูกนินทา(อาจจะไม่ถึงหูคนที่นินทาทุกคนแต่หากนินทา 100 คนต้องมีเข้าหุบ้างหละ) เมื่อนั้นคนที่เรานินทาก็จะไม่พอใจเราถ้าคนที่เรานินทาหัวรุนแรงสักหน่อยก็อาจจะกระทบกระทั่งกันบ้างหละ และแน่นอนว่าการที่เรานินทาใครให้บุคคลที่ 3 ฟังก็ใช่ว่าบุคคลจะชอบเรื่องนินทาเสียทุกคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบก็ไม่อยากจะพูดคุยกับคนชอบนินทามากนักกลับกลายเป็นว่าคนในสังคมไม่ยอมรับ
ส่วนตัวผมเองก็เป็นคนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหรกับเรื่องแบบนี้รู้แค่ผิดชอบชั่วดีอะไรที่ทำให้สบายใจก็ทำอะไรที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ไม่ทำการจะทำบุญผมไม่ได้คิดตั้งใจทำเพราะจะทำบุญแต่เมื่อเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแล้วสบายใจก็ทำไปไม่ได้ยินติดกับว่าจะต้อองปล่อยเต่าปลอยนก ปล่อยปลาแต่เมื่อไหรที่มีโอกาศที่จะให้ก็ให้ก็เฉกเช่นกับเรื่องกรรมที่ศาสนาเอามาเป็นกลอุบายเรื่องทำบุญก็เช่นกันใครว่าทำบุญเห็นผลช้าแต่การทำบุญชโดยไม่คิดอะไรต่างหากหละที่คุณจะได้รับมันทันที ลองสักเกตุตัวเองดูซิเมื่อไหรที่คุณเป็นผู้ให้ด้วยใจบริสุทธฺ์แล้วคุณจะรู้สึกสบายใจเมื่อคุณสบายคุณก็มีจิตใจเบิกบานมากขึ้น สมองคุณจะมีคิดสรา้งสรรอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้นเมื่อคุณมีสภาวะจิตแบบนี้แล้วการพูดคุยของคุณก็ดูมีสเน่ห์ต่อคนรอบข้างแล้วจะนำสิ่งดีๆเข้ามาทั้งการคุยงานต่อรองต่างๆลองมองย้อนกลับมา
แต่อย่างที่บอกเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นแม้แต่การจะถือศีลกินผักทั้งทียังต้องเอามาทำให้เหมือนเนื้อสัตว์ซึ่งมันไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของการถือศีลกินเจเลยกลับยิ่งไปกว่านั้นสโลแกนของการกินเจได้เปลี่ยนไปแล้วคือการละเนิ้อสัตว์มากินผักเพื่อล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกายที่มาจากสัตว์ เห็นไหมว่าเทคโนโลยีมีทั้งส่งผลดีและไม่ดีสังคมทุกวันนี้จึงเปลี่ยนแปลงไปมากไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น