สืบเนื่องจากกระทู้
http://pantip.com/topic/32618830/comment96
สุดทนกับหมอไทยสุดแย่ ทำไมเราถึงต้องยอมให้คนที่ประสิทธิภาพและสติ ไม่เต็ม 100% มาดูแลเรา
จากกระทู้ที่แล้ว อาจจะมีคนเข้าใจว่า เป็นคนไข้งี่เง่าเห็นแก่ตัวมาด่าหมอ บางคนเข้าใจว่า ต้องการประชด
และมีบางคน มองเห็นถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เกิดขึ้น
มาครับกระทู้นี้ จะมาเล่าให้ฟังกันตรงๆ ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ให้ซับซ้อน พร้อมทั้งมีข้อสรุปและวิธีแก้ปัญหาด้วย
-การทำงานของหมอ ไม่เหมือนอาชีพอื่นครับ ปกติคือ เริ่มราวด์คนไข้ตั้งแต่ 6-7 โมงเช้า คนไข้ใน 30-60 เตียง ต่อมาก็ไปออกตรวจผู้ป่วยนอก 9-10 โมงเช้า (เป็นที่มาที่บางคนบอกว่า หมองานสบาย ไม่มาตรวจสักที จริงๆ คือดูคนไข้ที่อื่นอยู่ครับ) คนไข้นอก ก็ราวๆ 50-100 คน ถ้าเยอะมาก อาจจะต้องตรวจจนเลยเที่ยง ไม่ได้กินข้าว
ตอนช่วงบ่าย ก็แล้วแต่สาขาครับ บางคนอาจมีออกคลินิกพิเศษต่อ (พิเศษที่ว่า คือ เฉพาะโรค เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน ถุงลมโป่งพอง ไม่ใช่ ไปทำคลินิกส่วนตัวนะครับ) บางคนก็อาจจะเข้าห้องผ่าตัด บางคนไปอนามัย บางคนไปออกเยี่ยมชุมชน อันนี้แล้วแต่งาน
ตอนเย็น ก็กลับมาดูคนไข้ในอีก กว่าจะเลิก ก็ราวๆ 4-5 โมงเย็น
-การอยู่เวร มีแบ่งเป็นเวรวอร์ดและเวรห้องฉุกเฉินครับ
เล่าที่เวรวอร์ดก่อน หน้าที่ คือดูผู้ป่วยใน ที่เกิดมีอาการเปลี่ยนแปลงขึ้นนอกเวลาราชการ รวมทั้งรับคนไข้ที่ admit ใหม่ด้วย ซึ่งกรณีนี้ มักจะเป็นเวร on call
ถ้ามี คนไข้ ถึงไปดูที่หอผู้ป่วย ถ้าไม่มี สามารถรอที่บ้านพักได้ แต่ก็แล้วแต่ดวง บางครั้ง คนไข้ active ทั้งคืน ก็คือ ไม่ได้นอนพัก
เวรตรงนี้ เริ่มต้น ตั้งแต่ 4 โมงเย็น จนถึง 8 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น และทำงานในวันรุ่งขึ้นต่อเลย ไม่มีการหยุดพักใดๆ
-การอยู่เวรห้องฉุกเฉิน ส่วนใหญ่มักจะให้อยู่แค่ 8 ชั่วโมง เช่น 16-24 น. หรือ 24-8 น. เนื่องจากเป็นการดูคนไข้ที่ห้องฉุกเฉิน และมักมีคนไข้มาตลอดเวลา ซึ่งในความจริง ไม่ได้มีแค่คนไข้ฉุกเฉิน(ถ้าไม่รีบรักษาเป็นอันตรายถึงชีวิต) ยังมีคนไข้ที่จริงๆ รอได้อีกมากมาย เช่น เป็นหวัดมา 3 วัน เป็นไข้ 1 ชั่วโมง กินยาไป 1 ครั้ง ท้องเสียแต่หายแล้ว แต่ต้องการใบรับรองแพทย์หยุดงาน อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบางคืนยุ่งมาก ก็คือ ไม่ได้นอน หรือบางครั้งอาจได้นอน แต่ตื่นทุก 1 ชั่วโมง หลังอยู่เวรตอนเช้า ทำงานตามปกติ
-เวรอื่นๆ เช่น บางแห่งเป็น รพ.ชุมชน มีหมอคนเดียว ดูทั้งรพ. ตั้งแต่ ห้องฉุกเฉิน ห้องคลอด หอผู้ป่วย
หรือถ้าเป็นหมอเฉพาะทางนอกจากดูหอผู้ป่วยแล้ว บางสาขา อาจมีต้องผ่าตัดนอกเวลา เช่น หมอสูติ หมอศัลย์ ซึ่งส่วนใหญ่ ก็มีคนไข้ผ่าตัดฉุกเฉิน ตลอดทั้งคืน พอถึงกลางวัน ก็ทำงานปกติ
จากการอยู่เวรทั้งหมดที่กล่าวมา คือ อยู่เวร 1 คืน ทำงานต่อเนื่อง 36 ชั่วโมง ซึ่งถ้าได้นอนพักบ้างคือ กำไร แต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก
ถ้าทำงานตลอดต่อเนื่อง ไม่ได้พัก ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร
แน่นอนครับ คนที่พักไม่เพียงพอ สมองจะมีอาการอ่อนล้า เกิดอาการเบลอ นอกจากทำให้ตัวหมอเสียสุขภาพแล้ว หลายๆ ครั้งก็เกิดเหตุการณ์น่าเศร้า เช่น ขับรถหลังลงเวร เกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิต
และนอกจากส่งผลเสียต่อหมอเอง ผลเสียก็ยังตกอยู่กับคนไข้อีกด้วย การที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เบลอ นำมาซึ่งข้อผิดพลาด เช่น สั่งการรักษาผิด ตรวจผิด หรือแม้แต่ผ่าตัดผิดพลาด ซึ่งเรื่องเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
แค่คนทั่วไป อดนอน 1 คืน ยังเพลียแทบแย่ คิดดูว่า บางครั้ง หมออยู่เวรติดกัน 3-5 วัน นอนรวมกัน 3 วัน บางที ไม่ถึง 10 ชั่วโมงด้วยซ้ำ
การตรวจผู้ป่วยในเวลา อย่างที่บอกไปครับ 50-100 คน ในเวลา 3 ชั่วโมง คิดให้เฉลี่ย คนละ 3 นาที
คนไข้เข้ามาถึง หมอต้อง ซักประวัติ ตรวจร่างกาย เขียน opd card วินิจฉัยโรค สั่งยา อธิบายคนไข้เกี่ยวกับโรค ยา และแนะนำการปฏิบัติตัว
ทั้งหมดนี้ ใน 3 นาที แน่นอนครับว่า ไม่ทันแน่ๆ เหล่านี้จึงนำมาซึ่งข้อผิดพลาด ในการตรวจรักษา
แต่จะให้ตรวจละเอียดมากกว่านี้ก็ไม่ได้คนไข้ข้างนอกก็รอนาน
เอาง่ายๆครับ ตรวจเร็วไป คนข้างในด่า ไปร้องเรียน ตรวจละเอียดไป คนข้างนอกด่า ไปร้องเรียน
พูดถึง กรณีที่คนไข้วันๆ หนึ่ง หลัก 100 คน หลายๆ คนอาจจะเคยเจอว่า พยาบาลหน้าห้องตรวจ สีหน้าหงุดหงิด ดูเหวี่ยงใส่
แต่ลองคิดกลับกันครับ วันๆหนึ่ง เจอคนไข้เป็นร้อย แล้วสมัยนี้ แต่ละคน รอนิด รอหน่อย โพสต์ลงเฟซ
เรื่องโวยวาย เรื่องด่าไม่ต้องพูดถึง แล้วคนปกติ ต้องรับอารมณ์คนเป็น 10 เป็น 100 คน ถ้าให้ยิ้มได้เหมือนประชาสัมพันธ์ตามห้าง มันก็เกินไปครับ
(การกระทำแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกครับ จริงๆ ไม่ว่าหมอ พยาบาล หรือใครก็ตาม ไม่มีสิทธิ เหวี่ยงวีน คนไข้ เค้าไม่รู้หรอกว่า ก่อนหน้านี้เราเจออะไรมา แต่สิ่งที่อยากบอกคือ บางครั้งคนเหล่านี้ก็คน ธรรมดาครับ เจออะไรมาทั้งวัน จะให้ปรับอารมณ์ยิ้มตลอด บางทีก็ไม่ไหวจริงๆ)
การแก้ปัญหา มีดังนี้ครับ
เริ่มต้นจากการให้การศึกษาประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านการปฐมพยาบาล ดูแลตนเองเบื้องต้น อาการใดที่ควรมาพบแพทย์ อาการใดสามารถรอมาพบในเวลาได้
จะเห็นได้จากกระทู้ดราม่าหมอช่วงนี้ จะเห็นได้ว่า แค่ อะไรคือ "ภาวะฉุกเฉิน" ประชากรส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลย
แต่นั่นไม่หนักเท่า บางคนลูกเป็นไข้ตัวร้อน มาถึง รพ.โวยวาย แต่ไม่ยอมให้ลูกกินพารา ไม่รู้จักเช็ดตัวรถไข้
มีแผลถลอกเล็กน้อย แต่ไม่รู้จักการล้างแผล และทำแผลเบื้องต้น
รัฐบาลต้องเข้าไปรื้อ หลักสูตร สุขศึกษา และต้องจัดอบรมให้ประชาชนมีความรู้ครับ
การที่ประชาชนมีความรู้ดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ จะช่วยลดปริมาณคนไข้ที่มารพ.โดยไม่จำเป็น
ปัจจุบันบุคคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ซึ่งการผลิตเพิ่ม ยากกว่าให้ความรู้คนทั่วไป
หลังให้ความรู้แล้ว ควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงการทำงานของบุคคลากรทางการแพทย์ครับ
-ไม่ควรให้ทำงานต่อเนื่องเกิน 24 ชั่วโมง
-ห้องฉุกเฉิน เปิดรับเฉพาะ กรณีฉุกเฉินเท่านั้น ถ้าเคสไหนประเมินว่าไม่ฉุกเฉิน ให้ใบนัดและกลับมาในวันรุ่งขึ้นครับ
(ห้องฉุกเฉิน มีบุคคลากรและทรัพยากรเพียงพอ เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้นครับ หลายๆที่ นอกเวลาไม่สามารถตรวจแลป หรือ x-ray ได้ อีกทั้งการมาในเวลา จะมีแพทย์เฉพาะทาง และทรัพยากรที่พอเพียงอีกด้วย)
-กำหนดผู้ป่วยนอกในแต่ละวัน ในปริมาณที่แน่นอนครับ เช่น 40-50 คนต่อวัน แต่ละคนต้องนัดล่วงหน้า ถ้าไม่มาตามนัดต้องแจ้ง ใครที่ผิดนัดบ่อย เกิน 3 ครั้ง (โดยไม่มีเหตุอันควร) ให้ blacklist เนื่องจากตัวท่าน ยังไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง เพราะฉะนั้นควรให้โอกาสแก่คนอื่นครับ
รวมทั้งกำหนดเวลาที่จะได้ตรวจที่แน่นอนเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องเสียเวลามารอนาน
ถ้าทำได้เบื้องต้นเท่านี้ ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ใน ปัจจุบันก็จะหมดไปครับ
-คนไข้ดูแลตัวเองได้มากขึ้น ก็จะเหลือแต่คนไข้ที่ป่วยจริงๆ มาที่รพ.
-เมื่อคนไข้ลดลง หมอจะมีเวลาดูแลคนไข้มากขึ้น ละเอียดมากขึ้น ลดข้อผิดพลาดมากขึ้น
-เมื่อบุคคลากร ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็ลดความเสี่ยงที่เกิดจากตัวบุคคลากรเอง และความเสี่ยงที่นำไปสู่คนไข้
-เมื่อคุณภาพชีวิตดีขึ้น บุคคลากรที่มีใจ ตั้งใจทำงานในระบบก็จะคงอยู่ต่อไป
-รัฐบาล นอกจากจะประหยัดเงิน ด้านสุขภาพในกรณีที่ไม่จำเป็น ยังประหยัดงบประมาณที่เอาไปทุ่มผลิตบุคคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วย
เพราะสามารถซื้อใจคนให้อยู่ในระบบได้มากขึ้น
ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า ความหวังแบบโลกสวยนี้ จะเป็นได้จริงหรือไม่
แต่ถ้าท่านใดเห็นด้วย ขอความกรุณาช่วยกันแชร์ครับ เผื่อว่ามันจะไปถึงผู้เกี่ยวข้องได้บ้าง
สุดท้าย ท่านใดมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ติชม ประการใด เชิญได้เต็มที่เลยครับ
แต่ขอกรุณา พูดคุยกันด้วย ความสุภาพ ไม่ใช้อารมณ์ ปราศจาก อคติ และผ่านการ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แล้วนะครับ
ขอบคุณครับ
แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว ระบบยังดำเนินไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ลองไปอ่านกระทู้นี้ต่อครับ
เมื่อระบบรักษาพยาบาลของไทยล่มสลาย...ใครคือคนที่เดือดร้อนที่สุด
http://pantip.com/topic/32628137
หมอไทยสุดแย่ จริงหรือ??? มาครับจะเล่าให้ฟังกันตรงๆ ถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขของวงการหมอตอนนี้
http://pantip.com/topic/32618830/comment96
สุดทนกับหมอไทยสุดแย่ ทำไมเราถึงต้องยอมให้คนที่ประสิทธิภาพและสติ ไม่เต็ม 100% มาดูแลเรา
จากกระทู้ที่แล้ว อาจจะมีคนเข้าใจว่า เป็นคนไข้งี่เง่าเห็นแก่ตัวมาด่าหมอ บางคนเข้าใจว่า ต้องการประชด
และมีบางคน มองเห็นถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เกิดขึ้น
มาครับกระทู้นี้ จะมาเล่าให้ฟังกันตรงๆ ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ให้ซับซ้อน พร้อมทั้งมีข้อสรุปและวิธีแก้ปัญหาด้วย
-การทำงานของหมอ ไม่เหมือนอาชีพอื่นครับ ปกติคือ เริ่มราวด์คนไข้ตั้งแต่ 6-7 โมงเช้า คนไข้ใน 30-60 เตียง ต่อมาก็ไปออกตรวจผู้ป่วยนอก 9-10 โมงเช้า (เป็นที่มาที่บางคนบอกว่า หมองานสบาย ไม่มาตรวจสักที จริงๆ คือดูคนไข้ที่อื่นอยู่ครับ) คนไข้นอก ก็ราวๆ 50-100 คน ถ้าเยอะมาก อาจจะต้องตรวจจนเลยเที่ยง ไม่ได้กินข้าว
ตอนช่วงบ่าย ก็แล้วแต่สาขาครับ บางคนอาจมีออกคลินิกพิเศษต่อ (พิเศษที่ว่า คือ เฉพาะโรค เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน ถุงลมโป่งพอง ไม่ใช่ ไปทำคลินิกส่วนตัวนะครับ) บางคนก็อาจจะเข้าห้องผ่าตัด บางคนไปอนามัย บางคนไปออกเยี่ยมชุมชน อันนี้แล้วแต่งาน
ตอนเย็น ก็กลับมาดูคนไข้ในอีก กว่าจะเลิก ก็ราวๆ 4-5 โมงเย็น
-การอยู่เวร มีแบ่งเป็นเวรวอร์ดและเวรห้องฉุกเฉินครับ
เล่าที่เวรวอร์ดก่อน หน้าที่ คือดูผู้ป่วยใน ที่เกิดมีอาการเปลี่ยนแปลงขึ้นนอกเวลาราชการ รวมทั้งรับคนไข้ที่ admit ใหม่ด้วย ซึ่งกรณีนี้ มักจะเป็นเวร on call
ถ้ามี คนไข้ ถึงไปดูที่หอผู้ป่วย ถ้าไม่มี สามารถรอที่บ้านพักได้ แต่ก็แล้วแต่ดวง บางครั้ง คนไข้ active ทั้งคืน ก็คือ ไม่ได้นอนพัก
เวรตรงนี้ เริ่มต้น ตั้งแต่ 4 โมงเย็น จนถึง 8 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น และทำงานในวันรุ่งขึ้นต่อเลย ไม่มีการหยุดพักใดๆ
-การอยู่เวรห้องฉุกเฉิน ส่วนใหญ่มักจะให้อยู่แค่ 8 ชั่วโมง เช่น 16-24 น. หรือ 24-8 น. เนื่องจากเป็นการดูคนไข้ที่ห้องฉุกเฉิน และมักมีคนไข้มาตลอดเวลา ซึ่งในความจริง ไม่ได้มีแค่คนไข้ฉุกเฉิน(ถ้าไม่รีบรักษาเป็นอันตรายถึงชีวิต) ยังมีคนไข้ที่จริงๆ รอได้อีกมากมาย เช่น เป็นหวัดมา 3 วัน เป็นไข้ 1 ชั่วโมง กินยาไป 1 ครั้ง ท้องเสียแต่หายแล้ว แต่ต้องการใบรับรองแพทย์หยุดงาน อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบางคืนยุ่งมาก ก็คือ ไม่ได้นอน หรือบางครั้งอาจได้นอน แต่ตื่นทุก 1 ชั่วโมง หลังอยู่เวรตอนเช้า ทำงานตามปกติ
-เวรอื่นๆ เช่น บางแห่งเป็น รพ.ชุมชน มีหมอคนเดียว ดูทั้งรพ. ตั้งแต่ ห้องฉุกเฉิน ห้องคลอด หอผู้ป่วย
หรือถ้าเป็นหมอเฉพาะทางนอกจากดูหอผู้ป่วยแล้ว บางสาขา อาจมีต้องผ่าตัดนอกเวลา เช่น หมอสูติ หมอศัลย์ ซึ่งส่วนใหญ่ ก็มีคนไข้ผ่าตัดฉุกเฉิน ตลอดทั้งคืน พอถึงกลางวัน ก็ทำงานปกติ
จากการอยู่เวรทั้งหมดที่กล่าวมา คือ อยู่เวร 1 คืน ทำงานต่อเนื่อง 36 ชั่วโมง ซึ่งถ้าได้นอนพักบ้างคือ กำไร แต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก
ถ้าทำงานตลอดต่อเนื่อง ไม่ได้พัก ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร
แน่นอนครับ คนที่พักไม่เพียงพอ สมองจะมีอาการอ่อนล้า เกิดอาการเบลอ นอกจากทำให้ตัวหมอเสียสุขภาพแล้ว หลายๆ ครั้งก็เกิดเหตุการณ์น่าเศร้า เช่น ขับรถหลังลงเวร เกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิต
และนอกจากส่งผลเสียต่อหมอเอง ผลเสียก็ยังตกอยู่กับคนไข้อีกด้วย การที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เบลอ นำมาซึ่งข้อผิดพลาด เช่น สั่งการรักษาผิด ตรวจผิด หรือแม้แต่ผ่าตัดผิดพลาด ซึ่งเรื่องเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
แค่คนทั่วไป อดนอน 1 คืน ยังเพลียแทบแย่ คิดดูว่า บางครั้ง หมออยู่เวรติดกัน 3-5 วัน นอนรวมกัน 3 วัน บางที ไม่ถึง 10 ชั่วโมงด้วยซ้ำ
การตรวจผู้ป่วยในเวลา อย่างที่บอกไปครับ 50-100 คน ในเวลา 3 ชั่วโมง คิดให้เฉลี่ย คนละ 3 นาที
คนไข้เข้ามาถึง หมอต้อง ซักประวัติ ตรวจร่างกาย เขียน opd card วินิจฉัยโรค สั่งยา อธิบายคนไข้เกี่ยวกับโรค ยา และแนะนำการปฏิบัติตัว
ทั้งหมดนี้ ใน 3 นาที แน่นอนครับว่า ไม่ทันแน่ๆ เหล่านี้จึงนำมาซึ่งข้อผิดพลาด ในการตรวจรักษา
แต่จะให้ตรวจละเอียดมากกว่านี้ก็ไม่ได้คนไข้ข้างนอกก็รอนาน
เอาง่ายๆครับ ตรวจเร็วไป คนข้างในด่า ไปร้องเรียน ตรวจละเอียดไป คนข้างนอกด่า ไปร้องเรียน
พูดถึง กรณีที่คนไข้วันๆ หนึ่ง หลัก 100 คน หลายๆ คนอาจจะเคยเจอว่า พยาบาลหน้าห้องตรวจ สีหน้าหงุดหงิด ดูเหวี่ยงใส่
แต่ลองคิดกลับกันครับ วันๆหนึ่ง เจอคนไข้เป็นร้อย แล้วสมัยนี้ แต่ละคน รอนิด รอหน่อย โพสต์ลงเฟซ
เรื่องโวยวาย เรื่องด่าไม่ต้องพูดถึง แล้วคนปกติ ต้องรับอารมณ์คนเป็น 10 เป็น 100 คน ถ้าให้ยิ้มได้เหมือนประชาสัมพันธ์ตามห้าง มันก็เกินไปครับ
(การกระทำแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกครับ จริงๆ ไม่ว่าหมอ พยาบาล หรือใครก็ตาม ไม่มีสิทธิ เหวี่ยงวีน คนไข้ เค้าไม่รู้หรอกว่า ก่อนหน้านี้เราเจออะไรมา แต่สิ่งที่อยากบอกคือ บางครั้งคนเหล่านี้ก็คน ธรรมดาครับ เจออะไรมาทั้งวัน จะให้ปรับอารมณ์ยิ้มตลอด บางทีก็ไม่ไหวจริงๆ)
การแก้ปัญหา มีดังนี้ครับ
เริ่มต้นจากการให้การศึกษาประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านการปฐมพยาบาล ดูแลตนเองเบื้องต้น อาการใดที่ควรมาพบแพทย์ อาการใดสามารถรอมาพบในเวลาได้
จะเห็นได้จากกระทู้ดราม่าหมอช่วงนี้ จะเห็นได้ว่า แค่ อะไรคือ "ภาวะฉุกเฉิน" ประชากรส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลย
แต่นั่นไม่หนักเท่า บางคนลูกเป็นไข้ตัวร้อน มาถึง รพ.โวยวาย แต่ไม่ยอมให้ลูกกินพารา ไม่รู้จักเช็ดตัวรถไข้
มีแผลถลอกเล็กน้อย แต่ไม่รู้จักการล้างแผล และทำแผลเบื้องต้น
รัฐบาลต้องเข้าไปรื้อ หลักสูตร สุขศึกษา และต้องจัดอบรมให้ประชาชนมีความรู้ครับ
การที่ประชาชนมีความรู้ดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ จะช่วยลดปริมาณคนไข้ที่มารพ.โดยไม่จำเป็น
ปัจจุบันบุคคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ซึ่งการผลิตเพิ่ม ยากกว่าให้ความรู้คนทั่วไป
หลังให้ความรู้แล้ว ควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงการทำงานของบุคคลากรทางการแพทย์ครับ
-ไม่ควรให้ทำงานต่อเนื่องเกิน 24 ชั่วโมง
-ห้องฉุกเฉิน เปิดรับเฉพาะ กรณีฉุกเฉินเท่านั้น ถ้าเคสไหนประเมินว่าไม่ฉุกเฉิน ให้ใบนัดและกลับมาในวันรุ่งขึ้นครับ
(ห้องฉุกเฉิน มีบุคคลากรและทรัพยากรเพียงพอ เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้นครับ หลายๆที่ นอกเวลาไม่สามารถตรวจแลป หรือ x-ray ได้ อีกทั้งการมาในเวลา จะมีแพทย์เฉพาะทาง และทรัพยากรที่พอเพียงอีกด้วย)
-กำหนดผู้ป่วยนอกในแต่ละวัน ในปริมาณที่แน่นอนครับ เช่น 40-50 คนต่อวัน แต่ละคนต้องนัดล่วงหน้า ถ้าไม่มาตามนัดต้องแจ้ง ใครที่ผิดนัดบ่อย เกิน 3 ครั้ง (โดยไม่มีเหตุอันควร) ให้ blacklist เนื่องจากตัวท่าน ยังไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง เพราะฉะนั้นควรให้โอกาสแก่คนอื่นครับ
รวมทั้งกำหนดเวลาที่จะได้ตรวจที่แน่นอนเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องเสียเวลามารอนาน
ถ้าทำได้เบื้องต้นเท่านี้ ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ใน ปัจจุบันก็จะหมดไปครับ
-คนไข้ดูแลตัวเองได้มากขึ้น ก็จะเหลือแต่คนไข้ที่ป่วยจริงๆ มาที่รพ.
-เมื่อคนไข้ลดลง หมอจะมีเวลาดูแลคนไข้มากขึ้น ละเอียดมากขึ้น ลดข้อผิดพลาดมากขึ้น
-เมื่อบุคคลากร ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็ลดความเสี่ยงที่เกิดจากตัวบุคคลากรเอง และความเสี่ยงที่นำไปสู่คนไข้
-เมื่อคุณภาพชีวิตดีขึ้น บุคคลากรที่มีใจ ตั้งใจทำงานในระบบก็จะคงอยู่ต่อไป
-รัฐบาล นอกจากจะประหยัดเงิน ด้านสุขภาพในกรณีที่ไม่จำเป็น ยังประหยัดงบประมาณที่เอาไปทุ่มผลิตบุคคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วย
เพราะสามารถซื้อใจคนให้อยู่ในระบบได้มากขึ้น
ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า ความหวังแบบโลกสวยนี้ จะเป็นได้จริงหรือไม่
แต่ถ้าท่านใดเห็นด้วย ขอความกรุณาช่วยกันแชร์ครับ เผื่อว่ามันจะไปถึงผู้เกี่ยวข้องได้บ้าง
สุดท้าย ท่านใดมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ติชม ประการใด เชิญได้เต็มที่เลยครับ
แต่ขอกรุณา พูดคุยกันด้วย ความสุภาพ ไม่ใช้อารมณ์ ปราศจาก อคติ และผ่านการ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แล้วนะครับ
ขอบคุณครับ
แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว ระบบยังดำเนินไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ลองไปอ่านกระทู้นี้ต่อครับ
เมื่อระบบรักษาพยาบาลของไทยล่มสลาย...ใครคือคนที่เดือดร้อนที่สุด
http://pantip.com/topic/32628137