ยาวหน่อยนะครับ
ผมกับแฟนคบกันมาแปดปีกว่าตั้งแต่สมัยเรียน จนตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เราผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกันมากมาย ทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้างตามประสา แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเดี๋ยวก็ดีกัน โดยพื้นเพฐานะทางบ้านแฟนไม่ดีนัก เป็นชาวไร่สับปะรด(เธอจึงมีความงกกับผมอยู่บ้าง) จนมาเมื่อสักสามปีที่แล้ว เธอได้ไปรู้จักกับธุรกิจขายตรงตัวหนึ่งน่าจะเป็นตัวแรกในประเทศไทยเลยหละมั้ง โดยการชักชวนของรุ่นพี่สมัยเรียนมหาลัย แรกๆเธอไม่บอกผม แต่เธอจะไปหารุ่นพี่คนนี้บ่อยมาก ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนมาวันหนึ่งเธอก็มาบอกกับผมว่าเธอกำลังทำธุรกิจขายตรงอยู่นะ ผมก็อึ้งไปแป๊บนึง แล้วผมก็บอกว่าอย่าทำเลย(ประมาณว่าอย่างที่เราๆท่านๆรู้นั่นแหละ) เธอก็บอกว่าน่าลองทำดูนะไม่เสียหายอะไร ตอนนั้นผมก็ยังไม่คิดไรมากเลยปล่อยให้ทำไป เมื่อวันเวลาผ่านไปเวลาของเธอที่มีให้ผมเริ่มลดน้อยลง ผมก็ลองคุยกับเธออีกครั้ง ว่าทำไมเธอไม่ค่อยมีเวลาเลย เธอบอกกับผมว่าเธอต้องการจะสร้างอนาคตให้ดีกว่าทีเธอเป็นอยู่ ดีกว่าที่งานปกติของเธอจะให้ได้ เธอจึงต้องทุ่มเทให้กับธุรกิจที่เธอกำลังทำ ตอนนี้ผมเริ่มเป็นกังวลถึงอนาคตของเรา ผมพยายามบอกให้เธอเลิก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอมีความมุ่งมั่นมาก เธอฝันถึงบ้าน ฝันถึงรถ ฝันถึงการหยุดทำงานแล้วมีรายได้ ในใจผมมันมีแต่ความกังวลจากเรื่องที่เคยได้ยินมาจากธุรกิจตัวนี้ เธอให้ผมสมัครสมาชิกและเริ่มเอาสินค้ามาขายผมตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาท ที่แพงสุดราคาประมาณสามหมื่นบาท ผมยอมซื้อเพราะรักเธอ ในตอนนั้นผมคิดว่าเดี๋ยวเธอคงเลิกทำ เธอเข้าร่วมเซ็นเตอร์ เข้างานทุกงานที่จัด จะมีอยู่งานนึงไปจัดที่ต่างจังหวัดเดือนละครั้ง ค่าใช้ครั้งละประมาณเกือบสองพัน ผมบอกกับเธอว่าแบบนี้มันจะไม่เหลือเงินเก็บนะ เธอก็บอกว่าช่วงแรกมันก็เป็นแบบนี้แหละ ทำให้ในบางครั้งเงินเธอไม่พอใช้จึงก็จะมาขอผม ในใจผมไม่อยากให้แต่ก็ต้องให้ไป แล้วเธอก็มาชวนผมเข้าเซ็นเตอร์ด้วย ตอนแรกผมก็ปฏิเสธ เธอชวนอยู่หลายครั้งจนเธอเริ่มบอกว่าผมไม่เข้าใจเธอ แค่นี้ทำไมไปไม่ได้ เราเริ่มทะเลาะกัน ในที่สุดผมก็ยอมเข้าเซ็นเตอร์กับเธอ เธอบอกให้ผมลองเปิดใจฟัง ผมเข้าไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าผมคล้อยตามอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าผมอยากรวยอย่างไอ้คนที่มายืนโม้ให้ผมฟัง ผมเข้าเซ็นเตอร์อยู่ประมาณหนึ่งปี เข้างานต่างๆที่จัดอยู่หลายครั้ง เธอบอกกับผมว่าอยากให้ผมไปเห็นว่าเธอทำอะไรอยู่ อยากให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เธอทำ ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงไม่สามารถห้ามเธอได้อีก อยากทำก็ทำไป สถานการณ์ระหว่างเราสองคนดูเหมือนว่าจะไปได้ดี แต่การเงินเธอก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะเริ่มทำเธอส่งเงินให้ที่บ้านเธอ แต่ตอนนี้ไม่ได้ส่งเท่าไหร่ ขาดๆหายๆ แล้ววิกฤตครั้งใหญ่มันก็เข้ามาในชีวิตของเธอ เมื่อบริษัทที่เธอทำงานอยู่ส่งเธอไปดูงานต่างประเทศ งานที่เธอทำเกี่ยวกับเครื่องประดับ อัญมณี ในตอนนั้นเธอรับจ็อบเป็นเด็กเดินพลอยโดยลูกค้าส่งพลอยให้ แล้วเธอนำพลอยไปออกใบรับประกันคุณภาพจากร้านที่ออกอีกทีนึง เธอเป็นแค่คนกลาง ช่วงเวลาที่เธอไปต่างประเทศนั้น ห้องที่เธอเช่าอยู่ถูกงัด แล้วความซวยก็บังเกิดขึ้นเมื่อพลอยที่เธอจะเอาไปออกใบรับประกันดันถูกขโมยไปด้วย เธอร้องไห้ร้องห่มไม่รู้จะทำยังไง พลอยเม็ดนั้นมีมูลค่า หนึ่งแสนสองหมื่นบาท ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิดหรอกหนึ่งแสนสองหมื่นบาท เธอมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็เกือบช็อคสติแตกเหมือนกัน เราคุยกันว่าผมจะใช้สิทธิพนักงานรัฐวิสาหกิจของผมกู้มาส่วนหนึ่ง แล้วเธอก็หามาอีกส่วนหนึ่ง โดยเธอไปแบ่งเอามาจากพี่สาวของเธอซึ่งเงินส่วนนี้คือเงินส่วนของเธอเอง โดยพ่อเธอยกที่ให้เธอและพี่สาว แต่ที่ของเธอนั้นมันเป็นที่ตาบอด พี่สาวก็เลยขอซื้อที่ต่อจากเธอ แต่ยังไม่ให้เงินส่วนนั้นมา เพราะรู้ว่าถ้าให้มาคงไม่เหลือแน่ พี่สาวกับแม่ของเธอไม่เชื่อว่าพลอยหายจริง ทั้งสองคิดว่าเธอเอาเงินไปลงธุรกิจจนหมด โดยพื้นเพเดิมทั้งพี่สาวและแม่ไม่ชอบที่เธอทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องจำใจให้ไป ห้าหมื่นบาท มารวมจากที่ผมกู้มาอีก เจ็ดหมื่นบาท ครบแสนสองหมื่นเอาไปใช้หนี้พลอย เธอบอกกับผมว่าเธอจะส่งเงินที่ผมกู้ให้ทุกเดือน แรกๆก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่ปัญหามาเกิดหลังจากที่เธอลาออกจากงาน เธอเคยมาเปรยๆกับผมว่าจะลาออก แต่ผมห้ามไว้ ผมบอกกับเธอว่าถ้าออกตอนนี้การเงินจะมีปัญหานะ ผมพยายามเตือนเธอเสมอว่าบริหารการเงินให้ดี แต่สุดท้ายเธอก็ออก (สาเหตุจริงๆที่เธอลาออกเพราะโดนบีบจากบริษัท เธอหยุดงานบ่อยเพื่อไปทำธุรกิจ) เธอบอกว่าเธอมั่นใจว่าเธอออกมาแล้วจะสามารถทำธุรกิจได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องห่วง เวลาผ่านไปไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเธออาจพูดถูก แต่ แต่ แต่ เรื่องยุ่งก็เข้ามาอีกจนได้ เมื่อมีลูกค้ามาสั่ง เครื่องกรองอากาศกับเครื่องกรองน้ำซึ่งมีมูลค่าประมาณเจ็ดหมื่นบาท โดยยังไม่ได้ให้เงินบอกว่าจะให้สิ้นเดือน ด้วยความที่อยากได้ยอดขายเธอจึงใช้บัตรเครดิตรูดเพื่อซื้อของมาก่อน แต่สุดท้ายไอ้ลูกค้าคนนั้นมันก็ยกเลิกไม่เอาของ กลายเป็นว่าเธอมียอดหนี้บัตรเต็มวงเงินจะเท่าไหร่ผมไม่แน่ใจแต่เธอบอกว่าประมาณหนึ่งแสน ตอนนี้เธอไม่สามารถใช้บัตรเพื่อทำธุรกิจได้อีกแล้ว เธอจึงประสบกับปัญหาการเงิน เงินที่เธอให้ผมทุกเดือนเพื่อใช้หนี้ที่ผมไปกู้มาให้ก็ไม่มี ผมจึงต้องจ่ายแทนให้เธอ ตอนนี้เข้าเดือนที่สี่แล้วที่ผมจ่ายมาให้ ซึ่งมันทำให้สภาพคล่องทางการเงินของผมเสียไปด้วย เพราะผมก็มีหนี้ส่วนของผมที่ต้องจ่ายอยู่อีก ผมพยายามบอกให้เธอกลับไปหางานประจำทำเพราะอย่างน้อยจะมีเงินเดือนที่แน่นอน ไม่ต้องมากังวลว่าเดือนนี้จะได้ยอดเท่าไหร่ ได้เงินเท่าไหร่ คราวนี้เธอยอม แต่เธอจะไม่เลิกทำธุรกิจ ประกอบกับช่วงเวลานั้นหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่เปิดรับสมัครพนักงานใหม่พอดี ผมจึงพาเธอไปยื่นใบสมัครและเตรียมสอบกลางเดือน ต.ค. เธอค้างชำระหนี้บัตรจนทางธนาคารส่งจดหมายมาเตือนอยู่หลายฉบับ ประมาณว่าถ้ายังไม่จ่ายเรื่องก็คงถึงศาลนะ เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็ไม่มีเงิน ถ้ากู้มาอีกผมคงไม่พอใช้แน่ๆ ช่วงนั้นเราเครียดกันมาก แต่เธอก็พยายามอดทนทำธุรกิจจนเธอเป็นแพลตตินั่ม(ระดับความสำเร็จขั้นแรกในธุรกิจ) ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ถ้าเธอไม่ได้ในเดือนนี้ สิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าต้องเริ่มใหม่หมด เดือนสุดท้ายนี้เธอซื้อของเองด้วยเพื่อให้ยอดถึงและเป็นแพลตตินั่ม โดยเธอยืมเงินจากพวกคนที่ทำด้วยกันน่าจะประมาณสองถึงสามหมื่นบาท ตอนแรกที่ผมรู้ว่าเธอสำเร็จผมก็ดีใจว่าจะมีเงินมาใช้หนี้ เงินก้อนแรกที่ได้ประมาณห้าหมื่นได้มาเมื่อกลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา แต่เงินนั้นเธอเอาไปใช้หนี้หมดแล้ว จากที่ยืมไปซื้อของและกินใช้ประจำวัน หนี้บัตรเครดิตกับหนี้ส่วนของผมยังอยู่ ส่วนเงินอีกก้อนที่จะได้ประมาณหนึ่งแสนบาท เธอบอกว่าปลายเดือนหน้าถึงจะได้ แต่กลายเป็นว่าเงินส่วนนั้นใช้หนี้บัตรก็หมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเธอหามาได้แล้วก็ต้องเอาไปใช้หนี้ เงินที่จะเอามาลงทุนต่อก็ไม่เหลือ ต้องยืมอีกแล้ว แล้วเรื่องก็มาเกิดจนได้ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ผมค่อนข้างเครียดมาก เพราะผมพยายามบอกให้เธอกลับไปทำงานประจำและบอกว่าจะทำธุรกิจนี้เป็นงานหลักมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันคงกลายเป็นว่าผมกดดันเธอมาก(ผมคุยเรื่องนี้กับเธอหลายครั้ง จนเธอบอกว่าผมพูดซ้ำซาก แล้วก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้) คือผมก็พยายามแก้ปัญหาให้เธออยู่นี่ไง ผมบอกเธอว่าตอนนี้เธอมีปัญหาเรื่องเงินนะ ผมหาทางแก้ไขให้อยู่ ในเมื่อทางที่เธอเลือกมันมีอุปสรรคมากทำไมไม่ลองหาทางอื่นดูก่อนหละ ลองหยุดสักพักก่อน หางานที่เป็นหลักให้ชีวิตเมื่อพร้อมแล้วค่อยทำธุรกิจนี้เสริมก็ได้ เธอบอกว่าจะทำอันนี้อย่างเดียวแล้วจะทำไม ผมถามเธอว่าจะต้องยืมเงินทุกเดือนแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ คือตอนนั้นเราคุยกันคนละอย่างแล้ว ผมคิดอย่างเธอคิดอย่าง เธอบอกว่าผมไม่เข้าใจเธอ ผมไม่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น ผมก็บอกว่า ผมไม่ห้ามที่เธอจะทำธุรกิจนี้ แต่ไม่ควรทำอย่างเดียวและต้องบริหารการเงินให้ดี ผมอยากจะแก้ปัญหาให้จบไม่อยากปล่อยไว้ให้ยึดเยื้อแบบ (คือผมเป็นคนคิดลบอยู่แล้ว อะไรที่มีความเสี่ยงผมจะพยายามเลี่ยง) ผมบอกว่าปล่อยไว้แบบนี้มันจะเป็นปัญหาในอนาคตนะ เธอย้อนกลับผมมาว่าแล้วผมจะเลี้ยงดูเธอไม่ได้เหรอ และถ้าเธอเป็นผมเธอเลี่ยงผมได้เลี่ยงคนที่รักได้ ผมก็บอกว่าชีวิตมันจะมีความสุขอะไร เธอก็บอกว่าก็อยู่กันไปแบบอดๆอยากๆนี่แหละ แค่นี้ทำเพื่อคนที่เรารักไม่ได้เชียวเหรอ ผมบอกว่ามันต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุดไม่ใช่รู้ว่าจะมีปัญหาในอนาคตแล้วละเลยไป เธอก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเธอจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ผมควรเปลี่ยนเข้าหาเธอให้มากขึ้น ที่ผ่านมาผมยังเปลี่ยนไม่พอ เมื่อเธอพบกับปัญหา(ส่วนใหญ่เรื่องเงิน)เธอต้องการกำลังใจไม่ใช่คำตำหนิหรือซ้ำเติม(โดยมากผมจะบ่นๆประมาณว่าเตือนแล้วไม่ฟัง) เธอบอกว่าเธอต้องการคนที่อบอุ่นเอาไว้พักใจ แต่ผมมันไม่ใช่ สุดท้ายเธอก็บอกว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้ คงต้องจบกันแค่นี้เพราะผมยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นไม่ได้ ผมไม่เข้าใจเธอ ส่วนหนี้ที่ค้างผมอยู่เธอจะทยอยใช้ให้(แต่เธอบอกว่าถ้าเธอเป็นผมจะไม่เอาเงินนั้น)
คือทั้งหมดนี่ผมไม่เข้าใจแฟนใช่ไหม
แบบนี้คือผมไม่เข้าใจแฟนใช่ไหม
ผมกับแฟนคบกันมาแปดปีกว่าตั้งแต่สมัยเรียน จนตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เราผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกันมากมาย ทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้างตามประสา แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเดี๋ยวก็ดีกัน โดยพื้นเพฐานะทางบ้านแฟนไม่ดีนัก เป็นชาวไร่สับปะรด(เธอจึงมีความงกกับผมอยู่บ้าง) จนมาเมื่อสักสามปีที่แล้ว เธอได้ไปรู้จักกับธุรกิจขายตรงตัวหนึ่งน่าจะเป็นตัวแรกในประเทศไทยเลยหละมั้ง โดยการชักชวนของรุ่นพี่สมัยเรียนมหาลัย แรกๆเธอไม่บอกผม แต่เธอจะไปหารุ่นพี่คนนี้บ่อยมาก ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนมาวันหนึ่งเธอก็มาบอกกับผมว่าเธอกำลังทำธุรกิจขายตรงอยู่นะ ผมก็อึ้งไปแป๊บนึง แล้วผมก็บอกว่าอย่าทำเลย(ประมาณว่าอย่างที่เราๆท่านๆรู้นั่นแหละ) เธอก็บอกว่าน่าลองทำดูนะไม่เสียหายอะไร ตอนนั้นผมก็ยังไม่คิดไรมากเลยปล่อยให้ทำไป เมื่อวันเวลาผ่านไปเวลาของเธอที่มีให้ผมเริ่มลดน้อยลง ผมก็ลองคุยกับเธออีกครั้ง ว่าทำไมเธอไม่ค่อยมีเวลาเลย เธอบอกกับผมว่าเธอต้องการจะสร้างอนาคตให้ดีกว่าทีเธอเป็นอยู่ ดีกว่าที่งานปกติของเธอจะให้ได้ เธอจึงต้องทุ่มเทให้กับธุรกิจที่เธอกำลังทำ ตอนนี้ผมเริ่มเป็นกังวลถึงอนาคตของเรา ผมพยายามบอกให้เธอเลิก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอมีความมุ่งมั่นมาก เธอฝันถึงบ้าน ฝันถึงรถ ฝันถึงการหยุดทำงานแล้วมีรายได้ ในใจผมมันมีแต่ความกังวลจากเรื่องที่เคยได้ยินมาจากธุรกิจตัวนี้ เธอให้ผมสมัครสมาชิกและเริ่มเอาสินค้ามาขายผมตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาท ที่แพงสุดราคาประมาณสามหมื่นบาท ผมยอมซื้อเพราะรักเธอ ในตอนนั้นผมคิดว่าเดี๋ยวเธอคงเลิกทำ เธอเข้าร่วมเซ็นเตอร์ เข้างานทุกงานที่จัด จะมีอยู่งานนึงไปจัดที่ต่างจังหวัดเดือนละครั้ง ค่าใช้ครั้งละประมาณเกือบสองพัน ผมบอกกับเธอว่าแบบนี้มันจะไม่เหลือเงินเก็บนะ เธอก็บอกว่าช่วงแรกมันก็เป็นแบบนี้แหละ ทำให้ในบางครั้งเงินเธอไม่พอใช้จึงก็จะมาขอผม ในใจผมไม่อยากให้แต่ก็ต้องให้ไป แล้วเธอก็มาชวนผมเข้าเซ็นเตอร์ด้วย ตอนแรกผมก็ปฏิเสธ เธอชวนอยู่หลายครั้งจนเธอเริ่มบอกว่าผมไม่เข้าใจเธอ แค่นี้ทำไมไปไม่ได้ เราเริ่มทะเลาะกัน ในที่สุดผมก็ยอมเข้าเซ็นเตอร์กับเธอ เธอบอกให้ผมลองเปิดใจฟัง ผมเข้าไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าผมคล้อยตามอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าผมอยากรวยอย่างไอ้คนที่มายืนโม้ให้ผมฟัง ผมเข้าเซ็นเตอร์อยู่ประมาณหนึ่งปี เข้างานต่างๆที่จัดอยู่หลายครั้ง เธอบอกกับผมว่าอยากให้ผมไปเห็นว่าเธอทำอะไรอยู่ อยากให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เธอทำ ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงไม่สามารถห้ามเธอได้อีก อยากทำก็ทำไป สถานการณ์ระหว่างเราสองคนดูเหมือนว่าจะไปได้ดี แต่การเงินเธอก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะเริ่มทำเธอส่งเงินให้ที่บ้านเธอ แต่ตอนนี้ไม่ได้ส่งเท่าไหร่ ขาดๆหายๆ แล้ววิกฤตครั้งใหญ่มันก็เข้ามาในชีวิตของเธอ เมื่อบริษัทที่เธอทำงานอยู่ส่งเธอไปดูงานต่างประเทศ งานที่เธอทำเกี่ยวกับเครื่องประดับ อัญมณี ในตอนนั้นเธอรับจ็อบเป็นเด็กเดินพลอยโดยลูกค้าส่งพลอยให้ แล้วเธอนำพลอยไปออกใบรับประกันคุณภาพจากร้านที่ออกอีกทีนึง เธอเป็นแค่คนกลาง ช่วงเวลาที่เธอไปต่างประเทศนั้น ห้องที่เธอเช่าอยู่ถูกงัด แล้วความซวยก็บังเกิดขึ้นเมื่อพลอยที่เธอจะเอาไปออกใบรับประกันดันถูกขโมยไปด้วย เธอร้องไห้ร้องห่มไม่รู้จะทำยังไง พลอยเม็ดนั้นมีมูลค่า หนึ่งแสนสองหมื่นบาท ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิดหรอกหนึ่งแสนสองหมื่นบาท เธอมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็เกือบช็อคสติแตกเหมือนกัน เราคุยกันว่าผมจะใช้สิทธิพนักงานรัฐวิสาหกิจของผมกู้มาส่วนหนึ่ง แล้วเธอก็หามาอีกส่วนหนึ่ง โดยเธอไปแบ่งเอามาจากพี่สาวของเธอซึ่งเงินส่วนนี้คือเงินส่วนของเธอเอง โดยพ่อเธอยกที่ให้เธอและพี่สาว แต่ที่ของเธอนั้นมันเป็นที่ตาบอด พี่สาวก็เลยขอซื้อที่ต่อจากเธอ แต่ยังไม่ให้เงินส่วนนั้นมา เพราะรู้ว่าถ้าให้มาคงไม่เหลือแน่ พี่สาวกับแม่ของเธอไม่เชื่อว่าพลอยหายจริง ทั้งสองคิดว่าเธอเอาเงินไปลงธุรกิจจนหมด โดยพื้นเพเดิมทั้งพี่สาวและแม่ไม่ชอบที่เธอทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องจำใจให้ไป ห้าหมื่นบาท มารวมจากที่ผมกู้มาอีก เจ็ดหมื่นบาท ครบแสนสองหมื่นเอาไปใช้หนี้พลอย เธอบอกกับผมว่าเธอจะส่งเงินที่ผมกู้ให้ทุกเดือน แรกๆก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่ปัญหามาเกิดหลังจากที่เธอลาออกจากงาน เธอเคยมาเปรยๆกับผมว่าจะลาออก แต่ผมห้ามไว้ ผมบอกกับเธอว่าถ้าออกตอนนี้การเงินจะมีปัญหานะ ผมพยายามเตือนเธอเสมอว่าบริหารการเงินให้ดี แต่สุดท้ายเธอก็ออก (สาเหตุจริงๆที่เธอลาออกเพราะโดนบีบจากบริษัท เธอหยุดงานบ่อยเพื่อไปทำธุรกิจ) เธอบอกว่าเธอมั่นใจว่าเธอออกมาแล้วจะสามารถทำธุรกิจได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องห่วง เวลาผ่านไปไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเธออาจพูดถูก แต่ แต่ แต่ เรื่องยุ่งก็เข้ามาอีกจนได้ เมื่อมีลูกค้ามาสั่ง เครื่องกรองอากาศกับเครื่องกรองน้ำซึ่งมีมูลค่าประมาณเจ็ดหมื่นบาท โดยยังไม่ได้ให้เงินบอกว่าจะให้สิ้นเดือน ด้วยความที่อยากได้ยอดขายเธอจึงใช้บัตรเครดิตรูดเพื่อซื้อของมาก่อน แต่สุดท้ายไอ้ลูกค้าคนนั้นมันก็ยกเลิกไม่เอาของ กลายเป็นว่าเธอมียอดหนี้บัตรเต็มวงเงินจะเท่าไหร่ผมไม่แน่ใจแต่เธอบอกว่าประมาณหนึ่งแสน ตอนนี้เธอไม่สามารถใช้บัตรเพื่อทำธุรกิจได้อีกแล้ว เธอจึงประสบกับปัญหาการเงิน เงินที่เธอให้ผมทุกเดือนเพื่อใช้หนี้ที่ผมไปกู้มาให้ก็ไม่มี ผมจึงต้องจ่ายแทนให้เธอ ตอนนี้เข้าเดือนที่สี่แล้วที่ผมจ่ายมาให้ ซึ่งมันทำให้สภาพคล่องทางการเงินของผมเสียไปด้วย เพราะผมก็มีหนี้ส่วนของผมที่ต้องจ่ายอยู่อีก ผมพยายามบอกให้เธอกลับไปหางานประจำทำเพราะอย่างน้อยจะมีเงินเดือนที่แน่นอน ไม่ต้องมากังวลว่าเดือนนี้จะได้ยอดเท่าไหร่ ได้เงินเท่าไหร่ คราวนี้เธอยอม แต่เธอจะไม่เลิกทำธุรกิจ ประกอบกับช่วงเวลานั้นหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่เปิดรับสมัครพนักงานใหม่พอดี ผมจึงพาเธอไปยื่นใบสมัครและเตรียมสอบกลางเดือน ต.ค. เธอค้างชำระหนี้บัตรจนทางธนาคารส่งจดหมายมาเตือนอยู่หลายฉบับ ประมาณว่าถ้ายังไม่จ่ายเรื่องก็คงถึงศาลนะ เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็ไม่มีเงิน ถ้ากู้มาอีกผมคงไม่พอใช้แน่ๆ ช่วงนั้นเราเครียดกันมาก แต่เธอก็พยายามอดทนทำธุรกิจจนเธอเป็นแพลตตินั่ม(ระดับความสำเร็จขั้นแรกในธุรกิจ) ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ถ้าเธอไม่ได้ในเดือนนี้ สิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าต้องเริ่มใหม่หมด เดือนสุดท้ายนี้เธอซื้อของเองด้วยเพื่อให้ยอดถึงและเป็นแพลตตินั่ม โดยเธอยืมเงินจากพวกคนที่ทำด้วยกันน่าจะประมาณสองถึงสามหมื่นบาท ตอนแรกที่ผมรู้ว่าเธอสำเร็จผมก็ดีใจว่าจะมีเงินมาใช้หนี้ เงินก้อนแรกที่ได้ประมาณห้าหมื่นได้มาเมื่อกลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา แต่เงินนั้นเธอเอาไปใช้หนี้หมดแล้ว จากที่ยืมไปซื้อของและกินใช้ประจำวัน หนี้บัตรเครดิตกับหนี้ส่วนของผมยังอยู่ ส่วนเงินอีกก้อนที่จะได้ประมาณหนึ่งแสนบาท เธอบอกว่าปลายเดือนหน้าถึงจะได้ แต่กลายเป็นว่าเงินส่วนนั้นใช้หนี้บัตรก็หมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเธอหามาได้แล้วก็ต้องเอาไปใช้หนี้ เงินที่จะเอามาลงทุนต่อก็ไม่เหลือ ต้องยืมอีกแล้ว แล้วเรื่องก็มาเกิดจนได้ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ผมค่อนข้างเครียดมาก เพราะผมพยายามบอกให้เธอกลับไปทำงานประจำและบอกว่าจะทำธุรกิจนี้เป็นงานหลักมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันคงกลายเป็นว่าผมกดดันเธอมาก(ผมคุยเรื่องนี้กับเธอหลายครั้ง จนเธอบอกว่าผมพูดซ้ำซาก แล้วก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้) คือผมก็พยายามแก้ปัญหาให้เธออยู่นี่ไง ผมบอกเธอว่าตอนนี้เธอมีปัญหาเรื่องเงินนะ ผมหาทางแก้ไขให้อยู่ ในเมื่อทางที่เธอเลือกมันมีอุปสรรคมากทำไมไม่ลองหาทางอื่นดูก่อนหละ ลองหยุดสักพักก่อน หางานที่เป็นหลักให้ชีวิตเมื่อพร้อมแล้วค่อยทำธุรกิจนี้เสริมก็ได้ เธอบอกว่าจะทำอันนี้อย่างเดียวแล้วจะทำไม ผมถามเธอว่าจะต้องยืมเงินทุกเดือนแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ คือตอนนั้นเราคุยกันคนละอย่างแล้ว ผมคิดอย่างเธอคิดอย่าง เธอบอกว่าผมไม่เข้าใจเธอ ผมไม่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น ผมก็บอกว่า ผมไม่ห้ามที่เธอจะทำธุรกิจนี้ แต่ไม่ควรทำอย่างเดียวและต้องบริหารการเงินให้ดี ผมอยากจะแก้ปัญหาให้จบไม่อยากปล่อยไว้ให้ยึดเยื้อแบบ (คือผมเป็นคนคิดลบอยู่แล้ว อะไรที่มีความเสี่ยงผมจะพยายามเลี่ยง) ผมบอกว่าปล่อยไว้แบบนี้มันจะเป็นปัญหาในอนาคตนะ เธอย้อนกลับผมมาว่าแล้วผมจะเลี้ยงดูเธอไม่ได้เหรอ และถ้าเธอเป็นผมเธอเลี่ยงผมได้เลี่ยงคนที่รักได้ ผมก็บอกว่าชีวิตมันจะมีความสุขอะไร เธอก็บอกว่าก็อยู่กันไปแบบอดๆอยากๆนี่แหละ แค่นี้ทำเพื่อคนที่เรารักไม่ได้เชียวเหรอ ผมบอกว่ามันต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุดไม่ใช่รู้ว่าจะมีปัญหาในอนาคตแล้วละเลยไป เธอก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเธอจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ผมควรเปลี่ยนเข้าหาเธอให้มากขึ้น ที่ผ่านมาผมยังเปลี่ยนไม่พอ เมื่อเธอพบกับปัญหา(ส่วนใหญ่เรื่องเงิน)เธอต้องการกำลังใจไม่ใช่คำตำหนิหรือซ้ำเติม(โดยมากผมจะบ่นๆประมาณว่าเตือนแล้วไม่ฟัง) เธอบอกว่าเธอต้องการคนที่อบอุ่นเอาไว้พักใจ แต่ผมมันไม่ใช่ สุดท้ายเธอก็บอกว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้ คงต้องจบกันแค่นี้เพราะผมยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นไม่ได้ ผมไม่เข้าใจเธอ ส่วนหนี้ที่ค้างผมอยู่เธอจะทยอยใช้ให้(แต่เธอบอกว่าถ้าเธอเป็นผมจะไม่เอาเงินนั้น)
คือทั้งหมดนี่ผมไม่เข้าใจแฟนใช่ไหม