แบบนี้คือผมไม่เข้าใจแฟนใช่ไหม

ยาวหน่อยนะครับ

ผมกับแฟนคบกันมาแปดปีกว่าตั้งแต่สมัยเรียน  จนตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง  เราผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกันมากมาย  ทะเลาะกันบ้าง  งอนกันบ้างตามประสา  แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเดี๋ยวก็ดีกัน  โดยพื้นเพฐานะทางบ้านแฟนไม่ดีนัก  เป็นชาวไร่สับปะรด(เธอจึงมีความงกกับผมอยู่บ้าง) จนมาเมื่อสักสามปีที่แล้ว  เธอได้ไปรู้จักกับธุรกิจขายตรงตัวหนึ่งน่าจะเป็นตัวแรกในประเทศไทยเลยหละมั้ง  โดยการชักชวนของรุ่นพี่สมัยเรียนมหาลัย  แรกๆเธอไม่บอกผม  แต่เธอจะไปหารุ่นพี่คนนี้บ่อยมาก  ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร  จนมาวันหนึ่งเธอก็มาบอกกับผมว่าเธอกำลังทำธุรกิจขายตรงอยู่นะ  ผมก็อึ้งไปแป๊บนึง  แล้วผมก็บอกว่าอย่าทำเลย(ประมาณว่าอย่างที่เราๆท่านๆรู้นั่นแหละ)  เธอก็บอกว่าน่าลองทำดูนะไม่เสียหายอะไร  ตอนนั้นผมก็ยังไม่คิดไรมากเลยปล่อยให้ทำไป  เมื่อวันเวลาผ่านไปเวลาของเธอที่มีให้ผมเริ่มลดน้อยลง  ผมก็ลองคุยกับเธออีกครั้ง  ว่าทำไมเธอไม่ค่อยมีเวลาเลย  เธอบอกกับผมว่าเธอต้องการจะสร้างอนาคตให้ดีกว่าทีเธอเป็นอยู่  ดีกว่าที่งานปกติของเธอจะให้ได้  เธอจึงต้องทุ่มเทให้กับธุรกิจที่เธอกำลังทำ  ตอนนี้ผมเริ่มเป็นกังวลถึงอนาคตของเรา  ผมพยายามบอกให้เธอเลิก  แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอมีความมุ่งมั่นมาก  เธอฝันถึงบ้าน  ฝันถึงรถ   ฝันถึงการหยุดทำงานแล้วมีรายได้  ในใจผมมันมีแต่ความกังวลจากเรื่องที่เคยได้ยินมาจากธุรกิจตัวนี้   เธอให้ผมสมัครสมาชิกและเริ่มเอาสินค้ามาขายผมตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาท  ที่แพงสุดราคาประมาณสามหมื่นบาท  ผมยอมซื้อเพราะรักเธอ  ในตอนนั้นผมคิดว่าเดี๋ยวเธอคงเลิกทำ  เธอเข้าร่วมเซ็นเตอร์  เข้างานทุกงานที่จัด  จะมีอยู่งานนึงไปจัดที่ต่างจังหวัดเดือนละครั้ง ค่าใช้ครั้งละประมาณเกือบสองพัน  ผมบอกกับเธอว่าแบบนี้มันจะไม่เหลือเงินเก็บนะ  เธอก็บอกว่าช่วงแรกมันก็เป็นแบบนี้แหละ  ทำให้ในบางครั้งเงินเธอไม่พอใช้จึงก็จะมาขอผม  ในใจผมไม่อยากให้แต่ก็ต้องให้ไป  แล้วเธอก็มาชวนผมเข้าเซ็นเตอร์ด้วย  ตอนแรกผมก็ปฏิเสธ  เธอชวนอยู่หลายครั้งจนเธอเริ่มบอกว่าผมไม่เข้าใจเธอ  แค่นี้ทำไมไปไม่ได้  เราเริ่มทะเลาะกัน  ในที่สุดผมก็ยอมเข้าเซ็นเตอร์กับเธอ  เธอบอกให้ผมลองเปิดใจฟัง  ผมเข้าไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าผมคล้อยตามอะไร  ไม่ได้รู้สึกว่าผมอยากรวยอย่างไอ้คนที่มายืนโม้ให้ผมฟัง  ผมเข้าเซ็นเตอร์อยู่ประมาณหนึ่งปี  เข้างานต่างๆที่จัดอยู่หลายครั้ง  เธอบอกกับผมว่าอยากให้ผมไปเห็นว่าเธอทำอะไรอยู่  อยากให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เธอทำ  ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงไม่สามารถห้ามเธอได้อีก  อยากทำก็ทำไป  สถานการณ์ระหว่างเราสองคนดูเหมือนว่าจะไปได้ดี  แต่การเงินเธอก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ  ก่อนที่เธอจะเริ่มทำเธอส่งเงินให้ที่บ้านเธอ  แต่ตอนนี้ไม่ได้ส่งเท่าไหร่  ขาดๆหายๆ  แล้ววิกฤตครั้งใหญ่มันก็เข้ามาในชีวิตของเธอ  เมื่อบริษัทที่เธอทำงานอยู่ส่งเธอไปดูงานต่างประเทศ  งานที่เธอทำเกี่ยวกับเครื่องประดับ อัญมณี  ในตอนนั้นเธอรับจ็อบเป็นเด็กเดินพลอยโดยลูกค้าส่งพลอยให้  แล้วเธอนำพลอยไปออกใบรับประกันคุณภาพจากร้านที่ออกอีกทีนึง  เธอเป็นแค่คนกลาง  ช่วงเวลาที่เธอไปต่างประเทศนั้น  ห้องที่เธอเช่าอยู่ถูกงัด  แล้วความซวยก็บังเกิดขึ้นเมื่อพลอยที่เธอจะเอาไปออกใบรับประกันดันถูกขโมยไปด้วย  เธอร้องไห้ร้องห่มไม่รู้จะทำยังไง  พลอยเม็ดนั้นมีมูลค่า  หนึ่งแสนสองหมื่นบาท  ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิดหรอกหนึ่งแสนสองหมื่นบาท  เธอมาเล่าให้ผมฟัง  ผมก็เกือบช็อคสติแตกเหมือนกัน  เราคุยกันว่าผมจะใช้สิทธิพนักงานรัฐวิสาหกิจของผมกู้มาส่วนหนึ่ง  แล้วเธอก็หามาอีกส่วนหนึ่ง  โดยเธอไปแบ่งเอามาจากพี่สาวของเธอซึ่งเงินส่วนนี้คือเงินส่วนของเธอเอง  โดยพ่อเธอยกที่ให้เธอและพี่สาว  แต่ที่ของเธอนั้นมันเป็นที่ตาบอด  พี่สาวก็เลยขอซื้อที่ต่อจากเธอ  แต่ยังไม่ให้เงินส่วนนั้นมา  เพราะรู้ว่าถ้าให้มาคงไม่เหลือแน่  พี่สาวกับแม่ของเธอไม่เชื่อว่าพลอยหายจริง  ทั้งสองคิดว่าเธอเอาเงินไปลงธุรกิจจนหมด  โดยพื้นเพเดิมทั้งพี่สาวและแม่ไม่ชอบที่เธอทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว  แต่ก็ต้องจำใจให้ไป ห้าหมื่นบาท มารวมจากที่ผมกู้มาอีก  เจ็ดหมื่นบาท  ครบแสนสองหมื่นเอาไปใช้หนี้พลอย  เธอบอกกับผมว่าเธอจะส่งเงินที่ผมกู้ให้ทุกเดือน  แรกๆก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่ปัญหามาเกิดหลังจากที่เธอลาออกจากงาน   เธอเคยมาเปรยๆกับผมว่าจะลาออก   แต่ผมห้ามไว้  ผมบอกกับเธอว่าถ้าออกตอนนี้การเงินจะมีปัญหานะ  ผมพยายามเตือนเธอเสมอว่าบริหารการเงินให้ดี  แต่สุดท้ายเธอก็ออก (สาเหตุจริงๆที่เธอลาออกเพราะโดนบีบจากบริษัท  เธอหยุดงานบ่อยเพื่อไปทำธุรกิจ)   เธอบอกว่าเธอมั่นใจว่าเธอออกมาแล้วจะสามารถทำธุรกิจได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องห่วง  เวลาผ่านไปไม่นานนัก  ดูเหมือนว่าเธออาจพูดถูก  แต่ แต่ แต่ เรื่องยุ่งก็เข้ามาอีกจนได้  เมื่อมีลูกค้ามาสั่ง  เครื่องกรองอากาศกับเครื่องกรองน้ำซึ่งมีมูลค่าประมาณเจ็ดหมื่นบาท  โดยยังไม่ได้ให้เงินบอกว่าจะให้สิ้นเดือน  ด้วยความที่อยากได้ยอดขายเธอจึงใช้บัตรเครดิตรูดเพื่อซื้อของมาก่อน  แต่สุดท้ายไอ้ลูกค้าคนนั้นมันก็ยกเลิกไม่เอาของ  กลายเป็นว่าเธอมียอดหนี้บัตรเต็มวงเงินจะเท่าไหร่ผมไม่แน่ใจแต่เธอบอกว่าประมาณหนึ่งแสน  ตอนนี้เธอไม่สามารถใช้บัตรเพื่อทำธุรกิจได้อีกแล้ว  เธอจึงประสบกับปัญหาการเงิน  เงินที่เธอให้ผมทุกเดือนเพื่อใช้หนี้ที่ผมไปกู้มาให้ก็ไม่มี  ผมจึงต้องจ่ายแทนให้เธอ  ตอนนี้เข้าเดือนที่สี่แล้วที่ผมจ่ายมาให้  ซึ่งมันทำให้สภาพคล่องทางการเงินของผมเสียไปด้วย  เพราะผมก็มีหนี้ส่วนของผมที่ต้องจ่ายอยู่อีก  ผมพยายามบอกให้เธอกลับไปหางานประจำทำเพราะอย่างน้อยจะมีเงินเดือนที่แน่นอน  ไม่ต้องมากังวลว่าเดือนนี้จะได้ยอดเท่าไหร่  ได้เงินเท่าไหร่  คราวนี้เธอยอม  แต่เธอจะไม่เลิกทำธุรกิจ  ประกอบกับช่วงเวลานั้นหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่เปิดรับสมัครพนักงานใหม่พอดี  ผมจึงพาเธอไปยื่นใบสมัครและเตรียมสอบกลางเดือน ต.ค.  เธอค้างชำระหนี้บัตรจนทางธนาคารส่งจดหมายมาเตือนอยู่หลายฉบับ  ประมาณว่าถ้ายังไม่จ่ายเรื่องก็คงถึงศาลนะ  เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง  ผมก็ไม่มีเงิน  ถ้ากู้มาอีกผมคงไม่พอใช้แน่ๆ  ช่วงนั้นเราเครียดกันมาก  แต่เธอก็พยายามอดทนทำธุรกิจจนเธอเป็นแพลตตินั่ม(ระดับความสำเร็จขั้นแรกในธุรกิจ)  ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา  ถ้าเธอไม่ได้ในเดือนนี้  สิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าต้องเริ่มใหม่หมด  เดือนสุดท้ายนี้เธอซื้อของเองด้วยเพื่อให้ยอดถึงและเป็นแพลตตินั่ม  โดยเธอยืมเงินจากพวกคนที่ทำด้วยกันน่าจะประมาณสองถึงสามหมื่นบาท  ตอนแรกที่ผมรู้ว่าเธอสำเร็จผมก็ดีใจว่าจะมีเงินมาใช้หนี้  เงินก้อนแรกที่ได้ประมาณห้าหมื่นได้มาเมื่อกลางเดือน  ส.ค. ที่ผ่านมา  แต่เงินนั้นเธอเอาไปใช้หนี้หมดแล้ว  จากที่ยืมไปซื้อของและกินใช้ประจำวัน  หนี้บัตรเครดิตกับหนี้ส่วนของผมยังอยู่  ส่วนเงินอีกก้อนที่จะได้ประมาณหนึ่งแสนบาท  เธอบอกว่าปลายเดือนหน้าถึงจะได้  แต่กลายเป็นว่าเงินส่วนนั้นใช้หนี้บัตรก็หมดแล้ว  ไม่เหลืออะไรเท่าไหร่  เหมือนกับว่าเธอหามาได้แล้วก็ต้องเอาไปใช้หนี้  เงินที่จะเอามาลงทุนต่อก็ไม่เหลือ  ต้องยืมอีกแล้ว  แล้วเรื่องก็มาเกิดจนได้ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ผมค่อนข้างเครียดมาก  เพราะผมพยายามบอกให้เธอกลับไปทำงานประจำและบอกว่าจะทำธุรกิจนี้เป็นงานหลักมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่  มันคงกลายเป็นว่าผมกดดันเธอมาก(ผมคุยเรื่องนี้กับเธอหลายครั้ง  จนเธอบอกว่าผมพูดซ้ำซาก  แล้วก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้)  คือผมก็พยายามแก้ปัญหาให้เธออยู่นี่ไง  ผมบอกเธอว่าตอนนี้เธอมีปัญหาเรื่องเงินนะ  ผมหาทางแก้ไขให้อยู่  ในเมื่อทางที่เธอเลือกมันมีอุปสรรคมากทำไมไม่ลองหาทางอื่นดูก่อนหละ ลองหยุดสักพักก่อน  หางานที่เป็นหลักให้ชีวิตเมื่อพร้อมแล้วค่อยทำธุรกิจนี้เสริมก็ได้    เธอบอกว่าจะทำอันนี้อย่างเดียวแล้วจะทำไม  ผมถามเธอว่าจะต้องยืมเงินทุกเดือนแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ  คือตอนนั้นเราคุยกันคนละอย่างแล้ว  ผมคิดอย่างเธอคิดอย่าง  เธอบอกว่าผมไม่เข้าใจเธอ  ผมไม่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น  ผมก็บอกว่า  ผมไม่ห้ามที่เธอจะทำธุรกิจนี้  แต่ไม่ควรทำอย่างเดียวและต้องบริหารการเงินให้ดี   ผมอยากจะแก้ปัญหาให้จบไม่อยากปล่อยไว้ให้ยึดเยื้อแบบ (คือผมเป็นคนคิดลบอยู่แล้ว  อะไรที่มีความเสี่ยงผมจะพยายามเลี่ยง)  ผมบอกว่าปล่อยไว้แบบนี้มันจะเป็นปัญหาในอนาคตนะ  เธอย้อนกลับผมมาว่าแล้วผมจะเลี้ยงดูเธอไม่ได้เหรอ และถ้าเธอเป็นผมเธอเลี่ยงผมได้เลี่ยงคนที่รักได้   ผมก็บอกว่าชีวิตมันจะมีความสุขอะไร  เธอก็บอกว่าก็อยู่กันไปแบบอดๆอยากๆนี่แหละ แค่นี้ทำเพื่อคนที่เรารักไม่ได้เชียวเหรอ  ผมบอกว่ามันต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุดไม่ใช่รู้ว่าจะมีปัญหาในอนาคตแล้วละเลยไป  เธอก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเธอจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร  ผมควรเปลี่ยนเข้าหาเธอให้มากขึ้น  ที่ผ่านมาผมยังเปลี่ยนไม่พอ  เมื่อเธอพบกับปัญหา(ส่วนใหญ่เรื่องเงิน)เธอต้องการกำลังใจไม่ใช่คำตำหนิหรือซ้ำเติม(โดยมากผมจะบ่นๆประมาณว่าเตือนแล้วไม่ฟัง)  เธอบอกว่าเธอต้องการคนที่อบอุ่นเอาไว้พักใจ  แต่ผมมันไม่ใช่  สุดท้ายเธอก็บอกว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้  คงต้องจบกันแค่นี้เพราะผมยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นไม่ได้  ผมไม่เข้าใจเธอ ส่วนหนี้ที่ค้างผมอยู่เธอจะทยอยใช้ให้(แต่เธอบอกว่าถ้าเธอเป็นผมจะไม่เอาเงินนั้น)

คือทั้งหมดนี่ผมไม่เข้าใจแฟนใช่ไหม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่