1 ตุลาคมนี้ มีอะไรใหม่กับการรักษามะเร็งด้วยสิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)

กระทู้สั้นๆนี้จะออกแนวกึ่งๆบ่นมากกว่าให้ความรู้นะครับ

ก่อนจะไปถึงเนื้อข่าวที่จะมาแจ้งให้ทราบกัน ขอให้ความรู้สักเล็กน้อยถึงสิทธิ์การรักษา กับ การรักษาโรคมะเร็งแบบคร่าวๆก่อน

"การรักษาคนไข้เราไม่ได้ดูสิทธิ์การรักษา ใครป่วยอะไรเราก็รักษาตามนั้น เหมือนๆกันๆ"

ความจริงคือ ไม่ การรักษาโรคมะเร็งในไทยปัจจัยที่สำคัญพอๆกับข้อมูลทางการแพทย์คือสิทธิ์การรักษา เพราะทางสปสช.ซึ่งกำหนดนโยบายและแนวทางการรักษาได้กำหนดโปรโตคอลหรือสูตรยาที่สามารถใช้ได้ในการรักษามะเร็งที่พบบ่อย ดังนั้นผู้ป่วยบัตรทองและประกันสังคม(ซึ่งลอกเลียน สปสช.มาอีกที) จะมีทางเลือกที่กำจัดมาก นอกจากนี้บ่อยครั้งมันต่ำกว่ามาตรฐานสากลอย่างมาก

ยานอกบัญชีแทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้ในผู้ป่วยบัตรทองและประกันสังคมในโรคมะเร็งเพราะราคามันยิ่งแพงมากๆ

และยิ่งถ้าเป็นกรณีที่การรักษามันขาดข้อมูลมาตรฐานคนไข้เหล่านี้ก็อาจจะขาดโอกาสการรักษาต่อแม้ความเห็นแพทย์ยังมองว่าสมควรจะรักษาต่อ


"การเบิกจ่ายในการรักษาโรคมะเร็ง แตกต่างจากโรคอื่นๆทั่วไป"

ข้อความนี้จริงเพราะเกือบทุกการรักษามะเร็งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้นจึงมีการกำหนดการเบิกจ่ายที่พิเศษกว่าโรคทั่วไปๆ และที่สร้างความยุ่งยากคือ แต่ละกองทุนแต่ละสิทธิ์มีแนวทางที่แตกต่างกันพอสมควร

ในการเบิกจ่ายนั้นแต่เดิมเราจะแบ่งเป็นผู้ป่วยนอกกับผู้ป่วยใน โปรโตคอลที่ตีกรอบแนวทางการรักษานั้นบังคับใช้เฉพาะผู้ป่วยนอก ส่วนผู้ป่วยในนั้นจะใช้ระบบเหมาจ่ายตามความซับซ้อนของโรค DRG ซึ่งเมื่อเป็นโรคมะเร็งค่ารักษาตรงนี้จะเบิกได้มากและมักเพียงพอต่อการรักษาธรรมดาๆของมะเร็ง

เพื่อประโยชน์ของคนไข้ หมอมะเร็งส่วนหนึ่งจึงลักไก่ใช้ช่องว่างนี้ด้วยการให้คนไข้นอนรพ.เพื่อให้เบิกค่าคีโมได้พอกับการรักษาที่เราคิดว่าเหมาะสมที่สุดทางการแพทย์แต่ไม่ตรงโปรโตคอล


ที่มาของการกำหนดนโยบายใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
แน่นอนการอาศัยช่องโหว่เหล่านี้ไม่ได้หลุดลอดสายตาของ สปสช. ไปได้ ค่าใช้จ่ายการรักาษนอกโปรโตคอลพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จนในที่สุด ก็มีมาตรการที่มาแก้ปัญหาตรงนี้ ความพยายามนี้เริ่มเป้นรูปเป้นร่างตั้งแต่ต้นปี ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายน แต่ก็เงียบหายไปจนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านนี้ ก็มีการประชุมเพื่อเตรียมบังคับใช้ระเบียบการใหม่


ระเบียบการใหม่เป็นอย่างไร
1 ยกเลิกการเบิกจ่ายแบบเหมาจ่ายของผู้ป่วยในของโรคมะเร็ง โดยหักค่าคีโมออกไป
2 กำหนดให้คนไข้มะเร็งทุกคนของสิทธิ์บัตรทองจะรักษาได้ดังนี้
     2.1 โรคที่กำหนดโปรโตคอลแล้วต้องรักษาตามโปรโตคอลเท่านั้น และจะเบิกได้ไม่เกินเพดานราคายาที่กำหนด
     2.2 หากมีเหตุผลใดที่ไม่สามารถรักษาตามโปรโตคอลได้จะเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 2100 บาทซึ่งยาคีโมเกือบทั้งหมดไม่พอเพียง
     2.3 แต่ถ้าเป็นโรคที่ไม่ได้กำหนดโปรโตคอลจะสามารถเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 6000 บาทซึ่งจะทำให้ขอบเขตความสามารถในการรักาษลดลงไปมาก
3 เพื่อให้การบังคับใช้ตามข้อ 2 เกิดขึ้นได้ จึงกำหนดให้รพ.ต้องลงทะเบียนกับทาง สปสช. ทุกรายเพื่อพิจารณาการเบิกจ่าย
4 กำหนดราคาของยาที่เบิกได้ ซึ่งแม้จะเรียกว่าราคากลาง แต่ราคาที่กำหนดแทบจะเป็ยราคาต่ำสุดของยาแต่ละตัวซึ่งหลายต่อหลายตัวไม่ได้มีการใช้อยู่ในโรงเรียนแพทย์


ผลกระทบที่คิดเดาเอาเองว่าอาจจะเกิด
1 ความยุ่งยากมากขึ้นในการที่ต้องลงทะเบียนกับ สปสช ทุกเคส จากเดิม แต่ระบุว่าเบิกตามโปรโตคอลใด รพ.ส่วนมากอาจต้องมีคนทำงานเพิ่มขึ้นอีก 1 คนเพื่อการนี้
2 การรักษานอกโปรโตคอลที่แม้จะเป็นมาตรฐานสากลมานานหลายปี ก็จะไม่สามารถ แอบทำ ได้อีกต่อไป จากเดิม ที่เราแอบแอดมิทนอนรพ.แล้วเบิกเหมาจ่าย
3 การรักษาโรคที่ไม่มีโปรโตคอลจะลำบากกว่าเดิมมากเพราะราคาที่กำหนดไว้ จากเดิมที่เราอาจ แอบ แบ่งการเบิกยาเป็นรายการย่อยๆได้
4 ยาหลายตัวจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นยี่ห้อที่ไม่ทำให้รพ.ขาดทุน โดยที่ไม่รู้ว่าคุณภาพเป็นอย่างไร จากเดิมที่ยาต่างๆมักจะต้องมีคุณภาพที่มั่นใจได้ในระดับหนึ่ง แม้กระนั้นยาบางตัวเหล่านี้ยังอาจเกิดปัญหาเพราะโรงงานถูกปิดเพราะไม่ได้มาตรฐาน
5 สิทธิ์ประกันสังคมและสิทธิ์ราชการจะถูกปรับมาใช้ตามกันหากระบบใหม่นี้มันสามารถทำได้จริง (ซึ่งก็คงทำได้ หมอไทย คนไข้ไทย ปรับตัวเก่งอยู่แล้ว)


ปล1. ใครคาดหวังการรักษาด้วย Herceptin ใน มะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรกที่มีตัวรับ HER-2 นั้นโปรดทราบว่า แม้ว่าจะโฆษณาว่าจะเริ่มได้ 1 ตุลาคมนี้ แต่ตอนนี้มีแค่การเพิ่มรายการยาไว้แต่ยังไม่มีการกำหนดโปรโตคอลออกมาว่าใครจะได้ใช้ ใครจะไม่ได้ใช้ ดังนั้นยังไม่รู้ว่าจะทันการ 1 ตุลามคมนี้จริงหรือไม่

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่