การที่เราไม่รักคนที่เขารักเรามันเจ็บยิ่งคนที่เรารักเขาไม่รักเรา

สวัสดีครับ คุณคิดว่าคนเราจะมีความรัก(แบบชายหญิง)ตั้งแต่ประถมได้หรือไม่ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจากชีวิตจริงของผมเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าความรักที่แท้จริงมันเกิดตอนไหนกันแน่ ผมแอบชอบเพื่อนคนหนึ่งตั้งแต่เรียนประถม(ขอใช้นามสมมติว่าเอ) ในห้องมีเพื่อน 40 กว่าคน ผมกับเอก็พูดคุยปรึกษากันก็เหมือนเพื่อนคนอื่น ไม่มีอะไรพิเศษเลย ทั้งที่ในใจผมก็แอบชอบเอ เราทั้ง 2 คนก็เรียนดีพอๆกันเวลาจบเทอมครูจัดลำดับก็เกาะกลุ่มแนวหน้าของห้องเสมอ เช่น ที่ 3 กับที่ 4 หรือที่ 5 กับที่ 6 ไม่ติดกันก็ห่างกันแค่ 1 ลำดับ จะติวหนังสือให้กันก็แทบจะไม่มีเพราะเราเรียนได้พอๆกัน จนจะจบ ป.6 เพื่อนหลานคนก็เข้าต่อ ม.1 ในโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น แต่ผมกับเอยังเลือกที่จะเรียนที่เดิม เหลือเพื่อนทั้งหมด 20 กว่าคน ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะขี้อาย เรียบร้อย พูดน้อย ถ้าไม่ใช่ธุระหรืใครชวนคุยก่อนจะพูดเล่นกับใครก็ไม่เป็นเลย ข้อนี้เป็นนิสัยที่แย่และแก้ไม่หายจริงๆ แต่ในมัธยมด้วยจำนวนเพื่อนที่น้อยลง ทำให้ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเอมากขึ้น ก็พูดคุยกันในเรื่องเรียน และเรื่องทั่วไป ส่วนเรื่องเรียนก็ไม่ได้คุยกันมากนักเพราะความรูเราก็พอๆกัน ใน ม.ต้น จะมีอยู่ 4 คน ผมและเอคือ 2 คน ในนั้น ที่จะเรียนสลับกันได้ที่ 1-4 แทบจะทุกเทอม แต่มีบ้างซักเทอมสองเทอมที่เพื่อนที่รองลงไปขึ้นมาเป็นที่ 3 ที่ 4 บ้าง มีเทอมนึงที่ผมกับเอและเพื่อนอีก 1 คนใน 4 คน ที่กล่าวถึงข้างต้นซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับเอ ได้ที่ 1 ด้วยเกรดที่เท่ากันทั้ง 3 คน แต่มีอยู่ 2 วิชาที่เราพอติวให้กันได้ คือคณิตศาสตร์ กับภาษาอังกฤษ โดยที่คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ผมเข้าใจมากที่สุด ผมชอบและไม่เคยเครียดกับวิชานี้เลย ทำข้อสอบได้สูงสุดทุกเทอม ได้เกรด 4 นี่ใช่เลย ได้ 3.5 เราพลาดตรงไหนไปวะได้ 3 นี่แย่สุดๆแล้ว แต่ภาษาอังกฤษ ผมแทบจะเกาะกลุ่มท้ายๆเลยทีเดียว นอกจากเรื่องเรียน เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย แต่อันนี้โทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเองที่คุยไม่เก่งเอาซะเลย บางครั้งมานั่งติวและทำการบ้านด้วยกัน 2 คนก็มี(มีสลับกันลอกภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ด้วย) แต่พอคิดที่จะจีบทีไร มันไม่กล้าขึ้นมาทุกที กลัวว่าเอจะไม่คุยด้วยเหมือนที่เป็นอยู่ เป็นอย่างนั้นมาจนจบ ม.3

       พอจบ ม.3 เอก็ชวนผมสอบเขาโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดที่ใครก็อยากเรียน อยากส่งลูกหลานไปเรียน เพื่อนทั้ง 4 คนที่ว่า แน่นอน ตรงไปสอบเข้าที่นี้ อย่างเอกับเพื่อนอีกคนนึ่งใน 4 คนท๊อปๆที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพื่อนคนนี้เลือกเรียนศิลป์ภาษา(ฝรั่งเศส) น่าเสียดายที่ตอนสอบเขาสอบเข้าไม่ได้ เอเลือกเรียนศิลป์ภาษา(ฝรั่งเยอรมัน) ย้อนไปที่อาจารย์ที่สอนคณิตศาสตร์ที่สอนตั้งแต่รุ่นน้าผม ได้ย้ายก่อนผมจบไม่นาน ก็บอกว่าสอบเข้าที่นี่ให้ได้นะ พ่อแม่ก็หวังกับโรงเรียนแห่งนี้มาก แต่ลึกๆแล้วผมอยากต่ออาชีวะนะ ผมเลยเลือกสอบสายศิลป์คำนวณและเป็นสายเดียวกับที่เพื่อนสนิทของเอเลือกด้วย ผมไม่กล้าเลือกวิทย์-คณิต เพราะเด็กเก่งๆทั้งนั้นทั่วจังหวัด กลัวสอบไม่ได้ แต่เป็นการตัดสินใจผิดพลาดที่ส่งผลต่ออนาคต แล้วเป็นโอกาสที่ทำให้ผมเจอกับสิ่งที่ดีที่สุด แต่ผมกลับโยนมันทิ้งด้วยมือผมเอง จะเป็นอย่างไรนั้น ย้อนกลับมาตอนสอบเข้าก่อน  วันสอบ ผม เอ เพื่อนสนิทของเอสอบเข้าได้ ผมได้เรียนห้องเดียวกับเพื่อนสนิทของเอด้วย นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะต้องกล้าที่ทำตามหัวใจตัวเอง และสานความสัมพันธ์กับเอต่อถ้าเรียนที่นี่  ในขณะที่ผมกำลังชั่งใจว่าจะสละสิทธ์ ไปเรียนอาซีวะตามที่ตั้งใจในตอนแรกตัดใจจากเอซะเรียนห้องเดียวกันยังไม่กล้าเรียนคนละห้องคงไม่มีหวัง หรือเรียนโรงเรียนเดียวกับเอซึ่งเป็นโรงเรียนที่พ่อแม่หวังไว้ด้วยดีไหมจบ ม.ปลายค่อยเลือกสายเอาก็ได้ ในขณะที่พ่อแม่และคนรอบข้างชื่นชมวาดฝันต่างๆนาๆ ว่าจบแล้วต่อสาขานั้นนะ ทำงานนี้นะ แทบจะไม่ได้คิดว่าตนเองชอบอะไร ทั้งที่แท้จริงแล้วตนเองชอบงานช่าง อยากต่ออาชีวะมากว่า สุดท้ายผมก็เลือกต่อ ม.ปลาย โรงเรียนนี้ ช่วงนั้นผมไม่ได้พบไม่ได้คุยกับเอเลย แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เอกลับสละสิทธ์ ไปต่อสายอาชีวะ ผมไม่รู้ว่าทำไม่เอถึงเปลี่ยนใจ ทั้งที่ตอนแรกเออยากเข้าโรงเรียนนี้มาก ผมนี่สิที่อยากจะเข้าอาชีวะ แต่กลับไม่เลือก  

        หลังจากนั้นผมแทบจะไม่เจอเอเลย เนื่องจาเอย้ายไปอยู่ในเมืองกับญาติใกล้วิทยาลัย ผมก็นั่ง 2 แถว 20 กว่า กม.ไปโรงเรียน พอผมเข้ามาเรียน ม.ปลาย ผมได้มารู้จักผู้หญิงคนหนึ่งเรียนสายเดียวกันแต่คนละห้อง(ขอใช้นามสมมติว่าบี) บีรู้จักกับเพื่อนห้องเดียวกับผมหลายคนเพาะเธอเรียนที่นี่มาตั้งแต่ ม.ต้น กลายเป็นว่า บีมาชอบผม ไม่รู้นะว่าชอบผมตรงไหน ผมเองก็ไม่ได้หล่อออกแนวเงียบๆด้วยซ้ำ เธอชอบเด็กเรียนเด็กเรียบร้อยมั้ง(คิดไปเอง) บีเป็นคนน่ารัก ร่าเริง รู้สึกดีทุกครั้งที่เธอคุยด้วย แต่ไม่กล้าที่จะคุยมากเพราะกลัวเธอจะเข้าใจผิด มีหลายครั้งที่ผมคิดว่าจะเป็นแฟนบีดีไหม ทุกครั้งที่คิดสักพักก็จะคิดถึงเอขึ้นมาทันที ผมมีโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง แต่เสียบ่อยมาก มีวันหนึ่งบีมาขอเบอร์ในช่วงที่โทรศัพท์เสียด้วยผมเลยไม่ได้ให้ไป แต่ที่รงเรียนเราก็เจอกันบ่อย มีอยู่วันหนึ่งได้คุยกับบีก่อนเลิกเรียน พอเลิกเรียนก็ได้ไปเจอเอกับอดีตเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องอีกคน เขาเรียนให้เรียกเข้าไปนั่งคุยด้วย คือมีบางวันที่เอมาพักที่บ้านที่เคยอยู่ก่อนจบ ม.3 ประมาเดือยละ 2-3 ครั้ง การที่ผมได้คุยกับ เอ และ บี ในวันเดียวกันมันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่อาจเปลี่ยนใจจากเอไปรักไปชอบบีได้ ทั้งๆที่ผมไม่เห็นว่าบีมีอะไรด้อยไปกว่าเอ น่าตาก็สวยน่ารักไม่แพ้กัน ออกจะสดใสร่าเริงกว่าเอด้วยซ้ำ ทักและชวนผมคุยก่อนทุกครั้งที่เจอ ผมก็ไม่ได้รำคาญหรือรังเกียจ รู้สึกดีด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ยอมเปลี่ยนใจ วันหนึ่งบีก็ถามผมว่าทำไมไม่ชอบเธอ ผมไมคิดว่าเธอจะมาถามผมตรงแบบนี้ ผมไม่รูว่าจะตอบอย่างไรดี เพราะเธอไม่ได้มีอะไรไม่ดีเลย ในใจผมคิดว่าถ้าเป็นแฟนเธอ แล้ววันหนึ่งรู้สึกว่าไม่ใช่ แต่เธอรักผมจริง ผมจะทำอย่างไร จะบอกเลิกถ้าเธอไม่มีอะไรผิด ผมคงทำไม่ลงแน่ ปฏิเสธเธอตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสิทธิของผมที่ถึงแม้จะทำให้เธอเสียใจ ดีกว่าไปหลอกเธอ แต่เหตุผลนี้สิยังคิดไมออก เลยตอบไปว่ามีแฟนแล้ว เรียนที่วิทยาลัยใกล้ๆ วันหลังคิดว่าไม่น่าจะไปโกหกเธอ จังหวะที่เธอถาม มันคิดเหตุผลอะไรไม่ออกจริงๆ นี่คือโอกาสที่ทำให้ผมเจอกับสิ่งที่ดีที่สุด แต่ผมกลับโยนมันทิ้งด้วยมือผมเอง จนกระทั่งเราเรียนจบ ม.ปลาย

        ผมอยากต่อวิศวะฯ แต่ด้วยการเลือกสายที่ผิด ไม่อาจจะสอบเข้าคณะนี้ได้ ผมเลยตัดสินใจต่อ ปวส. ในที่เดียวกับเอ ซึ่งเป็นที่ผมอยากจะมาเรียนก่อนหน้านั้น ผมได้มารู้จักกับเพื่อนตอน  ปวส. ของเอ ผ่านเพื่อนของผมอีกที ในตอนปี2 ครั้งนี้ไม่ว่าผลจะเป้นอย่างไรผมต้องหาโอกาสจีบเอแล้ว แต่มันก็สายไป เพื่อนคนนั้นก็บอกว่าเอมีแฟนแล้ว ผมอกหักแน่นอนแล้ว ก่อนหน้านั้นผมได้เจอบีครั้งหนึ่งในงานกาชาติของจังหวัดโดยบังเอิญ ในชุดช่างด้วย ผมคิดว่า บีคงเข้าใจว่าผมมีแฟนที่วิทยาลัยนี้แน่ๆ เนื่องจากคนเยอะเราเลยไม่ได้คุยอะไรกันมากนอกจากทักทายกันธรรมดา จนผมจบ ปวส. ผมก็มาต่อวิศวะ หลังจาที่ผมเรียนวิศวะฯไม่นานผมก็ได้ facebook บีมา พบว่า บีมีแฟนแล้ว ผมก็คงได้แค่แอบยินดีกับเธอ ซึ่งขณะนั้นผมได้มาเจอใครคนหนึ่ง(ขอใช้นามสมมติว่าซี) ซีเป็นคนหน้าตาน่ารัก แต่ออกจะห้าวๆไปหน่อยจนมีเพื่อนบางคนล้อว่าเป็นทอม แต่ผมกลับมองว่าเธอน่ารักเสมอ นี่ผมตัดใจจากเอมาชอบซีเข้าแล้วเหรอนี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบ อีกอย่าง เอ บี ซี หน้าตาและนิสัยก็ไม่เหมือนกันเลย  ทั้งๆที่ผมกับซีเราไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย เราจะคุยกันได้คงต้องมีธุระ ทั้งที่ผมคุยไม่ค่อยเก่ง แต่เกือบทั้งหมดผมจะเป็นฝ่ายคุยกับเธอก่อนนะ โอกาสที่จะพัฒนาความสัมพันธ์มันไม่มีเลย ทั้งที่ตอนนี้ผมคุยและเข้าสังคมมากกว่าตอนเด็กเยอะนะครับ ซีเป็นคนที่น่ารักและเข้ากับคนอื่นหลายกลุ่มคนเลย เธอทำอะไรก็ดูดีในสายตาทุกคนเสมอ รู้สึกเหมือนผมเป็นแค่ส่วนเล็กๆไปเลย จะคุยซักทีก็คิดแล้วคิดอีกว่าเธออยากคุยด้วยหรืเปล่า มันแย่ยิ่งกว่าตอนที่แอบรักเออีกนะ  นี่คือเหตุการณ์ที่เรียกว่าดอกฟ้ากับหมาวัดใช่ไหม ตอนนี้ผมทำงานแล้ว เป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ก็ยังโสด พอคิดย้อนกลับไป พบว่าสิ่งที่ดีที่สุด คือความรู้สึกดีๆที่บีมอบให้ แต่ผมกลับโยนมันทิ้งไป มันทำให้ผมเสียใจยิ่งกว่าที่รู้ว่า เอ และ ซี ไม่รักผมด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ผมนอนค่อยไม่เคยหลับกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง ถ้าผมเลือกที่จะเป็นแฟนบีผมคงมีความสุขมากว่านี้เยอะเลย บางครั้งคิดขึ้นมาก็น้ำตาซึม ไม่รูว่าจะเจอใครอย่างบีหรือไม่ ซึ่งโอกาสของผมแทบจะไม่มีเลย วันนี้ต่อให้ผมเลือกได้ทั้ง 3 คน ผมก้อยากจะเลือกบี แต่มันคงเป็นแค่ความคิดที่ไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้ ทุกวันนี้มีแต่ที่ทำงาน ที่นอน โต๊ะกินข้าว บนรถเมล์ รถตู้ ป้ายรถเมล์ ถนน หน้าจอคอมพิวเตอร์ โอกาสที่จะได้เจอใครใหม่ๆก็แทบจะไม่มีเลย

        ข่าวล่าสุดของทั้ง 3 คน เมื่อต้นปี เอก็แต่งงานไปแล้ว บีก็อยู่แถว กทม. ครับ แต่ก็ไม่ได้ติต่อกันเลยไม่รู้ว่าทักไปแบบเพื่อนจะทำให้เขาคิอย่างไร เพราะตอนนี้เขาก็มีแฟนแล้ว ซีก็อยู่แถว กทม.ครับ คุยกันบ้างนานๆครั้งทาง Facebook แต่ก็เป็นแบบว่าผมถามไป เขาตอบมาเท่านั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่