ปกติไม่ได้เป็นคนมานั่งอ่านใน pantip แต่จะได้มาอ่านใน pantip จากคนที่ไป Post ใน Facebook แล้วกดมาล่าสุดได้มีโอกาสไปอ่านกระทู้ "อายุ 26 ปี กับเงินเก็บในบัญชี 8 หลัก"
http://pantip.com/topic/32535488 นั่งอ่านไปก็อิจฉาไป แต่พอให้มาดูตัวเองแล้ว เอ๊ะเราก็ไม่ต่างจากเจ้าของกระทู้นี้เลย ก็เลยเป็นแรงบันดานใจเขียนกระทู้สนทนากับเค้าบ้างเพื่อแบ่งปัน ให้รู้ว่ามันทำได้จริงๆและมีคนที่ทำได้อยู่แต่อาจจะไม่เยอะ อย่าไปมองว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเอาผมในวันนี้ไปคุยกับผมในอดีตแล้ว ผมตัวเองในอดีตคงบอกกับผมในวันนี้ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก มีแต่ผมในวันนี้เท่านั้นที่รู้ว่าทำได้และทำได้จริง เลยอยากให้เพื่อนรู้ด้วยว่าทำได้
ผมบอกก่อนเร็วๆเผื่อบางคนอยากรู้ว่าผมทำอะไร ทุกวันนี้ผมเปิดบริษัทรับงานด้าน IT กับลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆคือ Telecom , Banking , Automation , Government , Insurance โดยเข้าไปทำงานบริการเกี่ยวกับติดตั้ง Product ของ IBM ซึ่งงานใน area นี้เป็น Nich Market มากๆ คู่แข่งไม่ค่อยมี
เริ่มเลยแล้วกันชีวิตผมจบวิศวะคอมจากลาดกระบังเมื่อปี 2005 ที่บ้านฐานะปลานกลางไม่มีหนี้สิน ได้เงินไปกินขนมและใช้ใน มหาลัยเดือนละ 3,000 บาท ต้องบริหารจัดให้ได้เพียงพอเพราะรับเงินเป็นรายเดือน แต่ก่อนทุกวันเป็นคนชอบกินมากๆแต่จะซื้อหาอารกินขนมกินเยอะๆๆไม่ได้เพราะเงินไม่พอ ณ วันนั้นเห็นเพื่อนได้เงินมามหาลัยวันละ 300 - 500 บอกเลยอิจฉามาก เพราะเค้าสามารถเข้า 7 แล้วซื้อขนมทุกอย่างที่เค้าอยากกิน ส่วนเราซื้อได้แต่ไม่ใช่ทุกวันและทุกอย่าง ชีวิตโดยทั่วๆไปไม่ต่างอะไรกับทุกคนในมหาลัย(จะบอกตรงนี้ว่าต้นทุนชีวิตผมไม่ได้เหนือกว่าคนอื่น เท่ากันแถมค่อนไปทางต่ำๆหน่อยด้วย) ทำกิจกรรมชมรม(เป็นหลัก) แล้วก็ไปเรียนทุกวัน(เป็นรอง) จบมาด้วยเกรด 3.00 พอดี พอจบก็เข้าทำงานในบริษัทไอทีชื่อดังอยู่ใน big 3 ต้องบอกว่าผิดเป้าหมายไปหน่อยส่วนตัวชอบงานที่เป็นเกี่ยวกับ การเจาะระบบ เพราะจบ Project เกี่ยวกับทางนี้ โดยไปสมัครไว้ที่ big four (KPMG, PWC, Earn&Young, Deloit) ไม่เรียกไปสัมภาษณ์เลย พอมาได้งานที่ บริษัท ต้องบอกว่าได้ตำแหน่งที่เหมาะกับตัวเองมากคือเป็น Technical Sales ซึ่งตัวเองเป็นคนชอบพูดมากอยู่แล้ว และชอบทางด้านเทคนิกด้วย แต่แค่ผิดจากสิ่งที่ตัวเองคาดหวังและมุ่งหวังไว้
บรรยากาศนะวันนั้นใน บริษัท เข้าไปอยู่กับพี่ๆเพราะตัวเองเป็นเด็กจบใหม่และ บริษัท ปกติไม่รับเด็กจบใหม่จะรับแต่ Professional Hire เท่านั้นแต่ที่เค้ารับเพราะเค้ามีโปรแกรมพิเศษจะรับเฉพาะเด็กจบใหม่เท่านั้นครับแล้วเอามาเรียน company organization 3 เดือนก่อนที่จะแยกไปทำงานแต่ละแผนก พอจบโปรแกรมนี้ก็เริ่มเข้าไปทำงานในแผนก อย่างที่บอกพี่ๆทุกคนวันนั้นน่าจะอายุ 35 up แล้วเราแค่ 24 ดังนั้นผมจึงไม่มีเพื่อนแบบรุ่นเดียวกัน แบบว่าเลิกงานไปเที่ยวต่อหรือไปกินข้าวคุยกันสนุกสนาน บรรยากาศแบบนั้นของผมไม่เคยมีเลย (เพื่อนๆที่เค้าโปรแกรมเดียวกันแต่ละคนจะแยกไปอยู่แต่ละแผนก แผนกผมมีผมมาคนเดียว) แต่ด้วยความที่เหงาแบบนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่ซ้อนอยู่แล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมาถึงทุกวันนี้คือ เราได้เรียนรู้หรือพูดคุยกับคนที่เค้ามีวุฒิภาวะสูงทุกคน เราได้ทำงานกับพี่ๆที่เก่งๆหลายคน เราได้รับคำสั่งสอนเพราะเราเป็นเด็กสุดจากพี่ๆทุกคน เพราะไม่ต้องไปสอนใคร เราเด็กสุด เราไม่คิดจะไปเทียบกับใครเพราะทุกคนทำงานมาหลายปีเก่งกว่าเราหมด มันทำให้ชีวิต ณ วันนั้นทำแต่งานและก็สนุกมากด้วย
ก่อนไปจะไปมากกว่านี้ต้องบอกว่าที่นี่เค้ามีโปรแกรม memtor โดยเค้าให้คนที่เป็น Metor ผมถึงสองคน และเป็นสองคนที่เป็น Senior มากๆในทีม พี่สองคนนี้กับหัวหน้าผมทั้ง 3 คนนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผม คือหัวหน้าเป็นคนให้ mentor ทั้งสองคนนี้ดูแลผม และพี่ๆทั้งสองก็ทำหน้าที่นี้อย่างดีมาก ผมเองต้องไปอ่านเอกสารและกับมา present ให้พี่ๆสองคนนี้ฟัง แล้วเค้าก็คอย comment ผมให้ผมกลับไปปรับปรุงแล้วกลับมาพูดให้เค้าฟังใหม่ เพราะงานผมต้องคอยไป Present งานให้กับลูกค้าที่เป็นระดับคนที่มีอำนาจการตัดสินใจจ่ายเงิน จะเห็นว่าทุกคนที่ผมเจอทั้งหมดล้วนเป็น Senior แบบมากๆ ทุกคนเลย มันทำให้ผมได้รับประสบการณ์แบบที่ไม่เหมือนเพื่อนๆคนอื่นที่ทำงานแล้วมีเพื่อนรู่นเดียวกันอยู่ในทีม
ผมด้วยความเป็นเด็กก็มีความผิดพลาดต่อหน้าลูกค้าบ้างและเวลามา review present กับพี่ mentor บ้าง จนมีคำพูด 3 ประโยคที่เปลี่ยนผมและอยากจะให้เพื่อนๆได้ลองอ่านดู
1) คุณคิดว่าเวลาคุณเก่งใครเป็นคนบอกว่าคุณเก่ง เพื่อนคุณหรือคุณพูดเอง
2) คุณคิดว่าเก่งกับรู้ก่อนต่างกันอย่างไร
3) คุณยังคิดว่าคุณเป็นเด็กหรอ ผมว่าคุณไม่เด็กแล้วอย่าตอบแบบนี้อีก
เป็นอะไรที่ทำให้ผมเปลี่ยนได้เลยทีเดียวสำหรับข้อ 3) ส่วนสำหรับข้อ 2) กับข้อ 1) นั้นเป็นประโยคที่ท่องไว้ในใจให้เรารู้ว่าเราควรทำอย่างไรและปฏิบัตต่อผู้อื่นอย่างไร(ไม่ทะนงตนเพราะคุณเป็นแค่คนที่รู้ก่อนเท่านั้น เพราะถ้าคนอื่นได้อ่านได้ลองแบบคุณเค้าก็จะรู้เท่าคุณ) จนทำให้ผมมีทุกวันนี้
ก็ทำงานไปเรื่อยๆครับจนถึง 2ปี กับอีก 8 เดือน (ไม่เคยลาป๋วยเลย มีป๋วยบ้างแต่ก็มาทำงาน , วันหยุดมี 10 วันใช้ไม่ถึง 5 วัน , เสาร์อาทิตย์ แทบจะทุกเดือนมาทำงานตลอดเตรียมงานเล่น lab ) ระหว่างทางอย่างที่บอกพี่ทั้ง 3 คนนี้มีบทบาทมากในการเปลี่ยน cognition ของผม จริงๆๆมีคนอื่นๆด้วยนะแต่ 3 คนนี้เป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงผมมากเพราะต้อง review กันตลอด หัวหน้าก็คอยดูว่าเราเป็นอย่างไร คอยสอนคอยเตือน (แอบแชร์เพิ่มมีประโยคเด็ดจากหัวหน้าในวันที่ผมเป็นเด็กน้อยอยู่ในบริษัท คือในที่ทำงานมีพี่ๆสองคนไม่ถูกกันแล้วมาด่าพี่ในทีมผม พอผมเห็นผมก็คิดว่าคนนั้นไม่ดี พอตอน review กับหัวหน้าก็มีพูดถึงกรณีนี้ หัวหน้าก็บอกผมว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่สายตาเห็น เพราะเราเห็นแค่ตรงนั้น ตอนนั้นเท่านั้น คำสอนนี้ถึงทุกวันนี้ยังนำมาใช้งานอย่างประจำ)
ฮ้อมาถึงตอนที่จะต้องออกจากบริษัทแล้วนะใจหายมากไม่ได้วางแผนเลยไม่เคยคิดด้วยการทำงานมันพาไปความสามารถที่พี่ๆๆทุกคนช่วยอบรมสั่งสอนมันทำให้เราต้องมาถึงตรงนี้เอง เรื่องมีอยู่ว่าผมขายงานได้กับลูกค้าที่หนึ่งโดยผ่าน Business partner เจ้าใหญ่เจ้าหนึ่งเค้าเรียกผมไปคุยว่าคุณสนใจรับงานนี้หรือป่าวผมให้คุณ 1,000,000 บาท ส่วนตัวแล้วต้องบอกว่าตอนอยู่ใน บริษัท ผมเป็นคนเก่งมากคนหนึ่ง (ไม่ถ่อมตัวนะครับ เพราะทุกคนพูดแบบนั้นจริงๆ คนอื่นพูดผมไม่ได้พูด) งานแรกผมทำงาน 3 เดือนจบ ได้เงินมา 1 ล้านบาท แทบช๊อกครับ (ต้องขอบคุณผู้ให้งานด้วยนะครับท่านคือคนสำคัญของผมอีกคนครับ) ระหว่างทำงานผมเองตั้งใจไว้ว่าหลังจากจบ 3 เดือนผมจะหยุด 2 เดือนถึงทุกวันนี้เปิดบริษัทมา 7 ปีแล้วยังไม่ได้หยุดติดกันเกิน 3 วันเลยครับหยุดรวมๆกันก็ไม่ถึง 20 วันใน 7 ปี ยิ่งถ้าเอาเสาร์อาทิตย์ที่หยุดไปมาชดเชยละก้อ ไม่ต้องมีวันหยุดกันเลยทีเดียว ระหว่างทำงาน3เดือนนี้พอหลายๆ Business partner รู้ข่าวก็เริ่มติดต่อมาให้งานเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ ต้องบอกครับผมเป็นเด็กมากตอนเปิดบริษัท ก่อนออกจาก บริษัท พี่ mentor คนหนึ่งบอกกับผมว่าถ้าคุณมีปัญหาอะไรติดต่อผมได้ตลอด ดังนั้นพี่คนนี้แหละเป็นให้สอนวิธีคิด วิธีตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมถึงการวางท่าทีที่ถูกที่ควร ทำให้การปฏิบัตตนของผมผิดพลาดก็น้อยมากและอยู่ในลู่ในทางที่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างระหว่างทำงานในปีที่ 4 นั้นตอนนี้เงินเริ่มเยอะ (ระหว่างปีที่ 3 ผมซื้อบ้านราคา 3.9 ล้านและผ่อนหมดภายใน 6 เดือน) เริ่มเสียคนบ้างเริ่มเป็นคนรออะไรไม่เป็น อยากได้อะไรก็ซื้อหมด ไม่เคยไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้ ไปไหนมาไหนคนในบริษัทต้องคอยเปิดประตู หรือยกของให้ตลอด เวลาผมมีอะไรแบบนี้ผมจะเล่าให้พี่ mentor ฟังทุกอย่างบทสนทนาของเราจะเริ่มจากการที่ผมนัดพี่เค้ากินข้าวแล้วก็เล่าทุกอย่าง (ทุกอย่างจริงๆ) ให้เค้าฟัง ว่าผมคิดแบบนี้กับเรื่องนี้อย่างไร ผมอะไรอะไรกับเรื่องแบบนี้ ผมได้งานที่ไหนมาบ้าง แล้วพี่เค้าก็จะ Comment ผม ตรงไหนผมเริ่มคิดผิดพี่เค้าก็จะ Comment ซึ่งผมเองศรัทธากับพี่คนนี้มากทำให้เวลาเค้าสอนอะไรผมผมจะตั้งใจฟังแล้วนำมาปฏิบัติ ถึงไม่ 100% ก็ 99% กันเลยทีเดียว ชีวิตผมต้องขอบคุณพี่คนนี้มากที่สุดรองจากพ่อและแม่ ระหว่างทำงานรายได้แต่ละปีจะอยู่เกือบๆ 8 หลักอยู่แล้วพอเริ่มปีที่ 4 - 7 นี่แหละเริ่มแตะ 8 หลัก แล้วครับ
ทุกวันนี้ประสบความสำเร็จได้ก็มาจากหลายปัจจัย ทั้งทางครอบครัว ภรรยาและ Mentor ที่ดีมากๆ จริงๆรวมถึงพี่ๆๆหลายๆคนใน บริษัท ที่สอนผมเห็นผมเป็นเด็กเลยสอนผมได้เยอะ และผมก็ชอบมากเพราะการนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติมันทำให้เรามีโอกาสผิดพลาดน้อย ทุกวันนี้ยังคงทำงานหนักมากกว่าแต่ก่อนและหนักเรื่อยๆ ใครที่บอกว่าเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วสบาย ผมบอกได้เลยว่าผมเองได้คุยกับเจ้าของหลายคนเพราะเวลาไปร่วมงาน Marketing ใหญ่ๆนั้นเค้าจะเชิญแต่ผู้บริหาร พอได้คุยกับแต่ละคนแล้วบอกได้เลยครับเหนื่อยกว่าลูกจ้างที่บ่นว่าได้เงินน้อยมากๆ ทุกคนที่เค้าประสบความสำเร็จเค้าทำงานหนักกันจริงๆ แต่หนักแบบฉลาดนะครับ
จริงๆๆอยากเล่าเรื่องตอนเด็กๆด้วยแบบว่าเกเรสุดๆ (ถึงขนาดว่าเวลาเล่าประวัติให้เพื่อนที่เป็น นักจิตวิทยาฟังแล้วเค้าบอกว่าผมเป็น disorder กันเลยทีเดียว) แต่ว่าอย่าเลยเอาเป็นว่าชีวิตมันเปลี่ยนได้จากหลังตีนเป็นหน้ามือ อย่าดูถูกคนเพราะความสามารถของคนมันไม่สามารถประเมิณได้ มันเปลี่ยนแปลงแบบเจ้าตัวเองก็ไม่สามารถที่จะทำนายหรือควบคุมมันได้ ทุกวันนี้พอมองตัวเองบอกได้เลยว่าเว้อมากทำได้ไงก็ไม่รู้แต่ผ่านมาแล้ว
สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองคือ
1) อนาคตไม่สามารถคาดเดาได้ และสิ่งที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้
2) ทุกการกระทำมีผลของการกระทำเสมอ (จริงๆๆหลักนี้เป็นสุดยอดคติที่ใช้เป็นหลักเลยครับ) ทำอะไรไว้ต้องรับสิ่งนั้น ผมตอนทำอยู่ใน บริษัท เป็นคนตั้งใจทำงานตั้งใจเรียนรู้ คนรอบข้างก็รับรู้พอออกมา ทุกคนก็เอางานมาให้ ผมต้องรับกรรมที่ผมทำไว้ในอดีต ก็คือได้งานเยอะตลอดจากความตั้งใจในวันนั้น
3) การมีสิ่งแวดล้อมคนรอบข้างที่ดี ทำให้เพิ่มโอกาสในชีวิต อย่างเช่นกรณีผมถ้าไม่มีพี่ Mentor ผมบอกได้เลยว่าไม่ได้ถึงทุกวันนี้ครับ
จริงๆมีอะไรเยอะกว่านี้มากแต่อาจจะเป็นในเชิงดราม่าให้สนุกสนานเท่านั้นผมว่าผมได้แบ่งบันองค์ความรู้หลักๆไว้แล้ว ลองดูแล้วกันนะครับแล้วจะมีแบบผมขึ้นมาอีก ปล จริงๆๆคนแบบนี้เยอะนะ เพราะเจ้าของแต่ละบริษัทก็ไม่ต่างจากผม(รายได้มากกว่าผมมากๆๆอีก) แต่เค้าอาจจะไม่ได้มาแชร์เรื่องของเค้าให้ฟังแต่หลายๆคนก็ขึ้นมาจากพนักงานธรรมดานี่แหละ
อ๋อตอนเขียนผมลืมบอกไปตอนผมเปิดบริษัทใหม่ๆผมชวนเพื่อนสนิทและรุ่นน้องที่มหาลัยมาทำงานด้วย ผมอาจจะโชคดีมากที่มีเพื่อนมาร่วมทางเดินและทำให้กำลังใจในยามที่ผมท้อและกลับลุกสู้ขึ้นมาใหม่ และยังเป็น key สำคัญในการนำให้ผมมาถึงทุกวันนี้ครับ
อายุ 30 กับรายได้ปีล่ะ 8 หลัก จากพนักงานออฟฟิตธรรมดา
ผมบอกก่อนเร็วๆเผื่อบางคนอยากรู้ว่าผมทำอะไร ทุกวันนี้ผมเปิดบริษัทรับงานด้าน IT กับลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆคือ Telecom , Banking , Automation , Government , Insurance โดยเข้าไปทำงานบริการเกี่ยวกับติดตั้ง Product ของ IBM ซึ่งงานใน area นี้เป็น Nich Market มากๆ คู่แข่งไม่ค่อยมี
เริ่มเลยแล้วกันชีวิตผมจบวิศวะคอมจากลาดกระบังเมื่อปี 2005 ที่บ้านฐานะปลานกลางไม่มีหนี้สิน ได้เงินไปกินขนมและใช้ใน มหาลัยเดือนละ 3,000 บาท ต้องบริหารจัดให้ได้เพียงพอเพราะรับเงินเป็นรายเดือน แต่ก่อนทุกวันเป็นคนชอบกินมากๆแต่จะซื้อหาอารกินขนมกินเยอะๆๆไม่ได้เพราะเงินไม่พอ ณ วันนั้นเห็นเพื่อนได้เงินมามหาลัยวันละ 300 - 500 บอกเลยอิจฉามาก เพราะเค้าสามารถเข้า 7 แล้วซื้อขนมทุกอย่างที่เค้าอยากกิน ส่วนเราซื้อได้แต่ไม่ใช่ทุกวันและทุกอย่าง ชีวิตโดยทั่วๆไปไม่ต่างอะไรกับทุกคนในมหาลัย(จะบอกตรงนี้ว่าต้นทุนชีวิตผมไม่ได้เหนือกว่าคนอื่น เท่ากันแถมค่อนไปทางต่ำๆหน่อยด้วย) ทำกิจกรรมชมรม(เป็นหลัก) แล้วก็ไปเรียนทุกวัน(เป็นรอง) จบมาด้วยเกรด 3.00 พอดี พอจบก็เข้าทำงานในบริษัทไอทีชื่อดังอยู่ใน big 3 ต้องบอกว่าผิดเป้าหมายไปหน่อยส่วนตัวชอบงานที่เป็นเกี่ยวกับ การเจาะระบบ เพราะจบ Project เกี่ยวกับทางนี้ โดยไปสมัครไว้ที่ big four (KPMG, PWC, Earn&Young, Deloit) ไม่เรียกไปสัมภาษณ์เลย พอมาได้งานที่ บริษัท ต้องบอกว่าได้ตำแหน่งที่เหมาะกับตัวเองมากคือเป็น Technical Sales ซึ่งตัวเองเป็นคนชอบพูดมากอยู่แล้ว และชอบทางด้านเทคนิกด้วย แต่แค่ผิดจากสิ่งที่ตัวเองคาดหวังและมุ่งหวังไว้
บรรยากาศนะวันนั้นใน บริษัท เข้าไปอยู่กับพี่ๆเพราะตัวเองเป็นเด็กจบใหม่และ บริษัท ปกติไม่รับเด็กจบใหม่จะรับแต่ Professional Hire เท่านั้นแต่ที่เค้ารับเพราะเค้ามีโปรแกรมพิเศษจะรับเฉพาะเด็กจบใหม่เท่านั้นครับแล้วเอามาเรียน company organization 3 เดือนก่อนที่จะแยกไปทำงานแต่ละแผนก พอจบโปรแกรมนี้ก็เริ่มเข้าไปทำงานในแผนก อย่างที่บอกพี่ๆทุกคนวันนั้นน่าจะอายุ 35 up แล้วเราแค่ 24 ดังนั้นผมจึงไม่มีเพื่อนแบบรุ่นเดียวกัน แบบว่าเลิกงานไปเที่ยวต่อหรือไปกินข้าวคุยกันสนุกสนาน บรรยากาศแบบนั้นของผมไม่เคยมีเลย (เพื่อนๆที่เค้าโปรแกรมเดียวกันแต่ละคนจะแยกไปอยู่แต่ละแผนก แผนกผมมีผมมาคนเดียว) แต่ด้วยความที่เหงาแบบนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่ซ้อนอยู่แล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมาถึงทุกวันนี้คือ เราได้เรียนรู้หรือพูดคุยกับคนที่เค้ามีวุฒิภาวะสูงทุกคน เราได้ทำงานกับพี่ๆที่เก่งๆหลายคน เราได้รับคำสั่งสอนเพราะเราเป็นเด็กสุดจากพี่ๆทุกคน เพราะไม่ต้องไปสอนใคร เราเด็กสุด เราไม่คิดจะไปเทียบกับใครเพราะทุกคนทำงานมาหลายปีเก่งกว่าเราหมด มันทำให้ชีวิต ณ วันนั้นทำแต่งานและก็สนุกมากด้วย
ก่อนไปจะไปมากกว่านี้ต้องบอกว่าที่นี่เค้ามีโปรแกรม memtor โดยเค้าให้คนที่เป็น Metor ผมถึงสองคน และเป็นสองคนที่เป็น Senior มากๆในทีม พี่สองคนนี้กับหัวหน้าผมทั้ง 3 คนนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผม คือหัวหน้าเป็นคนให้ mentor ทั้งสองคนนี้ดูแลผม และพี่ๆทั้งสองก็ทำหน้าที่นี้อย่างดีมาก ผมเองต้องไปอ่านเอกสารและกับมา present ให้พี่ๆสองคนนี้ฟัง แล้วเค้าก็คอย comment ผมให้ผมกลับไปปรับปรุงแล้วกลับมาพูดให้เค้าฟังใหม่ เพราะงานผมต้องคอยไป Present งานให้กับลูกค้าที่เป็นระดับคนที่มีอำนาจการตัดสินใจจ่ายเงิน จะเห็นว่าทุกคนที่ผมเจอทั้งหมดล้วนเป็น Senior แบบมากๆ ทุกคนเลย มันทำให้ผมได้รับประสบการณ์แบบที่ไม่เหมือนเพื่อนๆคนอื่นที่ทำงานแล้วมีเพื่อนรู่นเดียวกันอยู่ในทีม
ผมด้วยความเป็นเด็กก็มีความผิดพลาดต่อหน้าลูกค้าบ้างและเวลามา review present กับพี่ mentor บ้าง จนมีคำพูด 3 ประโยคที่เปลี่ยนผมและอยากจะให้เพื่อนๆได้ลองอ่านดู
1) คุณคิดว่าเวลาคุณเก่งใครเป็นคนบอกว่าคุณเก่ง เพื่อนคุณหรือคุณพูดเอง
2) คุณคิดว่าเก่งกับรู้ก่อนต่างกันอย่างไร
3) คุณยังคิดว่าคุณเป็นเด็กหรอ ผมว่าคุณไม่เด็กแล้วอย่าตอบแบบนี้อีก
เป็นอะไรที่ทำให้ผมเปลี่ยนได้เลยทีเดียวสำหรับข้อ 3) ส่วนสำหรับข้อ 2) กับข้อ 1) นั้นเป็นประโยคที่ท่องไว้ในใจให้เรารู้ว่าเราควรทำอย่างไรและปฏิบัตต่อผู้อื่นอย่างไร(ไม่ทะนงตนเพราะคุณเป็นแค่คนที่รู้ก่อนเท่านั้น เพราะถ้าคนอื่นได้อ่านได้ลองแบบคุณเค้าก็จะรู้เท่าคุณ) จนทำให้ผมมีทุกวันนี้
ก็ทำงานไปเรื่อยๆครับจนถึง 2ปี กับอีก 8 เดือน (ไม่เคยลาป๋วยเลย มีป๋วยบ้างแต่ก็มาทำงาน , วันหยุดมี 10 วันใช้ไม่ถึง 5 วัน , เสาร์อาทิตย์ แทบจะทุกเดือนมาทำงานตลอดเตรียมงานเล่น lab ) ระหว่างทางอย่างที่บอกพี่ทั้ง 3 คนนี้มีบทบาทมากในการเปลี่ยน cognition ของผม จริงๆๆมีคนอื่นๆด้วยนะแต่ 3 คนนี้เป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงผมมากเพราะต้อง review กันตลอด หัวหน้าก็คอยดูว่าเราเป็นอย่างไร คอยสอนคอยเตือน (แอบแชร์เพิ่มมีประโยคเด็ดจากหัวหน้าในวันที่ผมเป็นเด็กน้อยอยู่ในบริษัท คือในที่ทำงานมีพี่ๆสองคนไม่ถูกกันแล้วมาด่าพี่ในทีมผม พอผมเห็นผมก็คิดว่าคนนั้นไม่ดี พอตอน review กับหัวหน้าก็มีพูดถึงกรณีนี้ หัวหน้าก็บอกผมว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่สายตาเห็น เพราะเราเห็นแค่ตรงนั้น ตอนนั้นเท่านั้น คำสอนนี้ถึงทุกวันนี้ยังนำมาใช้งานอย่างประจำ)
ฮ้อมาถึงตอนที่จะต้องออกจากบริษัทแล้วนะใจหายมากไม่ได้วางแผนเลยไม่เคยคิดด้วยการทำงานมันพาไปความสามารถที่พี่ๆๆทุกคนช่วยอบรมสั่งสอนมันทำให้เราต้องมาถึงตรงนี้เอง เรื่องมีอยู่ว่าผมขายงานได้กับลูกค้าที่หนึ่งโดยผ่าน Business partner เจ้าใหญ่เจ้าหนึ่งเค้าเรียกผมไปคุยว่าคุณสนใจรับงานนี้หรือป่าวผมให้คุณ 1,000,000 บาท ส่วนตัวแล้วต้องบอกว่าตอนอยู่ใน บริษัท ผมเป็นคนเก่งมากคนหนึ่ง (ไม่ถ่อมตัวนะครับ เพราะทุกคนพูดแบบนั้นจริงๆ คนอื่นพูดผมไม่ได้พูด) งานแรกผมทำงาน 3 เดือนจบ ได้เงินมา 1 ล้านบาท แทบช๊อกครับ (ต้องขอบคุณผู้ให้งานด้วยนะครับท่านคือคนสำคัญของผมอีกคนครับ) ระหว่างทำงานผมเองตั้งใจไว้ว่าหลังจากจบ 3 เดือนผมจะหยุด 2 เดือนถึงทุกวันนี้เปิดบริษัทมา 7 ปีแล้วยังไม่ได้หยุดติดกันเกิน 3 วันเลยครับหยุดรวมๆกันก็ไม่ถึง 20 วันใน 7 ปี ยิ่งถ้าเอาเสาร์อาทิตย์ที่หยุดไปมาชดเชยละก้อ ไม่ต้องมีวันหยุดกันเลยทีเดียว ระหว่างทำงาน3เดือนนี้พอหลายๆ Business partner รู้ข่าวก็เริ่มติดต่อมาให้งานเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ ต้องบอกครับผมเป็นเด็กมากตอนเปิดบริษัท ก่อนออกจาก บริษัท พี่ mentor คนหนึ่งบอกกับผมว่าถ้าคุณมีปัญหาอะไรติดต่อผมได้ตลอด ดังนั้นพี่คนนี้แหละเป็นให้สอนวิธีคิด วิธีตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมถึงการวางท่าทีที่ถูกที่ควร ทำให้การปฏิบัตตนของผมผิดพลาดก็น้อยมากและอยู่ในลู่ในทางที่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างระหว่างทำงานในปีที่ 4 นั้นตอนนี้เงินเริ่มเยอะ (ระหว่างปีที่ 3 ผมซื้อบ้านราคา 3.9 ล้านและผ่อนหมดภายใน 6 เดือน) เริ่มเสียคนบ้างเริ่มเป็นคนรออะไรไม่เป็น อยากได้อะไรก็ซื้อหมด ไม่เคยไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้ ไปไหนมาไหนคนในบริษัทต้องคอยเปิดประตู หรือยกของให้ตลอด เวลาผมมีอะไรแบบนี้ผมจะเล่าให้พี่ mentor ฟังทุกอย่างบทสนทนาของเราจะเริ่มจากการที่ผมนัดพี่เค้ากินข้าวแล้วก็เล่าทุกอย่าง (ทุกอย่างจริงๆ) ให้เค้าฟัง ว่าผมคิดแบบนี้กับเรื่องนี้อย่างไร ผมอะไรอะไรกับเรื่องแบบนี้ ผมได้งานที่ไหนมาบ้าง แล้วพี่เค้าก็จะ Comment ผม ตรงไหนผมเริ่มคิดผิดพี่เค้าก็จะ Comment ซึ่งผมเองศรัทธากับพี่คนนี้มากทำให้เวลาเค้าสอนอะไรผมผมจะตั้งใจฟังแล้วนำมาปฏิบัติ ถึงไม่ 100% ก็ 99% กันเลยทีเดียว ชีวิตผมต้องขอบคุณพี่คนนี้มากที่สุดรองจากพ่อและแม่ ระหว่างทำงานรายได้แต่ละปีจะอยู่เกือบๆ 8 หลักอยู่แล้วพอเริ่มปีที่ 4 - 7 นี่แหละเริ่มแตะ 8 หลัก แล้วครับ
ทุกวันนี้ประสบความสำเร็จได้ก็มาจากหลายปัจจัย ทั้งทางครอบครัว ภรรยาและ Mentor ที่ดีมากๆ จริงๆรวมถึงพี่ๆๆหลายๆคนใน บริษัท ที่สอนผมเห็นผมเป็นเด็กเลยสอนผมได้เยอะ และผมก็ชอบมากเพราะการนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติมันทำให้เรามีโอกาสผิดพลาดน้อย ทุกวันนี้ยังคงทำงานหนักมากกว่าแต่ก่อนและหนักเรื่อยๆ ใครที่บอกว่าเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วสบาย ผมบอกได้เลยว่าผมเองได้คุยกับเจ้าของหลายคนเพราะเวลาไปร่วมงาน Marketing ใหญ่ๆนั้นเค้าจะเชิญแต่ผู้บริหาร พอได้คุยกับแต่ละคนแล้วบอกได้เลยครับเหนื่อยกว่าลูกจ้างที่บ่นว่าได้เงินน้อยมากๆ ทุกคนที่เค้าประสบความสำเร็จเค้าทำงานหนักกันจริงๆ แต่หนักแบบฉลาดนะครับ
จริงๆๆอยากเล่าเรื่องตอนเด็กๆด้วยแบบว่าเกเรสุดๆ (ถึงขนาดว่าเวลาเล่าประวัติให้เพื่อนที่เป็น นักจิตวิทยาฟังแล้วเค้าบอกว่าผมเป็น disorder กันเลยทีเดียว) แต่ว่าอย่าเลยเอาเป็นว่าชีวิตมันเปลี่ยนได้จากหลังตีนเป็นหน้ามือ อย่าดูถูกคนเพราะความสามารถของคนมันไม่สามารถประเมิณได้ มันเปลี่ยนแปลงแบบเจ้าตัวเองก็ไม่สามารถที่จะทำนายหรือควบคุมมันได้ ทุกวันนี้พอมองตัวเองบอกได้เลยว่าเว้อมากทำได้ไงก็ไม่รู้แต่ผ่านมาแล้ว
สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองคือ
1) อนาคตไม่สามารถคาดเดาได้ และสิ่งที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้
2) ทุกการกระทำมีผลของการกระทำเสมอ (จริงๆๆหลักนี้เป็นสุดยอดคติที่ใช้เป็นหลักเลยครับ) ทำอะไรไว้ต้องรับสิ่งนั้น ผมตอนทำอยู่ใน บริษัท เป็นคนตั้งใจทำงานตั้งใจเรียนรู้ คนรอบข้างก็รับรู้พอออกมา ทุกคนก็เอางานมาให้ ผมต้องรับกรรมที่ผมทำไว้ในอดีต ก็คือได้งานเยอะตลอดจากความตั้งใจในวันนั้น
3) การมีสิ่งแวดล้อมคนรอบข้างที่ดี ทำให้เพิ่มโอกาสในชีวิต อย่างเช่นกรณีผมถ้าไม่มีพี่ Mentor ผมบอกได้เลยว่าไม่ได้ถึงทุกวันนี้ครับ
จริงๆมีอะไรเยอะกว่านี้มากแต่อาจจะเป็นในเชิงดราม่าให้สนุกสนานเท่านั้นผมว่าผมได้แบ่งบันองค์ความรู้หลักๆไว้แล้ว ลองดูแล้วกันนะครับแล้วจะมีแบบผมขึ้นมาอีก ปล จริงๆๆคนแบบนี้เยอะนะ เพราะเจ้าของแต่ละบริษัทก็ไม่ต่างจากผม(รายได้มากกว่าผมมากๆๆอีก) แต่เค้าอาจจะไม่ได้มาแชร์เรื่องของเค้าให้ฟังแต่หลายๆคนก็ขึ้นมาจากพนักงานธรรมดานี่แหละ
อ๋อตอนเขียนผมลืมบอกไปตอนผมเปิดบริษัทใหม่ๆผมชวนเพื่อนสนิทและรุ่นน้องที่มหาลัยมาทำงานด้วย ผมอาจจะโชคดีมากที่มีเพื่อนมาร่วมทางเดินและทำให้กำลังใจในยามที่ผมท้อและกลับลุกสู้ขึ้นมาใหม่ และยังเป็น key สำคัญในการนำให้ผมมาถึงทุกวันนี้ครับ