ขอแชร์เรื่องความรักความเลิฟสมัยวัยรุ่นบ้างนะครับ
สมัยที่เรียนอยู่ปี 1 นะครับ แหะๆ มันนานแล้วครับ ตอนนี้จบมาหลายปี 4 - 5 ปีละ
ก็มีเพื่อนเฮฮาทั่วไป เรื่องราวมากมายที่น่าจดจำและแทบไม่อยากจำ
หนึ่งในนั้นคือเรื่องความรักครับ บ๊ะ 
ผมมีเพื่อนๆ รุ่นพี่ด้วยรู้ๆ จักกันจากการเรียนร่วมบ้าง ชวนเที่ยวบ้างครับ
แล้วก็สมัยนั้นยังไม่มีโซเชียวแน่นอนครับ อย่างมากก็ MSN 555+ มือถือเหรอ
มีเสียงเรียกเข้าเป็น MP3 ก็หรูแล้ว
แล้วเพื่อนๆ รุ่นพี่ก็รู้จักกับน้องๆ ที่อยู่เอกอื่นๆ มันเลยทำให้เราเจอเพื่อนเยอะขึ้น
เพื่อนๆ ผู้หญิงเอกเดียวกันก็มีนะครับ แต่ว่าล้มหายตายจากไปเยอะหลังจากเรียนไปได้เกือบปี
มันยากจริงๆ ครับ ผมเองก็เกือบเอาตัวไม่รอด
ผมมีเพื่อนๆ เอกอื่นบ้าง ก็รู้จักผู้หญิงคนนึงผ่านๆ ทางรุ่นพี่
ชื่อพลอย(นามสมมติก็ได้อะ) น่ารัก มากก สำหรับผมนะ 
ผิวขาวตัวเล็กๆ น่ารักฝุดๆ ต่างจากผม อ้วน ตัวโต ผิวดำ กำจริงๆ
ผมกับพลอยเล่นมุกเสี่ยวๆ แบบกลอนที่ชอบส่งตาม SMS หรือละครตอนเย็นๆ บ้าง
คือเธออะเล่น แต่ผมสิ คิดจริงครับ
มีหนังอะไรสนุกๆ ผมก็ให้ยืม แลกกันดู แล้วก็ ขอเบอร์โทรๆๆๆ อ๊ากๆๆ โคดตื่นเต้นอะ ตอนนั้น
โทรไปทุกครั้งก็จะถามตลอดว่า คุยได้ไหม ทั้งๆ ที่ ไม่มีอะไรจะคุย คือมันสุด ตั้งแต่ได้ยินเสียงแล้วหละ
หลังๆ เราสนิทกันเรื่อยๆ ผมใช้มอเตอร์ไซค์ของเพื่อนขี่ไปส่งพลอยที่ห้องพักเรื่อยๆ ตอนเย็น
ซึ่งก็เป็นที่อิจฉาของคนในเอกผมมากๆ ที่ไอ้อ้วนดำมีหญิงสวยใสขาวโบ๊ะ แหม ยืดเลย
ผมเก็บรายละเอียดเท่าที่ผู้ชายจะละเอียดได้ แต่เชื่อมะ มันแค่ผิวๆ ทั้งนั้นเลย
เช่นเวลากินอะไร ก็ต้องมีทิชชู่ แต่บางร้านไม่มีทิชชู่จริงๆ เช่น ตลาดนัดใน ม.
ผมก็ต้อง พก ทิชชู่ไว้ ซึ้งจริงๆ บางทีเธอก็มีนะ เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ง่ายๆ ใส่กระโปร่งพีช
ไม่มีกระเป๋าสวยๆ ใบใหญ่ๆ ที่ข้างในมีของรกๆ เลย มีแต่แฟ้มกระดาษ กระเป๋าปากกา
ผมเลยติดนิสัยพกทิชชู่ซองละ 5 บาทไว้ในกระเป๋า .... จนทุกวันนี้เลยหละ 
แล้วถ้าเราโทรหาตอนเขากิน เขาจะไม่ชอบ 
เวลากินห้ามเคาะช้อนกับส้อมหรือทำให้เสียงดัง 
(ตอนแรกนอยด์นิดๆ แต่หลังๆ รู้ว่าชุมชนที่เขาอยู่เคร่งครัดจริงๆ ก็เข้าใจและไม่เสียหายอะไร)
แล้วก็อีกเยอะแยะ จนผมจดไว้หลังสมุดบันทึก ชื่อพ่อ เกิดที่ไหน ยังจด บ้าไปแล้ว
เป็นแบบนี้ เกือบ 1 ปีนะครับ 
ผมทนไม่ไหว จากการดูหนังเรื่อง เพื่อนสนิทที่ฉายเคเบิ้ลทีวี
ซีนที่ ดากานดาพูดว่า แล้วแกมาบอกอัลไลเอาตอนนี้
ผมเลยตัดสินใจ โทรไป! 
โทร.....หาเพื่อนผมครับว่า เอาไงดีวะ อึดอัดหวะ 
มันก็พูดแบบ เมิงก็บอกๆ ไปดิวะ ชอบไม่ชอบจะได้รู้ๆ กันไป 
ผมเอามือถือมากดวนไปมา แต่ไม่กล้าโทรอยู่นานนนนน
คือคิดว่า เดี๋ยวก็หายอึดอัดเองหละ
แต่มันยิ่งถาโถม เหมือนมีดนตรีโอเปร่ามากระหน่ำบรรเลง แท่มๆๆๆๆๆๆๆ
จนกระทั่งผมกดโทรไปแล้วรับ
ผมก็พูดทำนองว่า ทำไรอยู่ กินไรยัง(ตอน 3 ทุ่มเนี่ยนะ) ดูหนังยัง 
แบบ สรรหาทุกคำมาพูดเพื่อผ่อนคลายความรู้สึก
แต่พลอยรู้ครับ เพราะปกติผมไม่พูดอะไรแบบนี้
เธอก็เลยถามว่า มีอะไรก็พูดมาเลย 
ผมหน้าชาไปสักพัก ก็บอกไปว่า
เราว่าเราชอบพลอย ไม่สิ เรารักพลอยหนะ
ผมโล่ง มากกก แบบ ฟู่~ โห้ววว อ่าาาาา ฟิน
พลอยตอบกลับทันที เรารู้สึกกับเธอแบบเพื่อนที่ดีกับเรามากๆ อีกอย่าง ....เรามีแฟนแล้วนะ 
ผมแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยครับ แต่มันก็เศร้าๆ นิดๆ
เพราะผมแค่อยากบอกจริงๆ เผื่อว่าจะทำตัวให้ปกติเวลาเจอกันด้วย ให้พลอยรู้สถานะด้วย
และก็เจียมเนื้อเจียมตัวครับ เราไม่หล่อ 
จะเรียกอารมณ์นี้ว่าอกหัก ก็ไม่เชิงเพราะมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร 
แค่ได้ระบายและผิดหวังเท่านั้นหละมั้ง
แต่สิ่งที่ผมเจอคือ ก็ต้องเจอเธอปกติ ขี่รถไปส่งปกติ กินข้าวกันปกติ
และยิ่งไปกว่านั้น คำพูดคำจาของพลอยมันรู้สึกไม่เติมแต่งอะไรเลย
ผมเข้าใจความเป็นเพื่อนกับต่างเพศมากขึ้น
จะว่าเหมือนนิยาย ละคร หรือใส่ไข่ไหม 
เราสนิทกันแบบนี้เรื่องๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า พลอยไม่ชอบคบเพื่อนผู้หญิงนัก
เพราะมันจู้จี้ จุกจิก ผมฟังแล้วก็ขำๆ แล้วแกไม่ใช่ผู้หญิงรึไง 
พลอยเลิกกับแฟน แล้วก็ฟูมฟายกับผมผ่านโทรศัพท์
ผมไม่รู้นะว่ายังไง แต่ผมดันร้องไห้ไปกับพลอยด้วย
พลอยไม่บอกตรงๆ หรอกว่า เลิกกับแฟน หรืออกหัก
เราตกลงว่าจะสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้กัน ซึ่งมันก็โอเค
พลอยต้องการแค่ระบาย ผมรับฟังแต่มันสะเทือนใจมากไป
หลังจากนั้น ยิ่งทำให้เราไปไหนต่อไหนด้วยกันบ่อยขึ้น
สนิทใจมากขึ้น นั้นรวมถึงผมด้วยนะครับ
ผมมีความคิดแว๊บๆ ไหนๆ ก็สนิทเรามาคบกันไหม
ผมถามแกมเล่นๆ ไป และได้คำตอบสั้นๆ แบบเข้มว่า
"เพื่อนกันดีที่สุดแล้วแกเชื่อฉันเถอะ"
ผมได้ยินก็รู้สึกค้านในใจนิดๆ แต่ก็เอ่อ จะพยายามนะ
ความสนิทมันก็ทำให้เรารู้นิสัยกันมากขึ้น นิสัยแท้จริง
เราสนิทกันถึงขั้นอยู่ห้องเดียวกันได้ วางใจ และไว้ใจอย่างไม่น่าเชื่อ
(ผมเองยังไม่เชื่อตัวเองขนาดนั้นเลย) ถ้าไม่จำเป็น ผมก็จะไม่อยู่หรอก
หรือมันอาจจะเป็นการลองใจ ผมไม่ได้เลือกหรอกว่าผมจะไม่ทำอะไร
แต่ความรู้สึกคือ ทำไปทำไมวะ เท่านั้นเอง
มีเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจมากๆ ก็มี ผมรู้ว่าผมสำคัญก็ตอนที่ไม่คิดว่าเธอจะโกรธผมอะไรมากมายขนาดนี้
พอเรียนปีท้ายๆ ก็เริ่มเจอกันน้อยลง
เนื่องจากมีการทำโครงงาน หาข้อมูล ไป ม. ไม่บ่อย เหลือตัวเดียว
จนกระทั้งจบไป ก็มีเจอกันบ้าง พลอยมีแฟน เป็นพี่ๆ ที่รู้จักกันแต่เด็กๆ
ซึ่งพี่คนนี้ดี มากกๆ ดีกับผม เทคแคร์ผมทุกอย่าง จนเคยคิดว่าพลอยสั่งให้ทำดีกับเราอะสิ
พอหลังๆ รู้ว่าพี่เขาก็อยู่ชุมชนเดียวกับที่พลอยอยู่ เขาขัดเกลาคนได้แบบ ดีจนน่าขนลุก
มันออกมาจากใจ จนทุกวันนี้เลยครับ 
ไม่นานมานี้ ผมได้เห็นข้อความที่พลอยแทคถึงผม
เป็นเพื่อนกันมา 10 ปีกับแกมันเลิกไม่ได้จริงๆ
ผมคิดว่า การที่เรารู้จักใครที่เริ่มต้นด้วยความรักความชอบ
ไม่ว่าจะเพศไหนถ้าเข้าใจกันและเป็นเพื่อนกันได้จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริงๆ																															
						 
												
						
					
ขอแชร์เรื่องความรักความเลิฟสมัยวัยรุ่นบ้างนะครับ
สมัยที่เรียนอยู่ปี 1 นะครับ แหะๆ มันนานแล้วครับ ตอนนี้จบมาหลายปี 4 - 5 ปีละ
ก็มีเพื่อนเฮฮาทั่วไป เรื่องราวมากมายที่น่าจดจำและแทบไม่อยากจำ
หนึ่งในนั้นคือเรื่องความรักครับ บ๊ะ
ผมมีเพื่อนๆ รุ่นพี่ด้วยรู้ๆ จักกันจากการเรียนร่วมบ้าง ชวนเที่ยวบ้างครับ
แล้วก็สมัยนั้นยังไม่มีโซเชียวแน่นอนครับ อย่างมากก็ MSN 555+ มือถือเหรอ
มีเสียงเรียกเข้าเป็น MP3 ก็หรูแล้ว
แล้วเพื่อนๆ รุ่นพี่ก็รู้จักกับน้องๆ ที่อยู่เอกอื่นๆ มันเลยทำให้เราเจอเพื่อนเยอะขึ้น
เพื่อนๆ ผู้หญิงเอกเดียวกันก็มีนะครับ แต่ว่าล้มหายตายจากไปเยอะหลังจากเรียนไปได้เกือบปี
มันยากจริงๆ ครับ ผมเองก็เกือบเอาตัวไม่รอด
ผมมีเพื่อนๆ เอกอื่นบ้าง ก็รู้จักผู้หญิงคนนึงผ่านๆ ทางรุ่นพี่
ชื่อพลอย(นามสมมติก็ได้อะ) น่ารัก มากก สำหรับผมนะ
ผิวขาวตัวเล็กๆ น่ารักฝุดๆ ต่างจากผม อ้วน ตัวโต ผิวดำ กำจริงๆ
ผมกับพลอยเล่นมุกเสี่ยวๆ แบบกลอนที่ชอบส่งตาม SMS หรือละครตอนเย็นๆ บ้าง
คือเธออะเล่น แต่ผมสิ คิดจริงครับ
มีหนังอะไรสนุกๆ ผมก็ให้ยืม แลกกันดู แล้วก็ ขอเบอร์โทรๆๆๆ อ๊ากๆๆ โคดตื่นเต้นอะ ตอนนั้น
โทรไปทุกครั้งก็จะถามตลอดว่า คุยได้ไหม ทั้งๆ ที่ ไม่มีอะไรจะคุย คือมันสุด ตั้งแต่ได้ยินเสียงแล้วหละ
หลังๆ เราสนิทกันเรื่อยๆ ผมใช้มอเตอร์ไซค์ของเพื่อนขี่ไปส่งพลอยที่ห้องพักเรื่อยๆ ตอนเย็น
ซึ่งก็เป็นที่อิจฉาของคนในเอกผมมากๆ ที่ไอ้อ้วนดำมีหญิงสวยใสขาวโบ๊ะ แหม ยืดเลย
ผมเก็บรายละเอียดเท่าที่ผู้ชายจะละเอียดได้ แต่เชื่อมะ มันแค่ผิวๆ ทั้งนั้นเลย
เช่นเวลากินอะไร ก็ต้องมีทิชชู่ แต่บางร้านไม่มีทิชชู่จริงๆ เช่น ตลาดนัดใน ม.
ผมก็ต้อง พก ทิชชู่ไว้ ซึ้งจริงๆ บางทีเธอก็มีนะ เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ง่ายๆ ใส่กระโปร่งพีช
ไม่มีกระเป๋าสวยๆ ใบใหญ่ๆ ที่ข้างในมีของรกๆ เลย มีแต่แฟ้มกระดาษ กระเป๋าปากกา
ผมเลยติดนิสัยพกทิชชู่ซองละ 5 บาทไว้ในกระเป๋า .... จนทุกวันนี้เลยหละ
แล้วถ้าเราโทรหาตอนเขากิน เขาจะไม่ชอบ
เวลากินห้ามเคาะช้อนกับส้อมหรือทำให้เสียงดัง
(ตอนแรกนอยด์นิดๆ แต่หลังๆ รู้ว่าชุมชนที่เขาอยู่เคร่งครัดจริงๆ ก็เข้าใจและไม่เสียหายอะไร)
แล้วก็อีกเยอะแยะ จนผมจดไว้หลังสมุดบันทึก ชื่อพ่อ เกิดที่ไหน ยังจด บ้าไปแล้ว
เป็นแบบนี้ เกือบ 1 ปีนะครับ
ผมทนไม่ไหว จากการดูหนังเรื่อง เพื่อนสนิทที่ฉายเคเบิ้ลทีวี
ซีนที่ ดากานดาพูดว่า แล้วแกมาบอกอัลไลเอาตอนนี้
ผมเลยตัดสินใจ โทรไป!
โทร.....หาเพื่อนผมครับว่า เอาไงดีวะ อึดอัดหวะ
มันก็พูดแบบ เมิงก็บอกๆ ไปดิวะ ชอบไม่ชอบจะได้รู้ๆ กันไป
ผมเอามือถือมากดวนไปมา แต่ไม่กล้าโทรอยู่นานนนนน
คือคิดว่า เดี๋ยวก็หายอึดอัดเองหละ
แต่มันยิ่งถาโถม เหมือนมีดนตรีโอเปร่ามากระหน่ำบรรเลง แท่มๆๆๆๆๆๆๆ
จนกระทั่งผมกดโทรไปแล้วรับ
ผมก็พูดทำนองว่า ทำไรอยู่ กินไรยัง(ตอน 3 ทุ่มเนี่ยนะ) ดูหนังยัง
แบบ สรรหาทุกคำมาพูดเพื่อผ่อนคลายความรู้สึก
แต่พลอยรู้ครับ เพราะปกติผมไม่พูดอะไรแบบนี้
เธอก็เลยถามว่า มีอะไรก็พูดมาเลย
ผมหน้าชาไปสักพัก ก็บอกไปว่า
เราว่าเราชอบพลอย ไม่สิ เรารักพลอยหนะ
ผมโล่ง มากกก แบบ ฟู่~ โห้ววว อ่าาาาา ฟิน
พลอยตอบกลับทันที เรารู้สึกกับเธอแบบเพื่อนที่ดีกับเรามากๆ อีกอย่าง ....เรามีแฟนแล้วนะ
ผมแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยครับ แต่มันก็เศร้าๆ นิดๆ
เพราะผมแค่อยากบอกจริงๆ เผื่อว่าจะทำตัวให้ปกติเวลาเจอกันด้วย ให้พลอยรู้สถานะด้วย
และก็เจียมเนื้อเจียมตัวครับ เราไม่หล่อ
จะเรียกอารมณ์นี้ว่าอกหัก ก็ไม่เชิงเพราะมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร
แค่ได้ระบายและผิดหวังเท่านั้นหละมั้ง
แต่สิ่งที่ผมเจอคือ ก็ต้องเจอเธอปกติ ขี่รถไปส่งปกติ กินข้าวกันปกติ
และยิ่งไปกว่านั้น คำพูดคำจาของพลอยมันรู้สึกไม่เติมแต่งอะไรเลย
ผมเข้าใจความเป็นเพื่อนกับต่างเพศมากขึ้น
จะว่าเหมือนนิยาย ละคร หรือใส่ไข่ไหม
เราสนิทกันแบบนี้เรื่องๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า พลอยไม่ชอบคบเพื่อนผู้หญิงนัก
เพราะมันจู้จี้ จุกจิก ผมฟังแล้วก็ขำๆ แล้วแกไม่ใช่ผู้หญิงรึไง
พลอยเลิกกับแฟน แล้วก็ฟูมฟายกับผมผ่านโทรศัพท์
ผมไม่รู้นะว่ายังไง แต่ผมดันร้องไห้ไปกับพลอยด้วย
พลอยไม่บอกตรงๆ หรอกว่า เลิกกับแฟน หรืออกหัก
เราตกลงว่าจะสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้กัน ซึ่งมันก็โอเค
พลอยต้องการแค่ระบาย ผมรับฟังแต่มันสะเทือนใจมากไป
หลังจากนั้น ยิ่งทำให้เราไปไหนต่อไหนด้วยกันบ่อยขึ้น
สนิทใจมากขึ้น นั้นรวมถึงผมด้วยนะครับ
ผมมีความคิดแว๊บๆ ไหนๆ ก็สนิทเรามาคบกันไหม
ผมถามแกมเล่นๆ ไป และได้คำตอบสั้นๆ แบบเข้มว่า
"เพื่อนกันดีที่สุดแล้วแกเชื่อฉันเถอะ"
ผมได้ยินก็รู้สึกค้านในใจนิดๆ แต่ก็เอ่อ จะพยายามนะ
ความสนิทมันก็ทำให้เรารู้นิสัยกันมากขึ้น นิสัยแท้จริง
เราสนิทกันถึงขั้นอยู่ห้องเดียวกันได้ วางใจ และไว้ใจอย่างไม่น่าเชื่อ
(ผมเองยังไม่เชื่อตัวเองขนาดนั้นเลย) ถ้าไม่จำเป็น ผมก็จะไม่อยู่หรอก
หรือมันอาจจะเป็นการลองใจ ผมไม่ได้เลือกหรอกว่าผมจะไม่ทำอะไร
แต่ความรู้สึกคือ ทำไปทำไมวะ เท่านั้นเอง
มีเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจมากๆ ก็มี ผมรู้ว่าผมสำคัญก็ตอนที่ไม่คิดว่าเธอจะโกรธผมอะไรมากมายขนาดนี้
พอเรียนปีท้ายๆ ก็เริ่มเจอกันน้อยลง
เนื่องจากมีการทำโครงงาน หาข้อมูล ไป ม. ไม่บ่อย เหลือตัวเดียว
จนกระทั้งจบไป ก็มีเจอกันบ้าง พลอยมีแฟน เป็นพี่ๆ ที่รู้จักกันแต่เด็กๆ
ซึ่งพี่คนนี้ดี มากกๆ ดีกับผม เทคแคร์ผมทุกอย่าง จนเคยคิดว่าพลอยสั่งให้ทำดีกับเราอะสิ
พอหลังๆ รู้ว่าพี่เขาก็อยู่ชุมชนเดียวกับที่พลอยอยู่ เขาขัดเกลาคนได้แบบ ดีจนน่าขนลุก
มันออกมาจากใจ จนทุกวันนี้เลยครับ
ไม่นานมานี้ ผมได้เห็นข้อความที่พลอยแทคถึงผม
เป็นเพื่อนกันมา 10 ปีกับแกมันเลิกไม่ได้จริงๆ
ผมคิดว่า การที่เรารู้จักใครที่เริ่มต้นด้วยความรักความชอบ
ไม่ว่าจะเพศไหนถ้าเข้าใจกันและเป็นเพื่อนกันได้จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริงๆ