บทเพลงที่ 1
“...เมื่อกี้...ว่ายังไงนะ”
หญิงสาวกลอกตาขึ้นข้างบนอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพ่อเป็นไปตามที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ก่อนจะเบือนสายตาไปมองทางผู้เป็นแม่กับพี่ชาย ซึ่งอาการของทั้งสองคนก็ทำให้เธอแทบอยากจะหัวเราะออกมาเหลือเกิน ทั้งคู่ทำหน้าเหวอเหมือนเห็นเธอเป็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เธอก็พร่ำบอกอยู่เป็นชาติแล้วว่าจะไม่มีวันทำตามที่พวกเขาสั่งแน่นอน ชีวิตของเธอ ความฝันของเธอ เธอจะเลือกเดินเอง
“ค่ะ อย่างที่หนูได้บอกไป หนูไม่ได้สมัครแอดมิชชั่น” น้ำเสียงมั่นใจยืนยันอย่างหนักแน่น พร้อมกับยักไหล่ทีหนึ่งอย่างไม่ยี่หระกับสีหน้าซีดเผือดของทั้งสามคน
ปกติแล้วเวลาอาหารเย็นมักจะหมดไปกับการที่พ่อพูดชมพี่แดน หรือพี่ชายของเธอ หลังจากที่เขาได้สาธยายเกี่ยวกับความประเสริฐของตนเองในแต่ละวันให้ฟังจนปากเปียกปากแฉะ ส่วนแม่ก็เอาแต่มองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแสนประเสริฐด้วยความรัก ดูเคลิบเคลิ้มราวกับว่าเขาเป็นเทพบุตรก็ไม่ปาน
อ้อ ใช่ ยังมีเธออยู่อีกคนซึ่งนั่งเป็นไม้ประดับโต๊ะโดยไม่มีบทบาทใดๆ
ยกเว้นเสียแต่ว่าวันนั้นจะมีการประลองเกิดขึ้นเท่านั้น
“ตะ...แต่นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาประกาศผลแล้วนี่” เสียงสั่นกลัวของแม่เรียกให้เดย์หันไปมอง พอแม่เห็นว่าเธอไม่ได้แย้งอะไรกลับไปจึงเริ่มทำหน้าปวดร้าว แล้วละสายตาจากเธอไปที่พี่แดนแทน
“แกจงใจใช่มั้ยเดย์!” พ่อตะคอกเสียงกร้าวพร้อมกับถลึงตามองตรงมาด้วยสายตาน่ากลัว
นั่นไง เริ่มแล้ว...การประลอง
หญิงสาวลุกจากโต๊ะโดยที่ไม่เอ่ยพูดอะไรอีก เธอเบื่อที่จะต้องมานั่งพูดเรื่องเดิมอยู่ซ้ำๆ เหลือเกิน พ่อนี่ก็ถามอะไรประหลาดชะมัด นอกจากจะเป็นการจงใจแล้วมันจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปได้อีกล่ะ จะถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้วทำไมกัน
“นั่นแกจะไปไหน” เสียงลั่นของพ่อตะคอกถามไล่หลังมา แต่เดย์ไม่สนใจ พร้อมกับรีบวิ่งหนีขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว
การประลองแต่ละครั้งมักจะจบลงที่เธอเดินหนีจากมา วิ่งหนีกลับห้องตัวเองไปเลย หรือไม่ก็ไปค้างบ้านเพื่อน แต่เธอก็ไม่ถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ เพราะว่าพ่อบังคับให้เธอทำตามใจพ่อไม่สำเร็จ
ส่วนการประลองครั้งนี้นั้น... เธอขอเลือกหนีออกจากบ้าน
คิดแล้วเชียวว่าพ่อจะต้องระเบิดอารมณ์ ดังนั้นเดย์จึงจัดกระเป๋าเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเรียบร้อย เพื่อที่จะได้ขึ้นมาหยิบแล้วออกไปจากบ้านได้เลยทันที
พ่อยังคงทดสอบกล่องเสียงของตัวเองไม่ยอมหยุดในตอนที่เธอหิ้วกระเป๋าเดินทางลงบันไดมาจากชั้นสอง และมีพี่แดนคอยยืนส่งเสียงบอกให้พ่อใจเย็นๆ อยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาบอกให้เธอใจเย็นด้วยอีกคน หึ จะบ้าเรอะ ใครจะไปทำตาม เธอไม่ใช่รูปปั้นไร้ความรู้สึกนะ
พอพี่เห็นว่าเธอกำลังจ้ำอ้าวไปที่ประตู พี่ก็ทำท่าจะเข้ามาขวางแต่กลับถูกพ่อรั้งตัวเอาไว้
“ดี! ถ้ามันไม่ฟัง ก็ปล่อยให้มันออกไป จะไปไหนก็ไป!”
ถึงพ่อไม่ไล่ ยังไงเธอก็จะไปอยู่ดี
หญิงสาวกระชากประตูเปิดออก พร้อมกับก้าวเดินออกจากบ้านมาอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปที่ประตูรั้วซึ่งมีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกและไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย วันนี้เธอเตรียมพร้อมทุกอย่าง ทั้งจัดกระเป๋าไว้ล่วงหน้า และโทรเรียกแท็กซี่ให้มาจอดรออยู่หน้าบ้าน เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ลังเลโดยเด็ดขาด
ลุงคนขับแท็กซี่ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะอายุเกินสี่สิบปีลงมาช่วยยกกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปนั่งประจำที่คนขับ เดย์บอกจุดหมายปลายทางให้กับเขา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกแล้วนั่งเงียบๆ ไปตลอดทาง พลางฟังข่าวการจราจรที่ลุงเปิดฟังไปด้วยอย่างไม่รู้สึกสนใจอะไร
เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงเวลาดึกพอสมควรที่ไม่ค่อยมีรถบนถนนสักเท่าไหร่ ทำให้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเธอก็ไปถึงสถานที่ที่ต้องการ
“เฮ้ย นี่แกเอาจริงเหรอเนี่ย” เสียงคุ้นหูของพลอยดังขึ้นทันทีที่เดย์เปิดประตูรถออกไป
พลอยยืนทำหน้าเหวออยู่ตรงประตูหน้าบ้าน ขณะกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอพร้อมกับกระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ
“ก็จริงน่ะสิ ฉันไม่ได้ล้อเล่นซะหน่อย” เธอโทรบอกพลอยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทว่าจะมาขออยู่ด้วยสักพักก่อนที่จะโทรเรียกรถแท็กซี่ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เคยมาค้างบ้านของพลอยอยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหนแล้วจริงๆ
พลอยถอนหายใจยาวออกมาเหมือนกำลังรู้สึกเอือมระอาเธอเต็มทน ก่อนจะเดินมาไขกุญแจเปิดประตูรั้วให้ แล้วยื่นมือมารับกระเป๋าสะพายไปช่วยถือ จากนั้นก็เดินนำเข้าไปข้างในตัวบ้าน
“ดีนะที่แกมาเร็ว ไม่อย่างนั้นแกถูกทิ้งให้ยืนตากลมอยู่ข้างนอกยันตีสามตีสี่แน่” พลอยหันมาบอกกับเดย์ขณะที่ทั้งคู่เดินผ่านห้องนั่งเล่นไปยังบันไดขึ้นชั้นบน
“อ้าว แล้วพวกคุณป้าคุณลุงกับพี่เพชรล่ะ”
“พ่อกับแม่ไปงานประชุม ส่วนพี่ไปทำงานบ้านเพื่อนน่ะ” งานประชุมที่พลอยพูดถึงก็คืองานประชุมวิชาการแพทย์ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี พ่อแม่ของพลอยเป็นหมอด้วยกันทั้งคู่จึงต้องไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง
“อ๋อ ดังนั้นสาวสวยผู้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวก็เลยกำลังคิดว่าจะออกไปเที่ยวกลางคืนอยู่ล่ะสิ” เดย์อมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับหรี่ตาลงมองคนข้างหน้าอย่างรู้ทัน
หลังจากเดินตามพลอยเข้าไปในห้องของเธอ เดย์ก็วางกระเป๋าของตัวเองตรงหน้าตู้เสื้อผ้าสีครีม ซึ่งเข้าชุดกันกับเตียงนอนและโต๊ะทำงาน
“ใช่” พลอยตอบเสียงใส พร้อมกับเดินมาคว้าแขนเดย์ไปที่โต๊ะเครื่องแป้งของตัวเอง “ดีแล้วที่แกมา ไปด้วยกันเลย”
“ไปสิไป” หญิงสาวตอบรับอย่างตื่นเต้น แล้วนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของเพื่อน พร้อมกับปล่อยให้พลอยจัดการใบหน้าและผมของเธอได้ตามใจชอบ เธอไม่เคยไปเที่ยวกลางคืนมาก่อนเลยเพราะว่าอายุไม่ถึง อย่างมากก็ไปแค่คอนเสิร์ต แต่ก็เคยได้ยินมาว่ามีวัยรุ่นอายุไม่ถึงไปเข้าผับกันเยอะเหมือนกัน ดังนั้นเธอก็เลยคิดอยากจะลองไปดูสักครั้งบ้าง เคยเห็นในหนังแล้วมันดูน่าสนุกทีเดียว อีกทั้งยังเป็นสถานที่แห่งเสียงดนตรี เธอชื่นชอบทุกที่ที่มีเสียงเพลง
หลังจากที่เกล้าผมและแต่งหน้าอ่อนๆ ให้เดย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พลอยก็ยืนยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองซึ่งดูหวานผิดจากสไตล์การแต่งตัวแนวพังก์ร็อกของเธอไปมาก ดังนั้นเธอจึงต้องลงมือแก้ทรงผมและแต่งหน้าให้ตัวเองเสียใหม่ พลอยทำหน้าเซ็งไม่พอใจที่ถูกลบผลงานทิ้ง แล้วหันไปแต่งหน้าสไตล์สาวหวานให้กับตัวเองเหมือนเดิม
เดย์ละสายตาจากพลอยมายังกระจกตรงหน้า ค่อยๆ เติมอายแชว์สีดำแต่งไล่สีกับสีน้ำเงินเข้มอมเทาตรงหางตาให้เฉียงขึ้นสูง เนื่องจากเธอชอบเน้นดวงตาคมโตทั้งสองข้างของตัวเองให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ใช้นิ้วถูเบาๆ ตรงรอยต่อของทั้งสองสีให้มันผสมเข้ากันจนเนียน ก่อนจะเขียนขอบตาทั้งขอบบนและขอบล่างด้วยอายไลเนอร์สีดำ ขนตาของเธอยาวอยู่แล้วจึงแค่ดัดและปัดมาสคาร่าโดยที่ไม่ต้องใช้ขนตาปลอม และแก้ตรงคิ้วเพียงเล็กน้อยเพราะว่าพลอยเขียนไว้ให้สวยดีอยู่แล้ว แต่แค่หนาเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง จากนั้นก็ปัดแก้มบางๆ แล้วทาแค่เบเนทิ้นเพื่อให้ริมฝีปากพอดูมีสีสันอ่อนๆ เพราะว่านอกจากดวงตาแล้ว เธอต้องการให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
เมื่อเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่ถนนใหญ่ บ้านของพลอยอยู่ในหมู่บ้านเหมือนกับบ้านของเดย์ แต่อยู่ลึกเข้ามาเพียงนิดเดียวเท่านั้นต่างจากบ้านของเธอที่อยู่ลึกพอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วแล้ว พวกเธอจึงตัดสินใจเดินออกมาเรียกแท็กซี่ด้วยตัวเองดีกว่า
พลอยบอกชื่อผับเดอะมิราเคิลซึ่งเธอเคยได้ยินมาจากเพื่อนในห้องให้กับคนขับ แล้วพวกเธอก็นั่งคุยกันเรื่องหนัง เรื่องเพลง รอให้แท็กซี่ขับพาไปยังสถานที่ปลายทางที่ต้องการ
ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาที รถแท็กซี่ก็มาถึงหน้าทางเข้าของผับเดอะมิราเคิล หญิงสาวเหลือบไปมองเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาขณะยื่นเงินค่ารถให้กับคนขับแท็กซี่ จึงเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งพอดี
เดย์เดินตามพลอยไปที่หน้าประตูทางเข้าผับด้วยความรู้สึกตื่นเต้น อีกทั้งยังกังวลไม่น้อยเนื่องจากพวกเธอยังอายุไม่ถึง แต่พลอยก็บอกให้เธอทำสีหน้ามั่นใจเข้าไว้ พร้อมกับหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาให้ดู เธอก้มมองดูบัตรของเพื่อนแล้วก็ต้องยิ้มแฉ่งออกมาด้วยความรู้สึกลุ้นระทึกยิ่งขึ้นไปอีก พลอยไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่าไปทำบัตรปลอมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ น่าจะชวนเธอไปทำด้วยบ้าง
การ์ดหน้าประตูรับบัตรประชาชนปลอมของพลอยไปมองผ่านๆ ก่อนจะบุ้ยหน้ามาทางเดย์เป็นเชิงถาม พลอยรีบตอบทันทีว่าเป็นเพื่อนกัน แต่วันนี้เธอไม่ได้เอาบัตรมา คนถูกจ้องพยายามทำหน้านิ่งๆ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ ซึ่งการ์ดเองก็ดูไม่ค่อยสนใจจะทำหน้าที่ของตัวเองสักเท่าไหร่อยู่แล้ว จึงอนุญาตให้พวกเธอเข้าไปข้างในได้
ทันทีที่ทั้งสองคนก้าวเท้าเข้ามาในผับ เดย์ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้พบกับบรรยากาศแห่งความสนุกสนานราวกับเป็นโลกแห่งใหม่ คนจำนวนมากกำลังยืนจับจองพื้นที่อยู่บนฟลอร์เต้นรำที่ถูกจัดแยกเอาโดยเฉพาะภายใต้แสงไฟสลัวสีแดงสลับกับสีน้ำเงินที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นน่าค้นหา ลึกด้านในสุดเป็นเวทีใต้แสงไฟสีน้ำเงินซึ่งมีวงดนตรีหนึ่งกำลังเล่นเพลงอยู่ในขณะนี้
พลอยดึงแขนเธอไปที่ฟลอร์เต้นรำ แล้วเริ่มขยับตัวเต้นไปตามจังหวะเพลงในทันที หญิงสาวจึงออกแรงเต้นตามเพื่อนรักด้วยอีกคน เพื่อเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกตึงเครียดทั้งหลายในค่ำคืนนี้ให้หมดไป เพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้นเป็นเพลงที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจจะเพลงที่วงนี้แต่งขึ้นมาเองก็ได้ซึ่งฟังดูแล้วเป็นแนวอินดี้ แม้ว่าจะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก แต่เธอกลับรู้สึกหลงรักเพลงนี้แล้วเรียบร้อย ดังนั้นเธอจึงหันไปมองบนเวทีเพื่อดูว่าใครกำลังเล่นอยู่ จึงเห็นว่าสมาชิกในวงมีทั้งหมดสี่คน แต่เป็นเพราะแสงไฟจึงทำให้เดย์มองใบหน้าของทั้งสี่คนได้อย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก
นักร้องนำเป็นผู้ชายผมตัดสั้น เกือบเรียกได้ว่าเป็นทรงสกินเฮด ด้านซ้ายของนักร้องนำคือมือเบสซึ่งเป็นผู้ชายผมยาวถึงกลางหลัง ดูรุงรังจนฉันนึกไปถึงซาดาโกะเพราะว่าเขาก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่วนด้านขวาเป็นมือคีย์บอร์ดที่ผมยุ่งๆ ออกไปทางหยักศกหรือไม่ก็หยิกไปเลยซึ่งเธอไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ และคนสุดท้ายคือมือกลองที่สวมแว่นสายตา เขาดูค่อนข้างล่ำและแรงเยอะไม่น้อย บางทีอาจจะเป็นคำอธิบายได้ว่าแรงหวดไม้กลองเข้าขั้นมืออาชีพของเขานั้นมาจากไหน
เพลงที่สามของวงปริศนาเล่นจบไปอีกเพลง ซึ่งทั้งสามเพลงนั้นเป็นเพลงใหม่ที่เธอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกและรู้สึกตกหลุมรักทันที หลังจากนั้นก็มีการผลัดเปลี่ยนให้วงใหม่ขึ้นมาเล่นต่อ แต่ทั้งเดย์และพลอยต่างก็รู้สึกกระหายน้ำและอยากหาอะไรลงท้องจึงพากันเบียดแทรกตัวออกมาจากฟลอร์ แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม พวกเธอทั้งคู่สั่งแซงเกรีย (ไวน์พันช์) กันมาคนละแก้ว ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้วคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย
เกือบยี่สิบนาทีถัดมาพลอยก็เอ่ยชวนให้ออกไปเต้นต่อ แต่เดย์ตอบปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่ายังไม่อยากกลับเข้าไปเบียดกับคนเยอะๆ ข้างในฟลอร์สักเท่าไหร่ ดังนั้นพลอยจึงตัดสินใจไปที่ฟลอร์คนเดียว ส่วนเธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ต่อ แต่พอนั่งไปได้สักพักเธอก็เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงเอ่ยถามถึงทางไปห้องน้ำกับบาร์เทนเดอร์ แล้วลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ
หน้าห้องน้ำมีประตูไม้อยู่บานหนึ่งซึ่งเป็นทางออกไปด้านหลังของผับพอดี มันช่างดูยั่วยวนให้มีคนเข้าไปเปิดมันเหลือเกิน ดังนั้นหลังจากที่เดย์ออกมาจากห้องน้ำ เธอจึงแอบเปิดประตูออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยที่ไม่สนใจสาวผมสั้นที่เดินสวนเข้ามาพร้อมกับมองตรงมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ เธอกำลังนึกสนุกอยู่ในใจว่าจริงๆ แล้วไม่ต้องไปเข้าที่ประตูหน้าผับก็ได้นี่นา ถ้าจะแอบเข้ามาล่ะก็ คงใช้ประตูบานนี้เป็นทางผ่านได้สบาย
ลำนำสองเรา Musical (K)night || บทเพลงที่ 1
“...เมื่อกี้...ว่ายังไงนะ”
หญิงสาวกลอกตาขึ้นข้างบนอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพ่อเป็นไปตามที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ก่อนจะเบือนสายตาไปมองทางผู้เป็นแม่กับพี่ชาย ซึ่งอาการของทั้งสองคนก็ทำให้เธอแทบอยากจะหัวเราะออกมาเหลือเกิน ทั้งคู่ทำหน้าเหวอเหมือนเห็นเธอเป็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เธอก็พร่ำบอกอยู่เป็นชาติแล้วว่าจะไม่มีวันทำตามที่พวกเขาสั่งแน่นอน ชีวิตของเธอ ความฝันของเธอ เธอจะเลือกเดินเอง
“ค่ะ อย่างที่หนูได้บอกไป หนูไม่ได้สมัครแอดมิชชั่น” น้ำเสียงมั่นใจยืนยันอย่างหนักแน่น พร้อมกับยักไหล่ทีหนึ่งอย่างไม่ยี่หระกับสีหน้าซีดเผือดของทั้งสามคน
ปกติแล้วเวลาอาหารเย็นมักจะหมดไปกับการที่พ่อพูดชมพี่แดน หรือพี่ชายของเธอ หลังจากที่เขาได้สาธยายเกี่ยวกับความประเสริฐของตนเองในแต่ละวันให้ฟังจนปากเปียกปากแฉะ ส่วนแม่ก็เอาแต่มองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแสนประเสริฐด้วยความรัก ดูเคลิบเคลิ้มราวกับว่าเขาเป็นเทพบุตรก็ไม่ปาน
อ้อ ใช่ ยังมีเธออยู่อีกคนซึ่งนั่งเป็นไม้ประดับโต๊ะโดยไม่มีบทบาทใดๆ
ยกเว้นเสียแต่ว่าวันนั้นจะมีการประลองเกิดขึ้นเท่านั้น
“ตะ...แต่นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาประกาศผลแล้วนี่” เสียงสั่นกลัวของแม่เรียกให้เดย์หันไปมอง พอแม่เห็นว่าเธอไม่ได้แย้งอะไรกลับไปจึงเริ่มทำหน้าปวดร้าว แล้วละสายตาจากเธอไปที่พี่แดนแทน
“แกจงใจใช่มั้ยเดย์!” พ่อตะคอกเสียงกร้าวพร้อมกับถลึงตามองตรงมาด้วยสายตาน่ากลัว
นั่นไง เริ่มแล้ว...การประลอง
หญิงสาวลุกจากโต๊ะโดยที่ไม่เอ่ยพูดอะไรอีก เธอเบื่อที่จะต้องมานั่งพูดเรื่องเดิมอยู่ซ้ำๆ เหลือเกิน พ่อนี่ก็ถามอะไรประหลาดชะมัด นอกจากจะเป็นการจงใจแล้วมันจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปได้อีกล่ะ จะถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้วทำไมกัน
“นั่นแกจะไปไหน” เสียงลั่นของพ่อตะคอกถามไล่หลังมา แต่เดย์ไม่สนใจ พร้อมกับรีบวิ่งหนีขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว
การประลองแต่ละครั้งมักจะจบลงที่เธอเดินหนีจากมา วิ่งหนีกลับห้องตัวเองไปเลย หรือไม่ก็ไปค้างบ้านเพื่อน แต่เธอก็ไม่ถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ เพราะว่าพ่อบังคับให้เธอทำตามใจพ่อไม่สำเร็จ
ส่วนการประลองครั้งนี้นั้น... เธอขอเลือกหนีออกจากบ้าน
คิดแล้วเชียวว่าพ่อจะต้องระเบิดอารมณ์ ดังนั้นเดย์จึงจัดกระเป๋าเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเรียบร้อย เพื่อที่จะได้ขึ้นมาหยิบแล้วออกไปจากบ้านได้เลยทันที
พ่อยังคงทดสอบกล่องเสียงของตัวเองไม่ยอมหยุดในตอนที่เธอหิ้วกระเป๋าเดินทางลงบันไดมาจากชั้นสอง และมีพี่แดนคอยยืนส่งเสียงบอกให้พ่อใจเย็นๆ อยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาบอกให้เธอใจเย็นด้วยอีกคน หึ จะบ้าเรอะ ใครจะไปทำตาม เธอไม่ใช่รูปปั้นไร้ความรู้สึกนะ
พอพี่เห็นว่าเธอกำลังจ้ำอ้าวไปที่ประตู พี่ก็ทำท่าจะเข้ามาขวางแต่กลับถูกพ่อรั้งตัวเอาไว้
“ดี! ถ้ามันไม่ฟัง ก็ปล่อยให้มันออกไป จะไปไหนก็ไป!”
ถึงพ่อไม่ไล่ ยังไงเธอก็จะไปอยู่ดี
หญิงสาวกระชากประตูเปิดออก พร้อมกับก้าวเดินออกจากบ้านมาอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปที่ประตูรั้วซึ่งมีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกและไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย วันนี้เธอเตรียมพร้อมทุกอย่าง ทั้งจัดกระเป๋าไว้ล่วงหน้า และโทรเรียกแท็กซี่ให้มาจอดรออยู่หน้าบ้าน เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ลังเลโดยเด็ดขาด
ลุงคนขับแท็กซี่ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะอายุเกินสี่สิบปีลงมาช่วยยกกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปนั่งประจำที่คนขับ เดย์บอกจุดหมายปลายทางให้กับเขา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกแล้วนั่งเงียบๆ ไปตลอดทาง พลางฟังข่าวการจราจรที่ลุงเปิดฟังไปด้วยอย่างไม่รู้สึกสนใจอะไร
เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงเวลาดึกพอสมควรที่ไม่ค่อยมีรถบนถนนสักเท่าไหร่ ทำให้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเธอก็ไปถึงสถานที่ที่ต้องการ
“เฮ้ย นี่แกเอาจริงเหรอเนี่ย” เสียงคุ้นหูของพลอยดังขึ้นทันทีที่เดย์เปิดประตูรถออกไป
พลอยยืนทำหน้าเหวออยู่ตรงประตูหน้าบ้าน ขณะกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอพร้อมกับกระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ
“ก็จริงน่ะสิ ฉันไม่ได้ล้อเล่นซะหน่อย” เธอโทรบอกพลอยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทว่าจะมาขออยู่ด้วยสักพักก่อนที่จะโทรเรียกรถแท็กซี่ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เคยมาค้างบ้านของพลอยอยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหนแล้วจริงๆ
พลอยถอนหายใจยาวออกมาเหมือนกำลังรู้สึกเอือมระอาเธอเต็มทน ก่อนจะเดินมาไขกุญแจเปิดประตูรั้วให้ แล้วยื่นมือมารับกระเป๋าสะพายไปช่วยถือ จากนั้นก็เดินนำเข้าไปข้างในตัวบ้าน
“ดีนะที่แกมาเร็ว ไม่อย่างนั้นแกถูกทิ้งให้ยืนตากลมอยู่ข้างนอกยันตีสามตีสี่แน่” พลอยหันมาบอกกับเดย์ขณะที่ทั้งคู่เดินผ่านห้องนั่งเล่นไปยังบันไดขึ้นชั้นบน
“อ้าว แล้วพวกคุณป้าคุณลุงกับพี่เพชรล่ะ”
“พ่อกับแม่ไปงานประชุม ส่วนพี่ไปทำงานบ้านเพื่อนน่ะ” งานประชุมที่พลอยพูดถึงก็คืองานประชุมวิชาการแพทย์ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี พ่อแม่ของพลอยเป็นหมอด้วยกันทั้งคู่จึงต้องไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง
“อ๋อ ดังนั้นสาวสวยผู้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวก็เลยกำลังคิดว่าจะออกไปเที่ยวกลางคืนอยู่ล่ะสิ” เดย์อมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับหรี่ตาลงมองคนข้างหน้าอย่างรู้ทัน
หลังจากเดินตามพลอยเข้าไปในห้องของเธอ เดย์ก็วางกระเป๋าของตัวเองตรงหน้าตู้เสื้อผ้าสีครีม ซึ่งเข้าชุดกันกับเตียงนอนและโต๊ะทำงาน
“ใช่” พลอยตอบเสียงใส พร้อมกับเดินมาคว้าแขนเดย์ไปที่โต๊ะเครื่องแป้งของตัวเอง “ดีแล้วที่แกมา ไปด้วยกันเลย”
“ไปสิไป” หญิงสาวตอบรับอย่างตื่นเต้น แล้วนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของเพื่อน พร้อมกับปล่อยให้พลอยจัดการใบหน้าและผมของเธอได้ตามใจชอบ เธอไม่เคยไปเที่ยวกลางคืนมาก่อนเลยเพราะว่าอายุไม่ถึง อย่างมากก็ไปแค่คอนเสิร์ต แต่ก็เคยได้ยินมาว่ามีวัยรุ่นอายุไม่ถึงไปเข้าผับกันเยอะเหมือนกัน ดังนั้นเธอก็เลยคิดอยากจะลองไปดูสักครั้งบ้าง เคยเห็นในหนังแล้วมันดูน่าสนุกทีเดียว อีกทั้งยังเป็นสถานที่แห่งเสียงดนตรี เธอชื่นชอบทุกที่ที่มีเสียงเพลง
หลังจากที่เกล้าผมและแต่งหน้าอ่อนๆ ให้เดย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พลอยก็ยืนยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองซึ่งดูหวานผิดจากสไตล์การแต่งตัวแนวพังก์ร็อกของเธอไปมาก ดังนั้นเธอจึงต้องลงมือแก้ทรงผมและแต่งหน้าให้ตัวเองเสียใหม่ พลอยทำหน้าเซ็งไม่พอใจที่ถูกลบผลงานทิ้ง แล้วหันไปแต่งหน้าสไตล์สาวหวานให้กับตัวเองเหมือนเดิม
เดย์ละสายตาจากพลอยมายังกระจกตรงหน้า ค่อยๆ เติมอายแชว์สีดำแต่งไล่สีกับสีน้ำเงินเข้มอมเทาตรงหางตาให้เฉียงขึ้นสูง เนื่องจากเธอชอบเน้นดวงตาคมโตทั้งสองข้างของตัวเองให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ใช้นิ้วถูเบาๆ ตรงรอยต่อของทั้งสองสีให้มันผสมเข้ากันจนเนียน ก่อนจะเขียนขอบตาทั้งขอบบนและขอบล่างด้วยอายไลเนอร์สีดำ ขนตาของเธอยาวอยู่แล้วจึงแค่ดัดและปัดมาสคาร่าโดยที่ไม่ต้องใช้ขนตาปลอม และแก้ตรงคิ้วเพียงเล็กน้อยเพราะว่าพลอยเขียนไว้ให้สวยดีอยู่แล้ว แต่แค่หนาเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง จากนั้นก็ปัดแก้มบางๆ แล้วทาแค่เบเนทิ้นเพื่อให้ริมฝีปากพอดูมีสีสันอ่อนๆ เพราะว่านอกจากดวงตาแล้ว เธอต้องการให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
เมื่อเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่ถนนใหญ่ บ้านของพลอยอยู่ในหมู่บ้านเหมือนกับบ้านของเดย์ แต่อยู่ลึกเข้ามาเพียงนิดเดียวเท่านั้นต่างจากบ้านของเธอที่อยู่ลึกพอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วแล้ว พวกเธอจึงตัดสินใจเดินออกมาเรียกแท็กซี่ด้วยตัวเองดีกว่า
พลอยบอกชื่อผับเดอะมิราเคิลซึ่งเธอเคยได้ยินมาจากเพื่อนในห้องให้กับคนขับ แล้วพวกเธอก็นั่งคุยกันเรื่องหนัง เรื่องเพลง รอให้แท็กซี่ขับพาไปยังสถานที่ปลายทางที่ต้องการ
ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาที รถแท็กซี่ก็มาถึงหน้าทางเข้าของผับเดอะมิราเคิล หญิงสาวเหลือบไปมองเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาขณะยื่นเงินค่ารถให้กับคนขับแท็กซี่ จึงเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งพอดี
เดย์เดินตามพลอยไปที่หน้าประตูทางเข้าผับด้วยความรู้สึกตื่นเต้น อีกทั้งยังกังวลไม่น้อยเนื่องจากพวกเธอยังอายุไม่ถึง แต่พลอยก็บอกให้เธอทำสีหน้ามั่นใจเข้าไว้ พร้อมกับหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาให้ดู เธอก้มมองดูบัตรของเพื่อนแล้วก็ต้องยิ้มแฉ่งออกมาด้วยความรู้สึกลุ้นระทึกยิ่งขึ้นไปอีก พลอยไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่าไปทำบัตรปลอมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ น่าจะชวนเธอไปทำด้วยบ้าง
การ์ดหน้าประตูรับบัตรประชาชนปลอมของพลอยไปมองผ่านๆ ก่อนจะบุ้ยหน้ามาทางเดย์เป็นเชิงถาม พลอยรีบตอบทันทีว่าเป็นเพื่อนกัน แต่วันนี้เธอไม่ได้เอาบัตรมา คนถูกจ้องพยายามทำหน้านิ่งๆ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ ซึ่งการ์ดเองก็ดูไม่ค่อยสนใจจะทำหน้าที่ของตัวเองสักเท่าไหร่อยู่แล้ว จึงอนุญาตให้พวกเธอเข้าไปข้างในได้
ทันทีที่ทั้งสองคนก้าวเท้าเข้ามาในผับ เดย์ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้พบกับบรรยากาศแห่งความสนุกสนานราวกับเป็นโลกแห่งใหม่ คนจำนวนมากกำลังยืนจับจองพื้นที่อยู่บนฟลอร์เต้นรำที่ถูกจัดแยกเอาโดยเฉพาะภายใต้แสงไฟสลัวสีแดงสลับกับสีน้ำเงินที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นน่าค้นหา ลึกด้านในสุดเป็นเวทีใต้แสงไฟสีน้ำเงินซึ่งมีวงดนตรีหนึ่งกำลังเล่นเพลงอยู่ในขณะนี้
พลอยดึงแขนเธอไปที่ฟลอร์เต้นรำ แล้วเริ่มขยับตัวเต้นไปตามจังหวะเพลงในทันที หญิงสาวจึงออกแรงเต้นตามเพื่อนรักด้วยอีกคน เพื่อเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกตึงเครียดทั้งหลายในค่ำคืนนี้ให้หมดไป เพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้นเป็นเพลงที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจจะเพลงที่วงนี้แต่งขึ้นมาเองก็ได้ซึ่งฟังดูแล้วเป็นแนวอินดี้ แม้ว่าจะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก แต่เธอกลับรู้สึกหลงรักเพลงนี้แล้วเรียบร้อย ดังนั้นเธอจึงหันไปมองบนเวทีเพื่อดูว่าใครกำลังเล่นอยู่ จึงเห็นว่าสมาชิกในวงมีทั้งหมดสี่คน แต่เป็นเพราะแสงไฟจึงทำให้เดย์มองใบหน้าของทั้งสี่คนได้อย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก
นักร้องนำเป็นผู้ชายผมตัดสั้น เกือบเรียกได้ว่าเป็นทรงสกินเฮด ด้านซ้ายของนักร้องนำคือมือเบสซึ่งเป็นผู้ชายผมยาวถึงกลางหลัง ดูรุงรังจนฉันนึกไปถึงซาดาโกะเพราะว่าเขาก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่วนด้านขวาเป็นมือคีย์บอร์ดที่ผมยุ่งๆ ออกไปทางหยักศกหรือไม่ก็หยิกไปเลยซึ่งเธอไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ และคนสุดท้ายคือมือกลองที่สวมแว่นสายตา เขาดูค่อนข้างล่ำและแรงเยอะไม่น้อย บางทีอาจจะเป็นคำอธิบายได้ว่าแรงหวดไม้กลองเข้าขั้นมืออาชีพของเขานั้นมาจากไหน
เพลงที่สามของวงปริศนาเล่นจบไปอีกเพลง ซึ่งทั้งสามเพลงนั้นเป็นเพลงใหม่ที่เธอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกและรู้สึกตกหลุมรักทันที หลังจากนั้นก็มีการผลัดเปลี่ยนให้วงใหม่ขึ้นมาเล่นต่อ แต่ทั้งเดย์และพลอยต่างก็รู้สึกกระหายน้ำและอยากหาอะไรลงท้องจึงพากันเบียดแทรกตัวออกมาจากฟลอร์ แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม พวกเธอทั้งคู่สั่งแซงเกรีย (ไวน์พันช์) กันมาคนละแก้ว ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้วคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย
เกือบยี่สิบนาทีถัดมาพลอยก็เอ่ยชวนให้ออกไปเต้นต่อ แต่เดย์ตอบปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่ายังไม่อยากกลับเข้าไปเบียดกับคนเยอะๆ ข้างในฟลอร์สักเท่าไหร่ ดังนั้นพลอยจึงตัดสินใจไปที่ฟลอร์คนเดียว ส่วนเธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ต่อ แต่พอนั่งไปได้สักพักเธอก็เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงเอ่ยถามถึงทางไปห้องน้ำกับบาร์เทนเดอร์ แล้วลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ
หน้าห้องน้ำมีประตูไม้อยู่บานหนึ่งซึ่งเป็นทางออกไปด้านหลังของผับพอดี มันช่างดูยั่วยวนให้มีคนเข้าไปเปิดมันเหลือเกิน ดังนั้นหลังจากที่เดย์ออกมาจากห้องน้ำ เธอจึงแอบเปิดประตูออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยที่ไม่สนใจสาวผมสั้นที่เดินสวนเข้ามาพร้อมกับมองตรงมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ เธอกำลังนึกสนุกอยู่ในใจว่าจริงๆ แล้วไม่ต้องไปเข้าที่ประตูหน้าผับก็ได้นี่นา ถ้าจะแอบเข้ามาล่ะก็ คงใช้ประตูบานนี้เป็นทางผ่านได้สบาย