เช้านี้ ได้อ่านกระทู้ในอินเตอร์เนทอันหนึ่ง เลยอยากจะเขียนกระทู้นี้เพื่อแบ่งปันมุมมองให้กับคนที่เจอปัญหาการเพิ่มมูลค่าสินค้าของคุณ
เรื่องที่อ่านเจอมาคือ ญี่ปุ่นขายไข่ไก่ได้เฉลี่ยฟองละประมาณ 170 บาท แต่ไข่ไก่ที่บ้านเราเต็มที่เลยฟองละไม่เกิน 5 บาท
เรื่องนี้ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องลุกขึ้นมาชี้จุดที่แตกต่างของญี่ปุ่นกับของคนไทยเรา
1. ความคุ้มค่า (Value) ไม่ใช่อยู่ที่ราคาสินค้า (Price) แต่จะสะท้อนมาจากคุณค่า (ฺbenefit) ของสินค้านั้นๆ
เช่น ไข่ไก่จากญี่ปุ่น เค้าโฆษณาว่าเป็นไข่ที่เกิดจากการเลี้ยงแบบดั้งเดิม และไม่มีสารเคมีต่างๆ อาทิ สารเร่งโต เป็นต้น
ทำให้ไข่ที่ออกมาจากไก่ญี่ปุ่น กลายเป็นไข่ที่ดีต่อสุขภาพ แตกต่างจากไข่บ้านเราที่เกิดจากไก่ฉีดสารต่างๆ ราคาเลยต่างกันมากมายขนาดนี้
แต่ถึงราคาจะต่างกันมากมาย ลูกค้าบางคนที่ให้ความสนใจในสุขภาพและมีกำลังเงินพอ ก็จะซื้อสินค้านี้โดยไม่ลังเลใดๆ แถมยังบอกว่าคุ้มค่าด้วย
ปล. เคยเห็นมีไข่ไก่จากแม่ไก่อารมณ์ดี ก็จะมีมูลค่ามากกว่า ไข่ไก่จากแม่ไก่ทั่วไป นี่ก็การตลาดแบบหนึ่งเหมือนกัน
2. บรรจุภัณฑ์ (Packaging) หรือ หีบห่อที่บรรจุสินค้านั้นๆ
- ถ้าซื้อในตลาดสด แม่ค้าก็จะใส่ในถุงก๊อบแก๊บ หรือถ้าซื้อเป็นถาดก็จะมีแต่ไข่กับถาดกระดาษ เท่านั้น
- ถ้าซื้อในซุปเปอร์สโตว์ หรือร้านสะดวกซื้อ ก็จะเป็นถาดพลาสติกมีฝาปิด ... สวยงามขึ้นมาหน่อย
เห็นได้ชัดเลยว่าการบรรจุหีบห่อของไข่ไก่บ้านเรา อ่อนมากๆ เทียบกับรูปประกอบแล้ว ราคาที่เขาขายไม่น่าเกลียดเลย
3. หลักดีมานด์-ซัพพลาย (Demand-Supply) หรือ ความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตของสินค้า
พี่ไทยนั้น อะไรที่มีกระแสว่ามีราคา ก็จะแห่กันทำตาม ทำมากจนสินค้ามีมากเกินกว่าความต้องการของตลาด ราคาสินค้าก็จะลดลงมา
ถ้าอยากให้เราขายได้ราคาดี ต้องทำสิ่งที่แตกต่างกับคนอื่น
เปรียบกับมวย ถ้าเราเอาต่อยเหมือนเดิมทุกครั้ง สุดท้ายเขาก็ป้องกันได้ เราต้องเปลี่ยนสเต็ปการต่อย มีล่อหลอกเพิ่มเข้ามา
แต่ที่สำคัญ ต้องต่อยให้เข้าเป้าด้วยนะ ไม่ต่อยกราด เดี๋ยวจะหมดแรงก่อน
เดี๋ยวมาต่อละกันนะครับ ไปกินกาแฟก่อน
การเพิ่มมูลค่าสินค้าของคุณ ฉบับใจไม่ถึงห้ามอ่าน
เรื่องที่อ่านเจอมาคือ ญี่ปุ่นขายไข่ไก่ได้เฉลี่ยฟองละประมาณ 170 บาท แต่ไข่ไก่ที่บ้านเราเต็มที่เลยฟองละไม่เกิน 5 บาท
เรื่องนี้ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องลุกขึ้นมาชี้จุดที่แตกต่างของญี่ปุ่นกับของคนไทยเรา
1. ความคุ้มค่า (Value) ไม่ใช่อยู่ที่ราคาสินค้า (Price) แต่จะสะท้อนมาจากคุณค่า (ฺbenefit) ของสินค้านั้นๆ
เช่น ไข่ไก่จากญี่ปุ่น เค้าโฆษณาว่าเป็นไข่ที่เกิดจากการเลี้ยงแบบดั้งเดิม และไม่มีสารเคมีต่างๆ อาทิ สารเร่งโต เป็นต้น
ทำให้ไข่ที่ออกมาจากไก่ญี่ปุ่น กลายเป็นไข่ที่ดีต่อสุขภาพ แตกต่างจากไข่บ้านเราที่เกิดจากไก่ฉีดสารต่างๆ ราคาเลยต่างกันมากมายขนาดนี้
แต่ถึงราคาจะต่างกันมากมาย ลูกค้าบางคนที่ให้ความสนใจในสุขภาพและมีกำลังเงินพอ ก็จะซื้อสินค้านี้โดยไม่ลังเลใดๆ แถมยังบอกว่าคุ้มค่าด้วย
ปล. เคยเห็นมีไข่ไก่จากแม่ไก่อารมณ์ดี ก็จะมีมูลค่ามากกว่า ไข่ไก่จากแม่ไก่ทั่วไป นี่ก็การตลาดแบบหนึ่งเหมือนกัน
2. บรรจุภัณฑ์ (Packaging) หรือ หีบห่อที่บรรจุสินค้านั้นๆ
- ถ้าซื้อในตลาดสด แม่ค้าก็จะใส่ในถุงก๊อบแก๊บ หรือถ้าซื้อเป็นถาดก็จะมีแต่ไข่กับถาดกระดาษ เท่านั้น
- ถ้าซื้อในซุปเปอร์สโตว์ หรือร้านสะดวกซื้อ ก็จะเป็นถาดพลาสติกมีฝาปิด ... สวยงามขึ้นมาหน่อย
เห็นได้ชัดเลยว่าการบรรจุหีบห่อของไข่ไก่บ้านเรา อ่อนมากๆ เทียบกับรูปประกอบแล้ว ราคาที่เขาขายไม่น่าเกลียดเลย
3. หลักดีมานด์-ซัพพลาย (Demand-Supply) หรือ ความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตของสินค้า
พี่ไทยนั้น อะไรที่มีกระแสว่ามีราคา ก็จะแห่กันทำตาม ทำมากจนสินค้ามีมากเกินกว่าความต้องการของตลาด ราคาสินค้าก็จะลดลงมา
ถ้าอยากให้เราขายได้ราคาดี ต้องทำสิ่งที่แตกต่างกับคนอื่น
เปรียบกับมวย ถ้าเราเอาต่อยเหมือนเดิมทุกครั้ง สุดท้ายเขาก็ป้องกันได้ เราต้องเปลี่ยนสเต็ปการต่อย มีล่อหลอกเพิ่มเข้ามา
แต่ที่สำคัญ ต้องต่อยให้เข้าเป้าด้วยนะ ไม่ต่อยกราด เดี๋ยวจะหมดแรงก่อน
เดี๋ยวมาต่อละกันนะครับ ไปกินกาแฟก่อน