ก่อนอื่นขอกล่าวก่อนว่า เรื่องราวที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องราวที่ผมประสพ พบเองทั้งหมด
ผมก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเกิดในครอบครัวพุทธศาสนา ที่แม่พาเข้าวัดทำบุญมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่แปลกอะไรกับผมที่จะได้รับฟังคำสอนจากพระและแม่เสมอๆมีทั้งเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ บาป บุญ เด็กๆก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ซนไปตามประสาเด็ก ยิงนก ตกปลา เพื่อความสนุก อาจจะมีกลัวบาปบ้างแต่เดี๋ยวก็ลืม ทั้งชีวิตก็ไม่เคยรักษาศีล 5 ได้ครบสักทีจนอายุเลยมา 27 ปี
ผมข้ามมาถึงตอนอายุ 27 เลยแล้วกัน ตัวผมเองตั้งใจว่าจะบวชตั้งแต่อายุ 25 ปี แล้วแต่ต้วยชีวิตการทำงานมันมีการเปลี่ยนแปลงเอาแน่นอนไม่ได้ต้องย้ายงานตอนอายุ 25 พอดี พอย้ายมาก็เลยยังไม่กล้าลาบวช(ยังไม่ผ่านโปร) พอมาอายุ 26 ก็ติดงานไม่ได้ลาบวชอีก พอจะครับ 27 ปีนี้ผมตั้งใจว่าต้องบวชให้พ่อให้แม่ให้ได้ เลยวางแผนว่าจะบวชวันเกิดเลย คุยกับพ่อกับแม่ว่าอยากบวชวัดป่า อยากปฏิบัติจริงๆ อยากศึกษาพระธรรมให้ถ่องแท้ ไม่ต้องการให้จัดงานอะไรอยากให้ พ่อแม่และคนในครอบครัวมาตัดผม โกนหัวบวชก็พอ เพราะไม่อยากทำบาปก่อนบวช ทั้งเลี้ยงเหล้า ฆ่าสัตว์ (มันเปลื้องตังด้วย)
ระหว่างก่อนบวชแม่ผมก็เลยเป็นธุระหาวัดจนไปได้วัดป่าใน จังหวัดลำปาง วัดสามัคคีบุญญาราม เป็นวัดในป่าค่อนข้างไกลจากหมู่บ้าน สงบ ตรงตามที่ผมต้องการ ซึ่งปกติพระอาจารย์(เจ้าอาวาส) จะไม่รับคนที่มาบวชต่ำกว่า 1 พรรษา เพราะท่านต้องการให้คนที่มาบวชได้เรียนรู้อะไรให้ได้มากๆ ไม่ต้องการให้มาบวชเพื่อเป็นพิธี ท่านบอกมันไม่ได้ประโยชน์ แต่ด้วยความโชคดีของผมที้น้าเป็นลูกศิษย์ขอท่านให้ พระอาจารย์ เลยยอม (เผื่อบางท่านสงสัยว่าทำไมไม่ลาบวชเลย 3 เดือน พอดีผมทำงานไม่ครบ 2 ปี ตอนบวชเลยยังใช้สิทธิไม่ได้ + มีงานที่ต้องรับผิดชอบ) แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเข้ามาอยู่วัดก่อนบวช 7 วัน
หลังจากได้วันบวชที่แน่นอนแล้วผมเตรียมตัวเตรียมใจไปเข้าวัดเพื่อเตรียมบวชหรือไปเป็น นาค วันแรกที่ไปถึงวัดก็ได้เจอกับพระอาจารย์เลย ท่านดูสงบ น่าเลื่อมใส แต่ผมเองก็ยังมีอะไรหลายๆอย่างในใจ ว่าตัวผมจะไหวไหมจะอยู่ครบ 20 วันไหม....... ระหว่างที่แม่คุยกับพระอาจารย์ อยู่ๆท่านก็หันมาหาผมว่า
"จะไหวไหมไอหนุ่ม กรุงเทพ บวชวัดป่าไม่ได้สบายนะ เป็นพระวัดป่าต้องทำงาน"
ท่านหันมายิ้มเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร
ผมเลยตอบท่านกลับไปว่า "ไหวครับผมตั้งใจมาแล้ว"
พระอาจารย์ก็หันกลับไปคุยกับแม่แล้วท่านก็พูดว่า
"คนไทยสมัยนี้มีลูกชายมันก็บวชกันตามประเพณี บวชแค่ 7-10 วันมันก็สึกแล้วไม่ทันได้เรียนอะไรเลย ผ้าเหลืองยังไม่ทันซีดก็สึกแล้ว บวชแค่ผ่านๆไม่ได้ประโยชน์ บุญที่พ่อแม่จะได้มันก็ไม่ครบ บุญตกอยู่หน้าโบสถ์ พอบวชเป็นพระก็ไม่ได้ปฎิบัติจริงๆ บาปหนักเข้าไปใหญ่ เป็นพระศีลต้องถือเยอะกว่าชาวบ้าน ถ้าทำผิดก็ผิดหนักกว่าชาวบ้าน"
ระหว่างนั้นผมก็ได้แต่นั่งฟังแล้วก็คิดตามที่พระอาจารย์พูด จริงของท่านเมื่อบวชแล้วไม่ใช่สักแต่ห่มผ้าสบง จีวร แล้วไม่ถือศีลไม่ได้
หลังจากที่แม่คุยกับพระอาจารย์เสร็จ พระอาจารย์ก็บอกให้ไปหาหลวงพี่เพือพาเข้า กุฏิ เอาของไปเก็บแล้วให้พ่อกับแม่กลับไปได้เลยไม่ต้องอยู่ ค่อยมาวันที่บวชทีเดียว ท่านบอกว่าจะบวชแล้วต้องตัดทุกอย่าง ผมตั้งใจจะตัดทางโลกทุกอย่างเลยให้แม่เอาโทรศัพท์กลับไปด้วย
พอเข้ากุฏิ เป็นแค่ห้องสีเหลี่ยมไม่มีอะไรเลย ยังดีที่มีพัดลมให้ 1 ตัว(วัดนี้ทั้งวัดไม่มี TV วัทยุ) วัดเป็นวัดป่าพระแต่ละรูปจะอยู่ กุฏิ ละ 1 รูป ไม่อยู่รวมกันและแต่ละ กุฏิ อยู่ห่างๆกัน เพราะที่นี้เน้นปฎิบัติวิปัสสนา และเดินจงกรม เลยต้องห่างกันไม่ให้รบกวนกัน เห็นกุฏิ แล้วก็แอบกลัวเพราะทั้ง 4 ด้านมีหน้าต่างข้างบนหน้าต่างมีกระจก หึ หึ ไม่ต้องคิดถึงคืนนี้ว่าจะเป็นไง หลังจากแม่กับพ่อขนของลงแล้วก็กลับเลยตามคำสั่งพระอาจารย์ ทิ้งผมไว้คนเดียวเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีสิ่งเร้าอะไรเลย TV มือถือ อินเตอร์เนต จากชีวิตที่เคยวุ่นวายในเมืองใหญ่ พอมาอยู่เงียบๆแบบนี้ก็แอบกลัว ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ตอนนี้มีแต่ผมกับกระดาษ 1 ใบเป็นบทขอบวช เอสาหัง ที่ยาว 4 กระดาษ A4 ต้องท่องจำให้ได้ก่อนงานวันบวชมีเวลาอีก 7 วัน
เอาจริงๆแล้วผมก้ได้บทสวดมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาท่อง(ข้ออ้าง จริงๆแล้วพอจะท่องๆก็ Line มา จะท่องๆก็ Facebook จะท่องอีกก็สายเข้า) เรื่องท่องไม่มีปัญหาเท่าไหร่แต่สำเนียงนี้ซิ เลยต้องมีพระพี่เลี้ยงค่อยประกบ
กลับมาที่หลังจากนั่งเงียบๆคนเดียวดูเวลา 12.00 น. แล้ว ท้องเจ้ากรรมก็เริ่มร้องเพราะหิวแต่ก็ต้องทำเป็นลืมๆมันไปเพราะพระที่นี้ฉันมื้อเดียว ผมตั้งใจว่าจะเริ่มฝึกเลยว่าไม่กินเข้าวเที่ยงกับเย็น แต่ร่างกายเจ้ากรรมก็ไม่ยอมร้องใหญ่ ผมเลยมองหาของที่แม่เตรียมให้ก็เจอ นมถั่วเหลือง เอาวะกินให้มันรู้ว่ามีอะไรลงไปบ้างจะได้ท่องต่อได้ หลังจากกินไปสักพักมันก็หิวอีก T_T เลยตัดสินใจนอนหลับให้มันลืมหิว ข่มตานอนตอน 14.00 น. ก็นอนไม่ได้เลยออกไปเดินเล่น พอดีเจอหลวงพี่กำลังจะไปกวาดวัดก็เดินตามท่านไปช่วยงานวัด ท้องก็หิวแต่ก็ทนให้ได้ช่วยพระที่วัดทำความสะอาดจนเย็นก็กลับมาอาบน้ำ ที่น่าแปลกผมกลับลืมหิวข้าวไปเลย มองนาฬิกา 18.20 น. นั่งอยู่ใน กุฏิ เงียบๆภายนอกเริ่มมืด รอบๆกุฏิก็เริ่มเต็มไปด้วยเสียงบรรเลงของเหล่าสัตว์ต่างๆ ดังไปทั่ว พอมาอยู่กับตัวเองพยามยามท่องบทขอสวดแต่ก็ท่องไม่ได้สักที เพราะใจเริ่มกลัว
ผี จากคนที่อยู่ในเมืองมีคนเยอะ พอมาอยู่คนเดียวในป่า
จินตาการ มันก็มา หนังผีที่เคยดูๆมันก็เริ่มผุดมาในหัว

ได้ยินเสียงอะไรดังนิดหน่อยก็คิดไปไกล จะหนีก็หนีไม่ได้จะไปขอนอนกับพระ ท่านก็ไม่ได้ แล้วหน้าต่างจะปิดก็ร้อนจะเปิดก็กลัว ก็เลยแง้มๆให้แค่ลมพอผ่านได้ เริ่มดึกก็เริ่มกลัวนั่งท่องบทสวดไปจนกึง 3 ทุ่ม ใจไม่ไหวแล้วกลัวเพราะมีเสียงบนหลังคาตลอด บางทีก็ระแวงที่หน้าต่างเหมือนมีอะไรผ่าน เลยขมตานอน ตอน 3 ทุ่มกว่า จากปกติก็นอน เที่ยงคืน ตี1 มันช่างนอนหลับยากเสียจริงๆ
20 วันกับชีวิตใต้ผ้าเหลือง
ผมก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเกิดในครอบครัวพุทธศาสนา ที่แม่พาเข้าวัดทำบุญมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่แปลกอะไรกับผมที่จะได้รับฟังคำสอนจากพระและแม่เสมอๆมีทั้งเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ บาป บุญ เด็กๆก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ซนไปตามประสาเด็ก ยิงนก ตกปลา เพื่อความสนุก อาจจะมีกลัวบาปบ้างแต่เดี๋ยวก็ลืม ทั้งชีวิตก็ไม่เคยรักษาศีล 5 ได้ครบสักทีจนอายุเลยมา 27 ปี
ผมข้ามมาถึงตอนอายุ 27 เลยแล้วกัน ตัวผมเองตั้งใจว่าจะบวชตั้งแต่อายุ 25 ปี แล้วแต่ต้วยชีวิตการทำงานมันมีการเปลี่ยนแปลงเอาแน่นอนไม่ได้ต้องย้ายงานตอนอายุ 25 พอดี พอย้ายมาก็เลยยังไม่กล้าลาบวช(ยังไม่ผ่านโปร) พอมาอายุ 26 ก็ติดงานไม่ได้ลาบวชอีก พอจะครับ 27 ปีนี้ผมตั้งใจว่าต้องบวชให้พ่อให้แม่ให้ได้ เลยวางแผนว่าจะบวชวันเกิดเลย คุยกับพ่อกับแม่ว่าอยากบวชวัดป่า อยากปฏิบัติจริงๆ อยากศึกษาพระธรรมให้ถ่องแท้ ไม่ต้องการให้จัดงานอะไรอยากให้ พ่อแม่และคนในครอบครัวมาตัดผม โกนหัวบวชก็พอ เพราะไม่อยากทำบาปก่อนบวช ทั้งเลี้ยงเหล้า ฆ่าสัตว์ (มันเปลื้องตังด้วย)
ระหว่างก่อนบวชแม่ผมก็เลยเป็นธุระหาวัดจนไปได้วัดป่าใน จังหวัดลำปาง วัดสามัคคีบุญญาราม เป็นวัดในป่าค่อนข้างไกลจากหมู่บ้าน สงบ ตรงตามที่ผมต้องการ ซึ่งปกติพระอาจารย์(เจ้าอาวาส) จะไม่รับคนที่มาบวชต่ำกว่า 1 พรรษา เพราะท่านต้องการให้คนที่มาบวชได้เรียนรู้อะไรให้ได้มากๆ ไม่ต้องการให้มาบวชเพื่อเป็นพิธี ท่านบอกมันไม่ได้ประโยชน์ แต่ด้วยความโชคดีของผมที้น้าเป็นลูกศิษย์ขอท่านให้ พระอาจารย์ เลยยอม (เผื่อบางท่านสงสัยว่าทำไมไม่ลาบวชเลย 3 เดือน พอดีผมทำงานไม่ครบ 2 ปี ตอนบวชเลยยังใช้สิทธิไม่ได้ + มีงานที่ต้องรับผิดชอบ) แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเข้ามาอยู่วัดก่อนบวช 7 วัน
หลังจากได้วันบวชที่แน่นอนแล้วผมเตรียมตัวเตรียมใจไปเข้าวัดเพื่อเตรียมบวชหรือไปเป็น นาค วันแรกที่ไปถึงวัดก็ได้เจอกับพระอาจารย์เลย ท่านดูสงบ น่าเลื่อมใส แต่ผมเองก็ยังมีอะไรหลายๆอย่างในใจ ว่าตัวผมจะไหวไหมจะอยู่ครบ 20 วันไหม....... ระหว่างที่แม่คุยกับพระอาจารย์ อยู่ๆท่านก็หันมาหาผมว่า
"จะไหวไหมไอหนุ่ม กรุงเทพ บวชวัดป่าไม่ได้สบายนะ เป็นพระวัดป่าต้องทำงาน"
ท่านหันมายิ้มเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร
ผมเลยตอบท่านกลับไปว่า "ไหวครับผมตั้งใจมาแล้ว"
พระอาจารย์ก็หันกลับไปคุยกับแม่แล้วท่านก็พูดว่า
"คนไทยสมัยนี้มีลูกชายมันก็บวชกันตามประเพณี บวชแค่ 7-10 วันมันก็สึกแล้วไม่ทันได้เรียนอะไรเลย ผ้าเหลืองยังไม่ทันซีดก็สึกแล้ว บวชแค่ผ่านๆไม่ได้ประโยชน์ บุญที่พ่อแม่จะได้มันก็ไม่ครบ บุญตกอยู่หน้าโบสถ์ พอบวชเป็นพระก็ไม่ได้ปฎิบัติจริงๆ บาปหนักเข้าไปใหญ่ เป็นพระศีลต้องถือเยอะกว่าชาวบ้าน ถ้าทำผิดก็ผิดหนักกว่าชาวบ้าน"
ระหว่างนั้นผมก็ได้แต่นั่งฟังแล้วก็คิดตามที่พระอาจารย์พูด จริงของท่านเมื่อบวชแล้วไม่ใช่สักแต่ห่มผ้าสบง จีวร แล้วไม่ถือศีลไม่ได้
หลังจากที่แม่คุยกับพระอาจารย์เสร็จ พระอาจารย์ก็บอกให้ไปหาหลวงพี่เพือพาเข้า กุฏิ เอาของไปเก็บแล้วให้พ่อกับแม่กลับไปได้เลยไม่ต้องอยู่ ค่อยมาวันที่บวชทีเดียว ท่านบอกว่าจะบวชแล้วต้องตัดทุกอย่าง ผมตั้งใจจะตัดทางโลกทุกอย่างเลยให้แม่เอาโทรศัพท์กลับไปด้วย
พอเข้ากุฏิ เป็นแค่ห้องสีเหลี่ยมไม่มีอะไรเลย ยังดีที่มีพัดลมให้ 1 ตัว(วัดนี้ทั้งวัดไม่มี TV วัทยุ) วัดเป็นวัดป่าพระแต่ละรูปจะอยู่ กุฏิ ละ 1 รูป ไม่อยู่รวมกันและแต่ละ กุฏิ อยู่ห่างๆกัน เพราะที่นี้เน้นปฎิบัติวิปัสสนา และเดินจงกรม เลยต้องห่างกันไม่ให้รบกวนกัน เห็นกุฏิ แล้วก็แอบกลัวเพราะทั้ง 4 ด้านมีหน้าต่างข้างบนหน้าต่างมีกระจก หึ หึ ไม่ต้องคิดถึงคืนนี้ว่าจะเป็นไง หลังจากแม่กับพ่อขนของลงแล้วก็กลับเลยตามคำสั่งพระอาจารย์ ทิ้งผมไว้คนเดียวเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีสิ่งเร้าอะไรเลย TV มือถือ อินเตอร์เนต จากชีวิตที่เคยวุ่นวายในเมืองใหญ่ พอมาอยู่เงียบๆแบบนี้ก็แอบกลัว ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ตอนนี้มีแต่ผมกับกระดาษ 1 ใบเป็นบทขอบวช เอสาหัง ที่ยาว 4 กระดาษ A4 ต้องท่องจำให้ได้ก่อนงานวันบวชมีเวลาอีก 7 วัน
เอาจริงๆแล้วผมก้ได้บทสวดมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาท่อง(ข้ออ้าง จริงๆแล้วพอจะท่องๆก็ Line มา จะท่องๆก็ Facebook จะท่องอีกก็สายเข้า) เรื่องท่องไม่มีปัญหาเท่าไหร่แต่สำเนียงนี้ซิ เลยต้องมีพระพี่เลี้ยงค่อยประกบ
กลับมาที่หลังจากนั่งเงียบๆคนเดียวดูเวลา 12.00 น. แล้ว ท้องเจ้ากรรมก็เริ่มร้องเพราะหิวแต่ก็ต้องทำเป็นลืมๆมันไปเพราะพระที่นี้ฉันมื้อเดียว ผมตั้งใจว่าจะเริ่มฝึกเลยว่าไม่กินเข้าวเที่ยงกับเย็น แต่ร่างกายเจ้ากรรมก็ไม่ยอมร้องใหญ่ ผมเลยมองหาของที่แม่เตรียมให้ก็เจอ นมถั่วเหลือง เอาวะกินให้มันรู้ว่ามีอะไรลงไปบ้างจะได้ท่องต่อได้ หลังจากกินไปสักพักมันก็หิวอีก T_T เลยตัดสินใจนอนหลับให้มันลืมหิว ข่มตานอนตอน 14.00 น. ก็นอนไม่ได้เลยออกไปเดินเล่น พอดีเจอหลวงพี่กำลังจะไปกวาดวัดก็เดินตามท่านไปช่วยงานวัด ท้องก็หิวแต่ก็ทนให้ได้ช่วยพระที่วัดทำความสะอาดจนเย็นก็กลับมาอาบน้ำ ที่น่าแปลกผมกลับลืมหิวข้าวไปเลย มองนาฬิกา 18.20 น. นั่งอยู่ใน กุฏิ เงียบๆภายนอกเริ่มมืด รอบๆกุฏิก็เริ่มเต็มไปด้วยเสียงบรรเลงของเหล่าสัตว์ต่างๆ ดังไปทั่ว พอมาอยู่กับตัวเองพยามยามท่องบทขอสวดแต่ก็ท่องไม่ได้สักที เพราะใจเริ่มกลัว ผี จากคนที่อยู่ในเมืองมีคนเยอะ พอมาอยู่คนเดียวในป่า
จินตาการ มันก็มา หนังผีที่เคยดูๆมันก็เริ่มผุดมาในหัว
ได้ยินเสียงอะไรดังนิดหน่อยก็คิดไปไกล จะหนีก็หนีไม่ได้จะไปขอนอนกับพระ ท่านก็ไม่ได้ แล้วหน้าต่างจะปิดก็ร้อนจะเปิดก็กลัว ก็เลยแง้มๆให้แค่ลมพอผ่านได้ เริ่มดึกก็เริ่มกลัวนั่งท่องบทสวดไปจนกึง 3 ทุ่ม ใจไม่ไหวแล้วกลัวเพราะมีเสียงบนหลังคาตลอด บางทีก็ระแวงที่หน้าต่างเหมือนมีอะไรผ่าน เลยขมตานอน ตอน 3 ทุ่มกว่า จากปกติก็นอน เที่ยงคืน ตี1 มันช่างนอนหลับยากเสียจริงๆ