สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
( ต่อ )
ก็นะ..ทำไมเด็กยากจน พ่อก็ตาย แม่ก็ป่วย อยู่กับตายายแก่ๆ ต้องทำงานไปเรียนไป พอไปดูผลการเรียน ก็พบว่ามักจะ “ดีเยี่ยม” อย่างไม่น่าเชื่อ จะว่าไปแล้วอาจจะดีกว่าเด็กจำนวนมากที่อยู่อย่างสุขสบาย กินอิ่มนอนหลับเสียด้วยซ้ำไป ถามว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของสินเชื่อ คุณต้องการให้เด็กยืมเงินไปใช้จ่ายในการเล่าเรียน เพื่อหวังว่าเด็กจบมาสูงๆ จะได้มีอนาคต พึ่งพาตนเองได้ไม่เป็นภาระสังคม แต่คุณก็มีเงินจำกัด ไม่ใช่เทวดาที่จะเสกเงินได้ ถามว่าคุณจะให้ใคร ระหว่างเด็กที่มีเกรดเฉลี่ยได้มาตรฐานพอสมควร กับเด็กที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำกว่ามาตรฐาน แต่มีเพียงคำพูดว่าฉันอย่างจะปรับปรุงตัว อยากขอโอกาส โน่นนี่นั่นไปเรื่อย
ธนาคารก็ดี แหล่งเงินกุ้แบบต่างๆ ก็ดี ยังมีหลักเกณฑ์เลยว่า คนประเภทไหนเป็น “ลูกค้าชั้นดี” ก็ให้ขอสินเชื่อกันง่ายๆ ไม่ต้องขอหลักฐานมากมาย และคนประเภทไหนเป็น “ลูกค้ากลุ่มเสี่ยง” ที่ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้เด็ดขาด หรือถึงยอม ก็ต้องใช้หลักฐานมากมาย หรือต้องใช้คนค้ำก็มี หรือแหล่งเงินนอกระบบ หากไปถามพวกเขาว่าทำไมต้องเรียกดอกเบี้ยโหดๆ เขาก็จะให้เหตุผลว่า เพราะลูกหนี้หลายราย พอไม่มีจ่าย แทนที่จะขอเจรจาว่าขอค่อยๆ ผ่อนทีละเท่านี้เท่านั้น กลับชักดาบหนีไปดื้อๆ แน่นอนลูกหนี้พวกนี้ มักเป็นพวกหลักลอย หาเช้ากินค่ำ อยู่กันไม่ค่อยจะเป็นหลักแหล่ง และย้ายงานบ่อย ดังนั้นการเรียกดอกเบี้ยโหดๆ อย่างน้อยๆ ก็หวังว่าจะได้เงินคืนบ้าง
ไหนล่ะความเท่าเทียม?..ทำไมธนาคารถึงแบ่งประเภทลูกค้า เพราะเขารู้ว่าคนแต่ละประเภทมีศักยภาพในการใช้หนี้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าเป็นลูกค้ากลุ่มเสี่ยง แต่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่ามีดีจริง มีความตั้งใจจริง ก็ต้องยอมรับได้กับบททดสอบที่หนักหน่วงกว่าคนทั่วไป กยศ. ก็เช่นกัน ที่ผ่านมา นอกจากจะยืมแล้วไม่คืน จนรัฐบาลต้องตามทวงหนี้กันอุตลุดแล้ว ยังมีปัญหาการนำเงินไปใช้ผิดประเภท ทั้งซื้อมอเตอร์ไซค์ มือถือราคาแพง หรือนำไปกิน – เที่ยว ตามประสาวัยรุ่น
ถามว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของเงิน..จะรู้สึกยังไง? ที่เงินกุ้เพื่อการศึกษา ถูกเอามาใช้สำมะเลเทเมาแบบนี้?
สรุปง่ายๆ อย่าหลงกับวาทกรรม “ความเท่าเทียม” นักเลยครับ มันไม่มีจริงหรอก หากคุณต้องการให้คนอื่นยอมรับ คุณก็ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนว่าคุณมีดีจริง มีความตั้งใจจริง อย่างพี่แท็กซี่ที่ผมเล่า ถึงแกจะเป็นเพียงคนขับแท็กซี่ แต่แกเป็นคนหนึ่งที่มีความคิดดีทีเดียว ถึงฐานะไม่ร่ำรวย และการศึกษาไม่สูงก็ตาม หรือผู้ที่เป็นแรงงานระดับล่าง บางคนพยายามทำงานไปด้วย เรียนหนังสือไปด้วย จนสามารถดึงตัวเองให้ฐานะดีขึ้นได้ แต่บางคนทำงานได้เท่าไร ก็ไปลงกับขวดเหล้า ซองบุหรี่ วงไพ่ บ่อนไฮโล และโพยพนันฟุตบอล แล้วพอถูกคนอื่นมองในภาพลบ ก็ตีโพยตีพาย บอกเขาว่าดูหมิ่นดูแคลน ไม่ยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เท่าเทียม
ความเท่าเทียมแต่ต้นไม่มีอยู่จริง..ถ้าคุณอยากให้คนอื่นยอมรับ อยากให้คนอื่นช่วยเหลือ ก็ต้องทำให้พวกเขาเห็นเสียก่อน ว่าคุณ “มีใจ” จริงๆ ไม่ใช่เอาแต่ร้องโวยวาย ตีโพยตีพายโทษ และนั่นโทษนี่ไปวันๆ!!!
------------------------------
อ้างอิง :
[1] http://pantip.com/topic/32545645/comment65
[2] http://www.thairath.co.th/content/399058 ( ดูหัวข้อ “ต้องจ่ายเงินเพิ่มเท่าไร?” )
ก็นะ..ทำไมเด็กยากจน พ่อก็ตาย แม่ก็ป่วย อยู่กับตายายแก่ๆ ต้องทำงานไปเรียนไป พอไปดูผลการเรียน ก็พบว่ามักจะ “ดีเยี่ยม” อย่างไม่น่าเชื่อ จะว่าไปแล้วอาจจะดีกว่าเด็กจำนวนมากที่อยู่อย่างสุขสบาย กินอิ่มนอนหลับเสียด้วยซ้ำไป ถามว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของสินเชื่อ คุณต้องการให้เด็กยืมเงินไปใช้จ่ายในการเล่าเรียน เพื่อหวังว่าเด็กจบมาสูงๆ จะได้มีอนาคต พึ่งพาตนเองได้ไม่เป็นภาระสังคม แต่คุณก็มีเงินจำกัด ไม่ใช่เทวดาที่จะเสกเงินได้ ถามว่าคุณจะให้ใคร ระหว่างเด็กที่มีเกรดเฉลี่ยได้มาตรฐานพอสมควร กับเด็กที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำกว่ามาตรฐาน แต่มีเพียงคำพูดว่าฉันอย่างจะปรับปรุงตัว อยากขอโอกาส โน่นนี่นั่นไปเรื่อย
ธนาคารก็ดี แหล่งเงินกุ้แบบต่างๆ ก็ดี ยังมีหลักเกณฑ์เลยว่า คนประเภทไหนเป็น “ลูกค้าชั้นดี” ก็ให้ขอสินเชื่อกันง่ายๆ ไม่ต้องขอหลักฐานมากมาย และคนประเภทไหนเป็น “ลูกค้ากลุ่มเสี่ยง” ที่ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้เด็ดขาด หรือถึงยอม ก็ต้องใช้หลักฐานมากมาย หรือต้องใช้คนค้ำก็มี หรือแหล่งเงินนอกระบบ หากไปถามพวกเขาว่าทำไมต้องเรียกดอกเบี้ยโหดๆ เขาก็จะให้เหตุผลว่า เพราะลูกหนี้หลายราย พอไม่มีจ่าย แทนที่จะขอเจรจาว่าขอค่อยๆ ผ่อนทีละเท่านี้เท่านั้น กลับชักดาบหนีไปดื้อๆ แน่นอนลูกหนี้พวกนี้ มักเป็นพวกหลักลอย หาเช้ากินค่ำ อยู่กันไม่ค่อยจะเป็นหลักแหล่ง และย้ายงานบ่อย ดังนั้นการเรียกดอกเบี้ยโหดๆ อย่างน้อยๆ ก็หวังว่าจะได้เงินคืนบ้าง
ไหนล่ะความเท่าเทียม?..ทำไมธนาคารถึงแบ่งประเภทลูกค้า เพราะเขารู้ว่าคนแต่ละประเภทมีศักยภาพในการใช้หนี้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าเป็นลูกค้ากลุ่มเสี่ยง แต่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่ามีดีจริง มีความตั้งใจจริง ก็ต้องยอมรับได้กับบททดสอบที่หนักหน่วงกว่าคนทั่วไป กยศ. ก็เช่นกัน ที่ผ่านมา นอกจากจะยืมแล้วไม่คืน จนรัฐบาลต้องตามทวงหนี้กันอุตลุดแล้ว ยังมีปัญหาการนำเงินไปใช้ผิดประเภท ทั้งซื้อมอเตอร์ไซค์ มือถือราคาแพง หรือนำไปกิน – เที่ยว ตามประสาวัยรุ่น
ถามว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของเงิน..จะรู้สึกยังไง? ที่เงินกุ้เพื่อการศึกษา ถูกเอามาใช้สำมะเลเทเมาแบบนี้?
สรุปง่ายๆ อย่าหลงกับวาทกรรม “ความเท่าเทียม” นักเลยครับ มันไม่มีจริงหรอก หากคุณต้องการให้คนอื่นยอมรับ คุณก็ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนว่าคุณมีดีจริง มีความตั้งใจจริง อย่างพี่แท็กซี่ที่ผมเล่า ถึงแกจะเป็นเพียงคนขับแท็กซี่ แต่แกเป็นคนหนึ่งที่มีความคิดดีทีเดียว ถึงฐานะไม่ร่ำรวย และการศึกษาไม่สูงก็ตาม หรือผู้ที่เป็นแรงงานระดับล่าง บางคนพยายามทำงานไปด้วย เรียนหนังสือไปด้วย จนสามารถดึงตัวเองให้ฐานะดีขึ้นได้ แต่บางคนทำงานได้เท่าไร ก็ไปลงกับขวดเหล้า ซองบุหรี่ วงไพ่ บ่อนไฮโล และโพยพนันฟุตบอล แล้วพอถูกคนอื่นมองในภาพลบ ก็ตีโพยตีพาย บอกเขาว่าดูหมิ่นดูแคลน ไม่ยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เท่าเทียม
ความเท่าเทียมแต่ต้นไม่มีอยู่จริง..ถ้าคุณอยากให้คนอื่นยอมรับ อยากให้คนอื่นช่วยเหลือ ก็ต้องทำให้พวกเขาเห็นเสียก่อน ว่าคุณ “มีใจ” จริงๆ ไม่ใช่เอาแต่ร้องโวยวาย ตีโพยตีพายโทษ และนั่นโทษนี่ไปวันๆ!!!
------------------------------
อ้างอิง :
[1] http://pantip.com/topic/32545645/comment65
[2] http://www.thairath.co.th/content/399058 ( ดูหัวข้อ “ต้องจ่ายเงินเพิ่มเท่าไร?” )
แสดงความคิดเห็น
[บทความพิเศษ] จาก “ดรามา มธ.” ถึง “ดรามา กยศ.” : เรากำลังหลงวาทกรรม “เท่าเทียม” มากไปหรือเปล่า?
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมบอกตรงๆ เลยว่า “หงุดหงิด” กับพวก “คลั่งเสรีภาพ” ( ไม่ต้องให้ผมถอนคำพูด บอกไปหลายรอบแล้ว ผมเป็นพวก “Anti – Liberal”..ตรงไปตรงมานะครับ ) จนอดที่จะบ่นผ่านหน้าจอไม่ได้ กับประเด็นดรามา ณ มหา’ลัยที่ชอบภูมิใจเหลือเกินกับคำว่า “เสรีภาพทุกตารางนิ้ว” แล้ว (บางคน) จากมหา’ลัยนี้ ก็เที่ยวไปอวดว่าที่ๆ ข้าอยู่นั่นแน่กว่า เหนือกว่า เป็นสากลกว่าสถาบันแบบเดียวกันที่อื่นๆ ที่ยังคงความเป็นขนบธรรมเนียมไทยๆ อยู่
เรื่องของเรื่อง..ในคลาสเรียนหนึ่ง นักศึกษานั่งอยู่กับพื้น อาจารย์จึงบอกให้นักศึกษาไปนั่งบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย แต่สิ่งที่กลายเป็นประเด็น อาจารย์ได้พูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้สอนเด็กวัดค่ะ เด็กวัดนั่งพื้นกัน มันไม่มีที่จะนั่ง” ฟังแบบนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนคงเฉยๆ ส่วนบางคนอาจจะขำๆ ถ้าเป็นเด็กเกรียนๆ หน่อย อาจจะมีโห่ฮาบ้าง แต่สุดท้ายก็จะลุกไปนั่งบนเก้าอี้ตามปกติ แล้วเรื่องมันก็ควรจะจบไปแค่นั้น
ทว่ามันไม่จบ..อยู่ดีๆ ก็มีนักศึกษากลุ่มหนึ่ง เขียนป้ายประท้วงให้อาจารย์คนดังกล่าวออกมาขอโทษ และไม่ยิ่งไม่จบ เมื่อมีการโพสต์คลิปลงไปในโลกออนไลน์ บอกว่าอาจารย์คนนี้ “หมิ่นเด็กวัด” ด้วยคำว่า “ฉันไม่สอนเด็กวัด” แน่นอน ประเด็นบานปลายไปใหญ่ ด้านหนึ่งเหล่าบรรดาพวกคลั่งเสรีภาพ พยายามว่ากันไปด้วยเรื่องของการ “ถอดรื้อ” ขนบวิถีแบบไทยๆ มองว่าสังคมไทยเต็มไปด้วยการ “เหยียดโน่น-หยามนี่-ดูถูกนั่น” ว่าสังคมไทยล้าหลัง เผด็จการต่างๆ นานา กับฝ่ายที่เข้าใจบริบทสังคมแบบไทยๆ ที่พยายามอธิบายถึงลักษณะของภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งมีความแตกต่างไปจากระบบธรรมเนียมแบบตะวันตก ที่พวกแรกต้องการ ( ใช้คำว่า “โหยหา” ไปเลยดีกว่า สะใจคนเขียนบทความนี้ดีครับ ฮ่าฮ่าฮ่า )
ก่อนจะพูดถึงเรื่องข้างต้น ผมขอยกเรื่องที่อาจจะ “คล้ายกัน” มาสัก 2 กรณี ให้ทุกท่านเห็นภาพบางอย่างของสังคมไทยเราเสียก่อน!!!
เรื่องแรก..ในวงสนทนาหนึ่ง เพื่อนฝูงดื่มสุรา สรวลเสเฮฮากันไปเรื่อยเปื่อย แต่ละคนเล่าเรื่องที่ไปเจอมา ในระหว่างที่แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต หนุ่มคนหนึ่งเป็นทหารเกณฑ์เพิ่งปลดจากกองประจำการ เล่าชีวิตช่วงการฝึกทหารใหม่ 2 เดือนแรก แน่นอนว่าชีวิตหนุ่มๆ วัยรุ่น อายุตั้งแต่ 18-21 ปี ( 18-20 มาด้วยวิธีสมัคร แต่ 21 มักมาด้วยการจับใบดำใบแดง ) บางคนเป็นเด็กเรียน ชีวิตไม่เคยทำอะไรนอกจากเรียนหนังสือ สบายจนเคยตัว บางคนเป็นเด็กติดเกม ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน บางคนท่าทางกร่างๆ เพราะเป็นเด็กแว้น อันธพาล เคยติดคุกเด็ก ( สถานพินิจ ) ก็ยังมี
ดังนั้น 2 เดือนแรกนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการ “จับปูใส่กระด้ง” ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้คนร่วม 200 คน อยู่ในระเบียบวินัย บทลงโทษทั้งการซ่อมด้วยวิธีออกกำลังกาย ไม่ว่าจะวิดพื้น สก๊อตจัมพ์ วิ่งสปีดเร็วๆ ม้วนหน้า ม้วนหลัง แถไปด้วยหน้าอกสลับกับไปด้วยแผ่นหลัง ฯลฯ ( รวมทั้งวิธี “ปากว่ามือถึง” สำหรับ “บางคน” ที่แสดงอาการ “หาเรื่อง” ไม่ยอมอยู่ในกฏระเบียบ ทั้งที่ตักเตือนแล้วหลายครั้ง ) และวิธีกดดันทางจิตใจด้วยสารพัดคำพูดถูกนำมาใช้ ยิ่งฝึกนานจนร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียเท่าไร เหนื่อยล้าเท่าไร ครูฝึกก็ยิ่งพูดจากดดัน จนหนุ่มๆ บางคนถอดใจ อยากร้องไห้กลับบ้านก็มี ( แต่เมื่อถูกถามว่าจะยอมแพ้ไหม? ถ้าบอกว่ายอมแพ้ก็จะโดนซ่อมหนักพิเศษต่างหาก ด้วยเซ็ทการออกกำลังกายข้างต้น จนทุกอย่างที่กินเข้าไป อาจออกมาจากท้องทั้งหมดได้ง่ายๆ )
หนึ่งในคำพูดของครูฝึก ที่อดีตไอ่เณรรายนี้จำได้ “พวกเอ็งมาฝึกทหารนะ ไม่ใช่มาฝึกลูกเสือชาวบ้าน”!!!
เรื่องที่สอง..เมื่อปีก่อน ผมเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้าน อย่างที่ทราบกัน คนขับแท็กซี่มีความหลากหลายมาก และไม่น้อยเลยที่เป็นคนใฝ่หาความรู้ ติดตามข่าวสาร สถานการณ์บ้านเมือง ประเด็นร้อนต่างๆ ตลอดเวลา วันนั้นก็เช่นกัน ผมคุยกับคนขับแท็กซี่รายนี้ไปเรื่อยเปื่อย ถ้าจำไม่ผิดก็เรื่องของ “ไม้เรียว” ยังจำเป็นกับเด็กไทยหรือไม่? พี่แท็กซี่รายนี้ บอกว่าตัวเองไม่เคยตีลูกแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่เด็กๆ จนปัจจุบันที่กำลังเรียนระดับอุดมศึกษาแล้ว ( ดูแกจะภูมิใจมาก ส่วนผมก็ทึ่ง เพราะผมเชื่อว่าไม้เรียวยังจำเป็นอยู่ในบางกรณี )
ผมถามแกว่า..แล้วแกเลี้ยงลูกยังไง? ทำไมลูกแกตั้งใจเรียน? แกเล่าว่า แกยึดอาชีพขับแท็กซี่มาราวๆ 20 ปีเศษๆ ( ตั้งแต่ยุคที่ยังเป็นคำว่า “TAXI” ไม่ใช่ “TAXI METER” แบบตอนนี้ ) เวลาไปรับ – ไปส่งลูกที่โรงเรียน บ่อยครั้งที่กลายเป็นการ “ขับรถเที่ยว” แต่ไม่ได้เป็นการเที่ยวเอาสนุกเพลิดเพลินเท่านั้น บ่อยครั้งแกตระเวนพาลูกไปดู “ชีวิตชนชั้นล่าง” เช่น กรรมกรก่อสร้าง , คนเก็บขยะ , แม่ค้าแผงลอยเล็กๆ ข้างถนน คนดูแลสวน เป็นต้น
แล้วก็สอนลูกทุกครั้ง..“ถ้าลูกไม่อยากลำบากแบบนี้ ไม่อยากเหนื่อยแบบจับกัง ก็ตั้งใจเรียนนะลูก”!!!
( มีต่อ )