ขอเล่าเรื่อง... แฟนแมนฯยูคนนึง กับ แฟนลิเวอร์พูลอีกคนนึง ให้ฟังหน่อยนะคะ ...
น่าจะเป็นปีที่แฟนผีมีช่วงเวลาของตลาดซื้อขายที่ดีงามที่สุดในรอบหลายปี
- ดิมาเรีย
- บลินด์
- ฟัลเกา
- เอร์เรร่า
- ชอว์
- โรโฮ
นับจากยุคป๋าที่แทบจะนับตัวได้ กว่าจะซื้อใครมาสักคน (มีทั้งตัวที่ดี และ แย่)
พ่อเราเป็นแฟนผีมา 30 กว่าปี ก่อนป๋าจะมาคุมทีมซะอีก และเป็นคนที่ชื่นชมป๋ามากๆ แต่ก็พูดออกมาอยู่คำนึงว่า สโมสรนี้ เป็น "สุสานดาวยิง"
ในยุคป๋า มีนักเตะหลายคน แจ้งเกิด และ แจ้งดับ โดยเฉพาะ กองหน้าหลายคน มักเอาชื่อมาทิ้งที่นี่ ที่เราพอได้ติดตามและดูทันคือ "พญาราชสีห์ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน"
จำได้ว่าตอนมา แฟนๆค่อนข้างตื่นเต้นกันมาก แต่พอมาอยู่อังกฤษจริงๆ ดันเป็นกองหน้าที่ยิงยากยิงเย็น ยังจำได้ที่ฟอร์ลันชอบใส่ยางรัดผม ล้มตรงหน้ากรอบประตู เพราะทำประตูไม่ได้
ดูเป็นเดือนปีที่น่าอึดอัดของดาวยิงอุรุกกวัย แต่เขาบอกในภายหลังว่า มีทั้งสุขและทุกข์ที่ยูไนเต็ด แต่แน่นอนว่า มันเป็นความทรงจำที่ดีและน่าจดจำ
เรายังจำได้อีก ว่าทันทีที่ฟอร์ลันย้ายออก เขาก็ไปยิงกระจายกับอีกทีมทันที คือ บียารีล .. เราค่อนข้างชอบฟอร์ลัน เลยจำได้แม่นว่า หน้าตอนดีใจที่ถลุงตาข่ายได้อย่างใจของฟอร์ลันมันดูน่าจดจำแค่ไหน
ที่ผ่านมาแฟนผีอาจคุ้นเคยกับการลุ้นนักเตะใหม่ปีละคน สองคน แต่ปีนี้พวกเขาได้พร้อมกันถึง 6 ตัว และอาจถึง 7-8 ก่อนตลาดปิดปีนี้
แม้จะเป็นยุคที่ไร้ป๋า และไม่ได้ไปเล่น แชมป์เปี้ยนลีกส์ก็ตาม
แชมป์เปียนลีกส์เป็นถ้วยสำคัญที่นักเตะและทุกสโมสร ต้องการมีส่วนร่วม .. นอกจากมุ่งหวังแชมป์ในลีกส์ การทำอันดับดีๆคือเป้าหมายรองลงมา การได้ไปพบกับทีมอื่นๆในยุโรป คือ ความท้าทายของนักเตะทุกคน มันสำคัญขนาดที่ว่า ในยุคหลัง นักเตะแสดงเจตนารมณ์ต่อแชมป์เปี้ยนลีกส์ชัดเจนขึ้น พวกเขาออกปากเรื่องการย้ายทีม สารภาพตรงๆอย่างไม่ปิดบังว่า
"ย้ายทีมเพราะอยากเล่นแชมป์เปี้ยนลีกส์"
ในบรรดาคำพูดสวยหรูทั้งหมด ที่ไม่ว่าสโมสรจะคิดให้หรือนักเตะจะคิดเองเวลาย้ายทีม (ทุกทีม) เราเชื่ออยู่คำเดียวคือ
"ผมอยากประสบความสำเร็จ และ ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่"
ไม่ว่านั่นจะหมายถึงเงิน หรือ ถ้วยแชมป์ใดๆก็ตาม นี่คือความจริงที่แฟนบอลต้องทำใจยอมรับว่า "นักเตะก็คนธรรมดา ที่ต้องทำมาหากิน" เหมือนกัน
พ่อเราเป็นไอดอลของเราในหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องการเชียร์กีฬา ... พ่อมักชอบนักเตะที่เราไม่ค่อยชอบ และมักเกลียดนักเตะที่เราชอบ
เราเกลียด รุดฟานนิสเตลรอย พ่อชอบ
เราชอบ คริสเตียโน โรนัลโด้ พ่อเกลียด
มีชอบตรงกันอยู่คนเดียวคือ ปาร์ค จี ซอง กับ จอห์น โอเชียร์ นอกนั้นส่วนใหญ่ไม่ตรงกันเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในการเชียร์ของพ่อคือ
ด่าในเกมแบบดุเดือด แต่พอบอลจบแล้วทุกอย่างจบ ไม่มีเป็นเดือดเป็นแค้น
บอลเตะใหม่ ก็ด่าอีก ด่าเสร็จ บอลจบก็จบ นอนหลับ ไปกินเหล้า ไปเที่ยว ถึงเวลามีบอลดูก็ดู
และ
ไม่เคยสนว่าสโมสรจะซื้อหรือขายใคร
แค่จะเชียร์ทีมของตัวเอง
ในชีวิตเราไม่เคยเห็นพ่อคุยเรื่องฟุตบอล หรือ บลัฟกับใครเลยเรื่องทีมฟุตบอล (แม้จะกับเพื่อนๆแกที่คุยเรื่องบอลกันอย่างดุเดือด)
ตั้งแต่ยุคที่ไม่มีอินเตอร์เนต ยุคที่ยังต้องตามอ่านข่าวทีมจากหนังสือพิมพ์และแม็กกาซีน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเป๊ะ (พ่อเราเป็นคนชวนเรามาเล่นพันทิปด้วยซ้ำ)
โอเค คนเราไม่เหมือนกัน ยุคสมัยก็ต่างกัน ไม่แปลกที่พ่อเราจะเป็นแบบนั้น แก่แล้ว ใครจะมานั่งทะเลาะกันเรื่องทีมฟุตบอลอีก
สำคัญตรงนี้ค่ะ
พ่อเรา "เลือกเชียร์" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ทีมยังเป็นเพียง "ทีมกลางตาราง" ในยุคพ่อเรา ลิเวอร์พูลคือสโมสรที่กวาดแชมป์มานับไม่ถ้วน Red Machine อันโด่งดังและตำนานการเดินหน้าคว้าแชมป์ยุโรป ทำให้แฟนๆของทีมเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล
วันนั้น พ่อเราเลือกเชียร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ไม่มีอะไรดึงดูดใจเลย นอกจากสไตล์การเล่น กว่าเฟอร์กี้จะมา กว่าจะคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่อง การได้มองลิเวอร์พูลค่อยๆเข้าสู่ยุคมืด อาจเป็นความสะใจ และ ความรู้สึกว่า ในที่สุด เราก็คือผู้ชนะ แต่พ่อเราก็ผ่านมาหมดแล้ว ทั้งยุคมืดหรือยุครุ่งเรือง
ซึ่งเราก็เหมือนพ่อ
เราเชียร์ลิเวอร์พูลในวันที่ไม่มีอะไรดึงดูดใจนอกจากนักเตะที่ชื่อ ไมเคิล โอเว่น และต่อมาก็กลายเป็นเกมการเล่นและสโมสรแทนที่ทำให้เราอยู่กับทีมต่อ แม้เราจะไม่มีแชมป์
เราก็รอแชมป์แบบที่พ่อเราเคยรอ แม้มันจะนาน และแทบไม่รู้ว่านานแค่ไหน
เวลาเราชมทีมตัวเอง เราไม่คิดอะไรนอกจากว่า เรารักสโมสรนี้ เราคิดแค่นี้ ไม่เคยคิดว่า จะยกตัวเองเหนือใครหรือเป็นแฟนบอลที่ดีที่สุดในโลก ที่ทีมตกต่ำก็ไม่เคยทิ้งทีม แบบที่หลายคนล้อกัน
"ใครมันก็ไม่ทิ้งทีมทั้งนั้น ไม่มีใครเค้าเอามาโม้กันหรอก"
เราบอกเสมอ เราไม่เคยอินกับแชมป์ยุโรป 5 สมัย
แต่เราอินกับ Miracle Night ที่ Istanbul
ความยิ่งใหญ่สำหรับเราในอดีตแทบไม่มีค่าเลย เพราะเราไม่เคยสัมผัสมัน ทีมในวันนี้คือสิ่งที่เราภูมิใจ เราเลยอยากบอกทุกคน อยากแชร์กับแฟนๆด้วยกัน
เรื่องมันมีแค่นั้น
ยูไนเต็ดวันนี้ เป็นครั้งแรกในรอบหลาย 10 ปีที่เขาไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรป แต่กลับมีนักเตะดังๆย้ายเข้าทีมมามากมาย นั่นคือความภาคภูมิใจของยูไนเต็ดและแฟนๆ
ถ้วยหรือเกมยุโรปไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป หลายคนเชื่อมั่นในความยิ่งใหญ่และมองไกลกว่านั้นว่า สโมสรจะต้องกลับมายิ่งใหญ่ในเร็วๆนี้
แต่กับลิเวอร์พูล เราไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรปมา 5 ปี เราไม่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ฯเลย การได้กลับไปในวันนี้ มันจึงสำคัญมาก ... เพราะมันเหมือนกับว่าเรามีความหวังแล้ว ตอนนี้อะไรก็ยิ่งใหญ่สำหรับเราหมดทุกอย่าง
มันก็เหมือนยุคที่พ่อเรารอคอยการมาของ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน
เห็นแสงสว่างรำไร ก็ดีใจจนเนื้อเต้น
มันเรียบง่ายกว่าที่หลายคนพยายามแสดงออก มันคือความรู้สึกในวันที่ได้เห็นทีมค่อยๆดีขึ้น ความรู้สึกแบบที่พ่อเราเคยรู้สึก
"มันต้องถึงทีกูมั่งแล้ว"
ตอนนั้น พ่อเราก็คงไม่รู้อนาคตว่า เฟอร์กี้จะพาทีมมายิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ และตอนนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนที่พาแสงสว่างแบบนั้นมาจะเป็น เบรนเดน ร็อดเจอร์ส หรือไม่
เราไม่รู้อะไรเลย
ซึ่งความสนุกมันอยู่ตรงนี้
อนาคตมันคาดเดาไม่ได้ .. มีความสุขกับความหวังในปัจจุบันก็พอค่ะ
LIVERPOOL YOU'LL NEVER WALK ALONE
GLORY GLORY MANCHESTER UNITED
ช่วงนี้กระทู้โหดเยอะ ขอพื้นที่กระทู้เน่าๆแทรกหน่อยนะคะ
เวิ่นเว้อ กลับมาแล้วค่ะ เฮ้
ปล. อย่าดราม่าใส่ทีมอื่นเรื่องนี้ (เรื่องที่แซวว่าเวิ่นเว้อ) เลยนะคะ อันนี้เราขอ คือ เราไม่ได้ปกป้องคนอื่น เราปกป้องตัวเองค่ะ บอกกงๆเลย
อ่านเอาซึ้ง เพลินๆพอไม่นะคะ ไม่ต้องเครียดเรื่องเก่าๆกันแล้ว เราไม่เครียดเรื่องคนแซวแล้วค่ะ ตลกดี
กลัวเดี๋ยวจะมาสู้รบกันในนี้อีก ขอนิดนึงนะคะ
ขอเล่าเรื่อง... แฟนแมนฯยูคนนึง กับ แฟนลิเวอร์พูลอีกคนนึง ให้ฟังหน่อยนะคะ ...
น่าจะเป็นปีที่แฟนผีมีช่วงเวลาของตลาดซื้อขายที่ดีงามที่สุดในรอบหลายปี
- ดิมาเรีย
- บลินด์
- ฟัลเกา
- เอร์เรร่า
- ชอว์
- โรโฮ
นับจากยุคป๋าที่แทบจะนับตัวได้ กว่าจะซื้อใครมาสักคน (มีทั้งตัวที่ดี และ แย่)
พ่อเราเป็นแฟนผีมา 30 กว่าปี ก่อนป๋าจะมาคุมทีมซะอีก และเป็นคนที่ชื่นชมป๋ามากๆ แต่ก็พูดออกมาอยู่คำนึงว่า สโมสรนี้ เป็น "สุสานดาวยิง"
ในยุคป๋า มีนักเตะหลายคน แจ้งเกิด และ แจ้งดับ โดยเฉพาะ กองหน้าหลายคน มักเอาชื่อมาทิ้งที่นี่ ที่เราพอได้ติดตามและดูทันคือ "พญาราชสีห์ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน"
จำได้ว่าตอนมา แฟนๆค่อนข้างตื่นเต้นกันมาก แต่พอมาอยู่อังกฤษจริงๆ ดันเป็นกองหน้าที่ยิงยากยิงเย็น ยังจำได้ที่ฟอร์ลันชอบใส่ยางรัดผม ล้มตรงหน้ากรอบประตู เพราะทำประตูไม่ได้
ดูเป็นเดือนปีที่น่าอึดอัดของดาวยิงอุรุกกวัย แต่เขาบอกในภายหลังว่า มีทั้งสุขและทุกข์ที่ยูไนเต็ด แต่แน่นอนว่า มันเป็นความทรงจำที่ดีและน่าจดจำ
เรายังจำได้อีก ว่าทันทีที่ฟอร์ลันย้ายออก เขาก็ไปยิงกระจายกับอีกทีมทันที คือ บียารีล .. เราค่อนข้างชอบฟอร์ลัน เลยจำได้แม่นว่า หน้าตอนดีใจที่ถลุงตาข่ายได้อย่างใจของฟอร์ลันมันดูน่าจดจำแค่ไหน
ที่ผ่านมาแฟนผีอาจคุ้นเคยกับการลุ้นนักเตะใหม่ปีละคน สองคน แต่ปีนี้พวกเขาได้พร้อมกันถึง 6 ตัว และอาจถึง 7-8 ก่อนตลาดปิดปีนี้
แม้จะเป็นยุคที่ไร้ป๋า และไม่ได้ไปเล่น แชมป์เปี้ยนลีกส์ก็ตาม
แชมป์เปียนลีกส์เป็นถ้วยสำคัญที่นักเตะและทุกสโมสร ต้องการมีส่วนร่วม .. นอกจากมุ่งหวังแชมป์ในลีกส์ การทำอันดับดีๆคือเป้าหมายรองลงมา การได้ไปพบกับทีมอื่นๆในยุโรป คือ ความท้าทายของนักเตะทุกคน มันสำคัญขนาดที่ว่า ในยุคหลัง นักเตะแสดงเจตนารมณ์ต่อแชมป์เปี้ยนลีกส์ชัดเจนขึ้น พวกเขาออกปากเรื่องการย้ายทีม สารภาพตรงๆอย่างไม่ปิดบังว่า
"ย้ายทีมเพราะอยากเล่นแชมป์เปี้ยนลีกส์"
ในบรรดาคำพูดสวยหรูทั้งหมด ที่ไม่ว่าสโมสรจะคิดให้หรือนักเตะจะคิดเองเวลาย้ายทีม (ทุกทีม) เราเชื่ออยู่คำเดียวคือ
"ผมอยากประสบความสำเร็จ และ ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่"
ไม่ว่านั่นจะหมายถึงเงิน หรือ ถ้วยแชมป์ใดๆก็ตาม นี่คือความจริงที่แฟนบอลต้องทำใจยอมรับว่า "นักเตะก็คนธรรมดา ที่ต้องทำมาหากิน" เหมือนกัน
พ่อเราเป็นไอดอลของเราในหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องการเชียร์กีฬา ... พ่อมักชอบนักเตะที่เราไม่ค่อยชอบ และมักเกลียดนักเตะที่เราชอบ
เราเกลียด รุดฟานนิสเตลรอย พ่อชอบ
เราชอบ คริสเตียโน โรนัลโด้ พ่อเกลียด
มีชอบตรงกันอยู่คนเดียวคือ ปาร์ค จี ซอง กับ จอห์น โอเชียร์ นอกนั้นส่วนใหญ่ไม่ตรงกันเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในการเชียร์ของพ่อคือ
ด่าในเกมแบบดุเดือด แต่พอบอลจบแล้วทุกอย่างจบ ไม่มีเป็นเดือดเป็นแค้น
บอลเตะใหม่ ก็ด่าอีก ด่าเสร็จ บอลจบก็จบ นอนหลับ ไปกินเหล้า ไปเที่ยว ถึงเวลามีบอลดูก็ดู
และ
ไม่เคยสนว่าสโมสรจะซื้อหรือขายใคร
แค่จะเชียร์ทีมของตัวเอง
ในชีวิตเราไม่เคยเห็นพ่อคุยเรื่องฟุตบอล หรือ บลัฟกับใครเลยเรื่องทีมฟุตบอล (แม้จะกับเพื่อนๆแกที่คุยเรื่องบอลกันอย่างดุเดือด)
ตั้งแต่ยุคที่ไม่มีอินเตอร์เนต ยุคที่ยังต้องตามอ่านข่าวทีมจากหนังสือพิมพ์และแม็กกาซีน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเป๊ะ (พ่อเราเป็นคนชวนเรามาเล่นพันทิปด้วยซ้ำ)
โอเค คนเราไม่เหมือนกัน ยุคสมัยก็ต่างกัน ไม่แปลกที่พ่อเราจะเป็นแบบนั้น แก่แล้ว ใครจะมานั่งทะเลาะกันเรื่องทีมฟุตบอลอีก
สำคัญตรงนี้ค่ะ
พ่อเรา "เลือกเชียร์" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ทีมยังเป็นเพียง "ทีมกลางตาราง" ในยุคพ่อเรา ลิเวอร์พูลคือสโมสรที่กวาดแชมป์มานับไม่ถ้วน Red Machine อันโด่งดังและตำนานการเดินหน้าคว้าแชมป์ยุโรป ทำให้แฟนๆของทีมเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล
วันนั้น พ่อเราเลือกเชียร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ไม่มีอะไรดึงดูดใจเลย นอกจากสไตล์การเล่น กว่าเฟอร์กี้จะมา กว่าจะคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่อง การได้มองลิเวอร์พูลค่อยๆเข้าสู่ยุคมืด อาจเป็นความสะใจ และ ความรู้สึกว่า ในที่สุด เราก็คือผู้ชนะ แต่พ่อเราก็ผ่านมาหมดแล้ว ทั้งยุคมืดหรือยุครุ่งเรือง
ซึ่งเราก็เหมือนพ่อ
เราเชียร์ลิเวอร์พูลในวันที่ไม่มีอะไรดึงดูดใจนอกจากนักเตะที่ชื่อ ไมเคิล โอเว่น และต่อมาก็กลายเป็นเกมการเล่นและสโมสรแทนที่ทำให้เราอยู่กับทีมต่อ แม้เราจะไม่มีแชมป์
เราก็รอแชมป์แบบที่พ่อเราเคยรอ แม้มันจะนาน และแทบไม่รู้ว่านานแค่ไหน
เวลาเราชมทีมตัวเอง เราไม่คิดอะไรนอกจากว่า เรารักสโมสรนี้ เราคิดแค่นี้ ไม่เคยคิดว่า จะยกตัวเองเหนือใครหรือเป็นแฟนบอลที่ดีที่สุดในโลก ที่ทีมตกต่ำก็ไม่เคยทิ้งทีม แบบที่หลายคนล้อกัน
"ใครมันก็ไม่ทิ้งทีมทั้งนั้น ไม่มีใครเค้าเอามาโม้กันหรอก"
เราบอกเสมอ เราไม่เคยอินกับแชมป์ยุโรป 5 สมัย
แต่เราอินกับ Miracle Night ที่ Istanbul
ความยิ่งใหญ่สำหรับเราในอดีตแทบไม่มีค่าเลย เพราะเราไม่เคยสัมผัสมัน ทีมในวันนี้คือสิ่งที่เราภูมิใจ เราเลยอยากบอกทุกคน อยากแชร์กับแฟนๆด้วยกัน
เรื่องมันมีแค่นั้น
ยูไนเต็ดวันนี้ เป็นครั้งแรกในรอบหลาย 10 ปีที่เขาไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรป แต่กลับมีนักเตะดังๆย้ายเข้าทีมมามากมาย นั่นคือความภาคภูมิใจของยูไนเต็ดและแฟนๆ
ถ้วยหรือเกมยุโรปไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป หลายคนเชื่อมั่นในความยิ่งใหญ่และมองไกลกว่านั้นว่า สโมสรจะต้องกลับมายิ่งใหญ่ในเร็วๆนี้
แต่กับลิเวอร์พูล เราไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรปมา 5 ปี เราไม่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ฯเลย การได้กลับไปในวันนี้ มันจึงสำคัญมาก ... เพราะมันเหมือนกับว่าเรามีความหวังแล้ว ตอนนี้อะไรก็ยิ่งใหญ่สำหรับเราหมดทุกอย่าง
มันก็เหมือนยุคที่พ่อเรารอคอยการมาของ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน
เห็นแสงสว่างรำไร ก็ดีใจจนเนื้อเต้น
มันเรียบง่ายกว่าที่หลายคนพยายามแสดงออก มันคือความรู้สึกในวันที่ได้เห็นทีมค่อยๆดีขึ้น ความรู้สึกแบบที่พ่อเราเคยรู้สึก
"มันต้องถึงทีกูมั่งแล้ว"
ตอนนั้น พ่อเราก็คงไม่รู้อนาคตว่า เฟอร์กี้จะพาทีมมายิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ และตอนนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนที่พาแสงสว่างแบบนั้นมาจะเป็น เบรนเดน ร็อดเจอร์ส หรือไม่
เราไม่รู้อะไรเลย
ซึ่งความสนุกมันอยู่ตรงนี้
อนาคตมันคาดเดาไม่ได้ .. มีความสุขกับความหวังในปัจจุบันก็พอค่ะ
LIVERPOOL YOU'LL NEVER WALK ALONE
GLORY GLORY MANCHESTER UNITED
ช่วงนี้กระทู้โหดเยอะ ขอพื้นที่กระทู้เน่าๆแทรกหน่อยนะคะ
เวิ่นเว้อ กลับมาแล้วค่ะ เฮ้
ปล. อย่าดราม่าใส่ทีมอื่นเรื่องนี้ (เรื่องที่แซวว่าเวิ่นเว้อ) เลยนะคะ อันนี้เราขอ คือ เราไม่ได้ปกป้องคนอื่น เราปกป้องตัวเองค่ะ บอกกงๆเลย
อ่านเอาซึ้ง เพลินๆพอไม่นะคะ ไม่ต้องเครียดเรื่องเก่าๆกันแล้ว เราไม่เครียดเรื่องคนแซวแล้วค่ะ ตลกดี
กลัวเดี๋ยวจะมาสู้รบกันในนี้อีก ขอนิดนึงนะคะ