[นิยาย] ในดวงมาน...♡ #บทที่ 13

ย้อนอ่านบทก่อนหน้า

บทที่ 13



ความในใจและไฟแค้น
( Spirit )


       สายลมแรงในช่วงเย็นวันอังคารพัดใบไม้ทั้งสองข้างของถนนให้ปลิวว่อนไปมา หลังจากผ่านพ้นช่วงที่อากาศค่อนข้างร้อนจัด ไม่มีฝนตกมาเกือบสัปดาห์หนึ่งแล้ว
       จิตติมาดูซองจดหมายของยุทธที่เพิ่งรับมาจากเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เพื่อที่จะทำการคัดแยกประเภทของจดหมายนั้นๆ ให้แก่ผู้เป็นนาย ผู้ช่วยสาวเริ่มชินกับการคัดแยกจดหมายพวกนี้ ซึ่งมีทั้งบัตรเชิญ การ์ดขอบคุณในวาระต่างๆ รวมไปถึงโบร์ชัวร์และใบปลิวโฆษณา หรือแม้แต่เอกสารสำคัญ บางครั้งก็ยังมีพัสดุส่งมาถึงด้วย แต่สำหรับครั้งนี้กลับมีจดหมายจากบริษัทสินเชื่อส่งมา เธอจำได้ว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับพวกบัตรเครดิตและเงินกู้ หญิงสาวหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาดูและพบว่า มันถูกจ่าหน้าซองถึงที่อยู่ของบริษัท ทั้งๆ ที่มันควรจะส่งไปที่ที่อยู่อาศัยของเขาเสียมากกว่า
       หญิงสาวส่ายหน้าพลางหยุดความคิดที่ขี้สงสัยนี้ลง เธอเก็บจดหมายสินเชื่อนั้นเข้าไปรวมกับจดหมายที่ลูกค้าส่งมาแล้วถือเดินไปหาเขา ซึ่งขณะนี้ชายหนุ่มกำลังสวมเสื้อคลุมอยู่ทางด้านหลังโต๊ะทำงานหลังจากที่เก็บข้าวของเสร็จแล้ว ครีเอทีฟหนุ่มส่งยิ้มให้ขณะที่เห็นเธอเดินมาหา

“ จะกลับแล้วเหรอคะ ? ” เธอทัก

“ ครับ...ผมต้องไปงานเลี้ยงคืนนี้ต่อ คุณเองก็น่าจะกลับได้แล้วนะ ” เขาว่า

“ ฉันเอาจดหมายมาให้คุณค่ะ เสร็จแล้วก็ว่าจะกลับเลย ” หล่อนฉีกยิ้มพร้อมกับยื่นซองจดหมายในมือ

       ชายหนุ่มรับมาแล้วดูจดหมายเหล่านั้นทีละซอง ครั้นเมื่อเห็นจดหมายจากบริษัทสินเชื่อ เขาถึงกับเบิกตาเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเก็บมันใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมแยกจากจดหมายอื่นๆ
       จิตติมาเห็นท่าทีที่ผิดสังเกตนั้น แต่เจ้าหล่อนก็ต้องทำเป็นไม่สนใจ เพราะถือว่าไม่ใช่ธุระอะไรที่เธอจะต้องเข้าไปยุ่ง หญิงสาวเดินกลับมาที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตน ก่อนที่จะเริ่มเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับที่พัก

       หลังจากเสร็จสิ้นการทำงานไปอีกหนึ่งวัน จิตติมาเดินออกมารออัศนัยที่ด้านหน้าอาคารเหมือนอย่างเคย ยุทธเดินตามหลังเธอออกมาจากบริษัท เพื่อไปยังลานจอดรถที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มเห็นว่าเธอยืนรอรถอยู่ตรงนั้น จึงเดินแวะเข้ามาทักเพื่อกล่าวลา

“ กลับดีๆ นะครับ ” เขาเอ่ย

“ เช่นกันค่ะ ” เธอกล่าวตอบ

       สายลมที่ยังคงพัดแรงอยู่ทางด้านนอกเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า เมฆฝนที่ลอยคว้างอยู่บนฟ้ากำลังตั้งท่าจะโปรยปรายหยดน้ำลงมาในไม่ช้านี้ ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ที่ปลิวกระจายว่อนด้วยแรงแห่งลม ลอยล่องมาติดยังเส้นผมของจิตติมา ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงค่อยๆ แกะมันออกจากผมสีน้ำตาลที่ดูเป็นประกายของเธอ หล่อนใจเต้นแรงและแก้มแดงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกับที่มือของยุทธกำลังบรรจงแกะใบไม้ให้หลุดออกไป
       เจ้านายหนุ่มและผู้ช่วยสาวต่างมองหน้ากัน ณ วินาทีนั้น ทั้งคู่รู้สึกราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ นานแล้วที่จิตติมาไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับใครแบบนี้ หัวใจของเธอเริ่มพองโต เหมือนกับว่ามีบานประตูบานใหญ่กำลังถูกเปิดออกเพื่อรอรับใครบางคนเข้ามา ยุทธเองก็เช่นกัน เขารู้สึกได้ว่าหัวใจที่เคยแข็งดั่งหินผากลับอ่อนไหวอย่างที่เขาไม่เคยเป็น

“ ปี๊นนนนน!!!! ” เสียงของแตรรถจากทางถนน ดังขึ้นขัดจังหวะคนทั้งคู่

จิตติมาสะดุ้งโหยง พลางหันกลับไปทางด้านข้าง เจ้าหล่อนจึงได้เห็นรถกระบะปิดประทุนสีทองของอัศนัย ที่กำลังจอดอยู่บนถนนริมฟุตบาท

“ เจี๊ยบ!! ” ชายหนุ่มจากในรถร้องเรียก เป็นเชิงให้หล่อนรู้ว่าเขากำลังคอยเธออยู่

ยุทธเหลือบมองดูอัศนัยที่ขณะนั้นกำลังมองพวกเขาอยู่อย่างสนอกสนใจ ครีเอทีฟใหญ่จึงกล่าวลาเธอ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“ ผมไปก่อนนะครับ ” ยุทธผละจากเธอไปโดยไม่รีรอ

หญิงสาวมองเขาเดินไปยังลานจอดรถด้านข้างจนลับตา ก่อนที่จะเดินกลับมาหาอัศนัยที่รถพลางกล่าวทักทาย

       ภายในรถของอัศนัยที่กำลังขับเคลื่อนไปบนท้องถนนดูเงียบสงัดลงกว่าปกติ จะมีก็แต่เสียงเครื่องปรับอากาศในรถเท่านั้นที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ข้าราชการหนุ่มขับรถมาทันที่จะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างระหว่างยุทธและจิตติมา เขานิ่งเงียบเพื่อดูทีท่าของหญิงสาว ซึ่งทางหล่อนเองก็นั่งนิ่งไม่ติงไหว แต่ทว่าความเงียบจากเธอนั้น เป็นความเงียบที่กำลังหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ราวกับว่าเธอยังคงตกอยู่ในภวังค์ของห้วงแห่งอารมณ์
       อัศนัยไม่ปล่อยให้ความเงียบเข้าคืบคลานนานจนเกินไป เขาจึงตัดสินใจที่จะถามหญิงสาวถึงความสัมพันธ์ของเธอกับชายหนุ่มที่เขาเห็น เพื่อหยุดยั้งความเงียบและความสงสัยที่ครอบคลุมอยู่ภายในใจของตนเอง

“ นั่น...แฟนเราเหรอ ? ” ชายหนุ่มเริ่มเปิดประเด็น

“ ไม่ใช่ค่ะ!!! นั่นคุณยุทธ เจ้านายเจี๊ยบเอง ” เธอปฏิเสธ

“ ดูท่าทางเราจะสนิทสนมกับเขามากเลยนะ ” อัศนัยพูดต่อ

“ ก็...ไม่ได้สนิทกันมากหรอกค่ะ คุณยุทธเป็นเจ้านาย ส่วนเจี๊ยบก็เป็นผู้ช่วยของเขา เราก็คุยกันตามประสานายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น ” จิตติมาฉีกยิ้มครานึกถึงผู้เป็นนาย

       อัศนัยสังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาวที่ดูเขินอายยามที่เรียกชื่อนายจ้าง หล่อนดูเหมือนกับกำลังหลงใหลได้ปลื้มเขา นั่นทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกสงสัยว่าหญิงสาวอาจแอบชอบยุทธอยู่ก็เป็นได้

“ แล้ว...เราชอบใครบ้างหรือเปล่า ? ” อัศนัยถามด้วยความอยากรู้

จิตติมาแปลกใจในทันที หลังจากที่ได้ยินพี่ชายของเพื่อนสนิทถามออกมาอย่างนั้น

“ ป...เปล่านี่คะ!! พี่อัศถามทำไม ?? ” หล่อนปฏิเสธพลางถามกลับ ราวกับพยายามจะบอกว่าเธอไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นกับใคร แม้แต่เจ้านายของตน

       อัศนัยเห็นเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้สารภาพความในใจออกไป แต่ทันทีที่เขารวบรวมความกล้าเพื่อที่จะพูด ปากเจ้ากรรมก็ดันแข็งขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนชายหนุ่มต้องตอบเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ ก็ดีแล้ว...ตั้งใจทำงาน เก็บเงินไปก่อน เรื่องนี้ค่อยคิดทีหลัง ” เขาตะกุกตะกัก

           จิตติมายังไม่ปักใจในคำตอบของชายหนุ่มเสียท่าไร บางทีเขาอาจมีอะไรบางอย่างที่ต้องการจะบอกแก่เธอก็เป็นได้
       ผู้ช่วยสาวรู้ดีว่าตนไม่ใช่คนหัวอ่อนในเรื่องของความรัก และไม่อยากคิดมากหรือคาดหวังไปไกลกับใคร เหตุเพราะยังไม่แน่ใจในคนทั้งคู่ อีกทั้งไม่อยากคิดเข้าข้างตนเองอยู่ฝ่ายเดียว จริงอยู่ที่เธอรู้สึกดีกับผู้เป็นนาย แต่ดูท่าเขาช่างไกลเกินกว่าความเป็นไปได้นัก ทั้งหน้าที่การงาน ฐานะ และความเหมาะสม แต่กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ยังจะดูมีทีท่าว่ามีสิทธิ์และเป็นไปได้มากกว่า นอกเสียจากว่าการกระทำของเขาจะชัดเจน และเด่นชัดมากกว่านี้...

       รถกระบะปิดประทุนของข้าราชการหนุ่มขับมายังหน้าอพาร์ทเม้นท์ของจิตติมา หญิงสาวบอกลาเขาก่อนที่จะลงมาจากรถพร้อมกับความคลางแคลงใจ เพราะหลังจากนี้ไปเธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า อัศนัยคิดอย่างไรกับเธอ

       ความสับสนที่เกิดขึ้นโหมกระพืออยู่ภายในใจของจิตติมา ไม่ต่างอะไรกับลมฟ้าที่แปรปรวนอยู่ด้านนอก ทั้งอาการหวั่นไหวที่เกิดจากยุทธ และความคลางแคลงใจที่เกิดจากอัศนัย หญิงสาวไม่สามารถบรรยายความรู้สึกสับสนนี้ออกมาเป็นคำพูดได้ เช่นเดียวกับยุทธที่ยังคงงุนงงกับความอ่อนไหว และความไม่เข้มแข็งเหมือนอย่างที่เคยเป็น ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อน แต่น่าแปลกที่เกิดกับจิตติมา ผู้ช่วยสาวที่ทำให้เขาเป็นเอามากถึงเพียงนี้

+++++++++++++++++++++++++++++


       ครีเอทีฟหนุ่มขับรถสีน้ำตาลไปยังภัตตาคารชื่อดังของเมือง ที่ซึ่งเขาได้รับเกียรติให้เป็นแขกรับเชิญเพื่อร่วมงานเลี้ยงของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขาเคยได้จัดทำโฆษณาให้
       ชายหนุ่มจอดรถที่ด้านหลัง แล้วเดินออกไปยังด้านหน้าเพื่อเข้าสู่ตัวอาคาร ซึ่งขณะนั้นเองเขาได้สังเกตเห็นรถสีม่วงเปลือกมังคุดคันใหญ่ที่คุ้นตา ชายหนุ่มมองดูรถคันนั้นพลางแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากเป็นพิเศษ จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในงานท่ามกลางการต้อนรับของพนักงานที่คอยเปิดประตู

       ภายในงานคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เป็นพนักงานของบริษัท ตลอดจนนายทุน หุ้นส่วน และกรรมการบริหารทั้งหลาย อีกทั้งด้านบนเวที ชายหนุ่มได้พบกับสาริสาญาติสาวของเขากำลังร้องเพลงอยู่ หญิงสาวไม่ทันได้สังเกตเห็นลูกพี่ลูกน้องของตน เพราะเธอกำลังขับกล่อมบทเพลงเพื่อให้ความบันเทิงแก่แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน เว้นเสียแต่ป้าติ่งผู้จัดการสุดเฮี้ยวที่เดินเข้ามาทักทาย

“ งานดูยิ่งใหญ่ดีนะครับป้า ใครเป็นแม่งานจัดครับนี่ ?? ” ชายหนุ่มถามผู้จัดการดารา

“ จะมีใครเสียอีกล่ะคะ!! ก็อีนังไก่ นักจัดอีเวนท์ตัวแม่ ที่รับจัดงานไปทั่วราชอาณาจักรสยามไงล่ะ!! ” ป้าติ่งพูดกระแทกกระทั้น ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า ผู้จัดการดาราคู่นี้ไม่ค่อยจะลงรอยกันเสียเท่าไร

“ เนี่ย!! ป้าก็สงสัย ทำไมมันถึงอยากได้น้องซีรีมาเป็นนักร้องในงานนัก ทั้งๆ ที่มันเองก็มียายโรสเป็นคนในสังกัดอยู่แล้ว เห็นมันบอกว่าเจ้าของงานเขาเรียกร้องมาเอง แต่ป้าก็ไม่ไว้ใจ กลัวว่าจะมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่ ” ป้าติ่งว่าต่อ พลางทำให้ยุทธนึกถึงรถสีม่วงเปลือกมังคุดคันใหญ่ที่ดูคุ้นตาทันที

“ เอ่อ...เดี๋ยวนะครับป้า คุณโรสมางานนี้ด้วยหรือเปล่าครับ ? ” ชายหนุ่มร้องถาม

“ ไม่นี่คะ!! เพราะยายโรสไม่มา ป้าถึงให้ซีรีมาได้ ” ป้าติ่งตอบ

“ แย่ล่ะสิ!! ” ชายหนุ่มเริ่มไม่สบายใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาจึงพึมพำออกมา

       ทางด้านหลังเวที หลังจากที่สาริสาร้องเพลงจบ พี่ไก่ก็เดินออกมารับเธอจากหน้าบันได

“ พี่ต้องขอบคุณน้องซีรีมากๆ เลยนะคะ ที่ยอมมางานนี้ให้พี่ ” นักจัดอีเวนท์คนเก่งกล่าวขึ้น

“ เรื่องเล็กน้อยค่ะพี่ไก่ เราคนในวงการบันเทิงเหมือนกันมีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ” สาริสากล่าวพลางยิ้มให้

“ อ่ะ!!...ถ้าอย่างนั้น พี่ขอดื่มให้กับมิตรภาพที่ดีของเรานะคะ ” พี่ไก่พูดจบพลันหยิบแก้วไวน์ที่ตั้งอยู่ด้านข้างยื่นให้สาริสา พลางชี้ชวนให้เธอดื่มฉลองด้วยกัน

       หญิงสาวรู้สึกแปลกใจในท่าทีของพี่ไก่ และไม่ไว้ใจแก้วไวน์ที่อยู่ตรงหน้า พลางยิ้มอย่างเจื่อนๆ ก่อนที่จะกล่าวปฏิเสธ

“ สักหน่อยเถอะค่ะ...พี่สัญญา ป้าติ่งแกไม่ว่าหนูหรอก ” เกย์สาวนักจัดงานขอร้อง พลางยื่นแก้วไวน์ส่งให้เธอ

สาริสาไม่อยากขัดใจ จึงยอมเอื้อมมือไปรับแก้วนั้นแต่โดยดี

       ทว่าไม่รู้มีอะไรที่มาแกล้ง หรือจงใจให้เป็นไปอย่างนั้น พี่ไก่กลับเผลอปล่อยแก้วไวน์ออกจากมือก่อนที่สาวน้อยจะได้รับ  จึงทำให้แก้วตกลงมาแตก แถมไวน์สีม่วงเข้มที่อยู่ในแก้วก็เลอะชุดราตรีสีครามของหญิงสาวอีก

“ อุ๊ย!! ตายแล้ว พี่นี่ซุ่มซ่ามจริงๆ เลย น้องซีรีพี่ขอโทษนะคะ ไปล้างเนื้อล้างตัวในห้องน้ำก่อนดีกว่า มา!! เดี๋ยวพี่พาไป ” พี่ไก่รีบกล่าวขอโทษเธอทันที

“ อ่อ!! ไม่เป็นไรค่ะพี่ เล็กน้อยเอง...เดี๋ยวชุดนี้ ซีรีก็ต้องส่งซักอยู่แล้ว ” เธอตอบปฏิเสธ

“ โธ่!! ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าป้าติ่งรู้ ป้าติ่งต้องมาแหกอกพี่แน่ๆ !! นะคะ...ให้พี่รับผิดชอบเถอะ ” เกย์สาวอ้อนวอน

       สาริสาเห็นว่าพี่ไก่ดูเกรงกลัวป้าติ่งอยู่มิใช่น้อย เธอจึงยอมให้เขาพาไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องน้ำ นักจัดอีเวนท์คนเก่งแอบยิ้มเยาะอย่างสะใจที่แผนการทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

       ในขณะที่ทั้งคู่เดินออกไปจากหลังเวทีนั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ยุทธและป้าติ่งมายังทางเข้าอีกทางหนึ่งพอดี ทั้งคู่มองหาสาริสาแต่ก็ไม่พบ พี่ไก่ก็เช่นกัน สองคนนี้ต่างหายตัวไปด้วยกันทั้งคู่

“ นี่หนู!! เห็นน้องซีรีบ้างไหม ? ” ป้าติ่งถามทีมงานผู้หญิงที่ดูแลด้านหลังเวที

“ เห็นเดินไปกับพี่ไก่นี่คะ...ไปทางนั้น ” หล่อนบอกพลางชี้ทางออกอีกทางให้เขาดู

“ แล้วเขาไปไหนกัน...รู้หรือเปล่า ? ” ยุทธถามอีก

“ เห็นว่าจะไปเข้าห้องน้ำนะคะ...ถ้าหนูได้ยินไม่ผิด ” ทีมงานสาวตอบ

ทั้งยุทธและป้าติ่งมองหน้ากัน ก่อนที่จะเดินไปยังทางออกที่ทีมงานผู้หญิงชี้ให้พวกเขา

       ทั้งสองคนเดินมาถึงยังห้องน้ำของภัตตาคาร แต่ทว่ากลับไม่พบสาริสาและพี่ไก่เลย ป้าติ่งเริ่มกังวลใจกลัวจะเกิดเรื่องขึ้น ยุทธเองก็เช่นกัน เขาสงสัยว่าพี่ไก่เอาตัวสาริสาไปไว้ที่ไหน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่