Depth of field ในลูกตา แตกต่างกับในกล้องถ่ายรูปหรือไม่

ได้เจอคำถามจากกระทู้นี้มาครับ http://pantip.com/topic/32511268
ทำให้สร้างแรงบันดาลใจในการมาเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา (ช่วงนี้กำลังนิยมใช้คำนี้กันอยู่เนอะครับ "แรงบันดาลใจ" หุหุ)

ถ้าในกล้องถ่ายรูปแล้ว ระยะชัด หรือ Depth of field (DoF) จะขึ้นกับปัจจัยหลักๆ ดังนี้
- f-stop
- focal length
- ระยะจากวัตถุถึงกล้อง และจากวัตถุถึงฉากหลัง
- ขนาดของ sensor

แต่ในลูกตานั้น มีปัจจัยที่แตกต่างกันไปครับ

อ้างอิงจากกระทู้สร้างแรงบันดาลใจนั้น มีคำกล่าวว่า "จากข้อมูลที่ว่า ดวงตาของมนุษย์ละเอียดประมาณ 576 ล้านพิกเซล FOV ประมาณ 22 mm. และ F ประมาณ 2.1 - 8.3" ซึ่งคุณจขกท.อ้างอิงมาจากลิ้งค์นี้ครับ http://en.wikipedia.org/wiki/F-number
ซึ่งในลิ้งค์ต้นทาง เขาอธิบายว่า ตัวเลข f-stop ในตานั้น มาจาก ค่าความยาวลูกตา (ก็คือ focal length) หารด้วย ขนาดรูม่านตา (ก็คือขนาดของรูรับแสง)...แต่ในลูกตานั้น มีสิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ สิ่งที่อยู่ในลูกตานั้น ไม่ใช่อากาศครับ แต่เป็นของเหลว ซึ่งจะมีค่าดรรชนีการหักเหแสง (Refractive index) ที่แตกต่างกัน และก็มีหลายชนิดด้วยครับ แต่ละชนิดก็มี index ไม่เท่ากันอีกครับ ทำให้ค่า f-stop ที่ว่านี้ อาจจะคลาดเคลื่อนไปได้ครับ...นอกจากนั้น ค่า focal length หรือความยาวลูกตานั้น ในแต่ละคนก็มีค่าที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 20-24 mm ในคนปกติ แต่อาจจะมากถึง >24 mm ในคนสายตาผิดปกติก็ได้ครับ ค่า f-stop ก็ยิ่งคลาดเคลื่อนไปได้อีกมากครับ...ขนาดรูม่านตาแต่ละคน ก็หลากหลายเช่นกันครับ
...ผ่านไปเรื่องของ f-stop ในลูกตาครับ...สรุปคือ คงได้แต่คะเนคร่าวๆ แต่ไปยึดถืออะไรมากมายคงไม่ได้นักครับ...

กลับมาเรื่อง ระยะชัด ที่เกิดขึ้นลูกตาครับ
ก่อนอื่น ขออธิบายขั้นตอนการมองเห็นในลูกตาโดยปกติก่อนนะครับ
แสงที่เข้าลูกตา จะมีการหักเหหลายครั้ง...เริ่มตั้งแต่ชั้นน้ำตา (Tear film) ผ่านมาที่ กระจกตา...ผ่านมาถึงช่องหน้าลูกตา...เลนส์ตา...วุ้นในตา...และตรงเข้าไปที่จอตา...
...ในจอตา (Retina) อันกว้างใหญ่ (กินพื้นที่ประมาณ 5/6 ของลูกตาทั้งหมด) นั้น จะมีจุดที่สำคัญที่สุดอยู่จุดหนึ่งครับ เรียกว่า จุดรับภาพ (Fovea)...เป็นจุดที่มีเซลล์รับแสงแบบโคนหนาแน่นที่สุด ถือว่าเป็นเหมือนจุดโฟกัสของจอตาทั้งหมด ภาพที่เราสนใจ เวลาเราจ้อง เราเพ่ง เรามอง...ภาพนั้น จะไปตกลงบนจุดรับภาพนี้...คลื่นแสงที่ตกลงบนจุดรับภาพนี้ จะถูกเปลี่ยนเป็นสัญญาณเคมี โดยเซลล์รับภาพทั้งรูปแท่งและรูปโคน แล้วส่งข้อมูลปริมาณมหาศาลจากจุดรับภาพนี้ ผ่านทางเส้นประสาทตา ไปยังสมองส่วนรับภาพที่ท้ายทอย (Occipital lobe)
...โดยกายวิภาคของจุดรับภาพนี้ จะเป็นจุดที่เซลล์รับแสงรูปโคนอยู่หนาแน่นที่สุดในจอตาทั้งหมดครับ...เซลล์รับแสงรูปโคนนี้ จะมี 3 ชนิด ไวแสงในแต่ละย่านความยาวคลื่นไม่เท่ากัน ก็คือไวต่อแสงสีแดง เขียว น้ำเงิน นั่นเองครับ...แต่ข้อเสียของเซลล์รูปโคนนี้ จะทำงานได้ดี เมื่อมีแสงมากเท่านั้นครับ ในที่ที่แสงน้อย เซลล์รูปแท่งที่ไวแสงมากกว่า แต่ไม่สามารถแยกแยะสีได้ จะทำงานได้ดีกว่า...
...นั่นเป็นสาเหตุว่า ทำไมในที่แสงสลัว เราจะมองเห็นภาพไม่ค่อยมีสีสันมากนัก...แต่ในที่แสงพอเพียง เราจะเห็นสีต่างๆได้ชัดเจนครับ...


ภาพจอตาด้านซ้ายครับ แสดงขั้วประสาทตา (Optic disc) และจุดรับภาพ (Fovea)

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ข้อมูลจากจุด fovea ที่วิ่งไปตามเส้นประสาทตาส่งไปยังสมองส่วนรับภาพนั้น...สมองส่วนรับภาพ ก็ใช้พื้นที่มากเช่นกัน ในการรับข้อมูลนี้มาประมวลผลครับ ดังนั้น จุด fovea นี้ มีความสำคัญมากๆๆๆๆ


ภาพนี้ให้เห็นว่า จุด 1 2 3 4 ซึ่งคือจุด fovea เป็นเพียงจุดเล็กๆ ของจอตา แต่ดูพื้นที่สมองสิครับ ว่าต้องใช้พื้นที่มากเลย เพื่อประมวลผล

ที่อธิบายมายืดยาว แค่จะอยากจะบอกว่า ภาพที่คมชัดแจ๋วแหววที่สุด เวลาเรามองโน่นนี่ มองหน้าใครเวลาพูดกัน มองจอมือถือเวลาพิมพ์ หรือแม้แต่กำลังมองตัวอักษรของผมอยู่ตอนนี้ เป็นภาพที่ตกลงบนจุด Fovea นี้ทั้งสิ้น...ส่วนภาพอื่นๆ จะตกลงบนจอตาส่วนอื่นๆ ที่ห่างออกไป และไวแสงไม่เท่ากับจุด fovea นี้ครับ

ดังนั้น ในแต่ละจุดของจอตา มีความสำคัญไม่เท่ากันครับ
ต่างกับ sensor ของกล้องถ่ายรูป ที่มีความสำคัญเท่าๆกัน แต่ต่างกันที่ปริมาณแสง และความคมชัดของแสงที่หักเหมาเข้า sensor เท่านั้นที่ต่างกัน

ระยะชัดของตา ก็ต่างกันด้วยเหตุผลนี้แล้วข้อหนึ่งครับ

สิ่งที่แตกต่างจากกล้องถ่ายรูปที่ชัดเจนอีกก็คือ เรามีตา 2 ข้าง ครับ
ภาพที่ตกลงบนจอตาในตาทั้งสองข้าง ต่างกันครับ มีความเหลื่อมกันเล็กน้อย แต่ความเหลื่อมนี่แหละ ที่มีประโยชน์อย่างมาก คือ ทำให้เราเห็นภาพเป็น 3 มิติครับ มีความลึกขึ้นมาครับ
และการมีสองตานี่อีกเช่นกันครับ ทำให้ระยะชัดของการมองเห็นของคนเรา แตกต่างจากกล้องครับ

Physiologic diplopia
ไม่แน่ใจว่าใช้ภาษาไทยว่าอะไรดีครับ... Diplopia คือ การเห็นภาพซ้อนครับ...Physiologic คือ อะไรที่ถือว่าเป็นปกติ (ตรงข้ามกับ Pathologic ที่แปลว่า เป็นโรคครับ)
...เรื่องนี้ไม่ยากครับ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ใช้ตา กับ นิ้ว 2 นิ้วครับ...
...เริ่มได้เลยครับ...
1. ชูนิ้วชี้ขึ้นมาทั้งสองข้างครับ...ยื่นนิ้วชี้มือขวา ให้ห่างตัวออกไปมากกว่ามือซ้าย...จัดท่าให้อยู่ในแนวเดียวกัน...ตอนนี้ นิ้วชี้มือซ้ายอยู่ใกล้ตัวมากกว่ามือขวา และอยู่ในแนวตรงเดียวกับที่ตาเรามอง...
2. เปิดตาสองข้าง เพ่งไปที่นิ้วชี้มือขวา (ที่อยู่ไกลกว่า)...จะเห็นนิ้วชี้มือขวาคมชัดขึ้นมา...แต่นิ้วชี้มือซ้าย จะแยกเป็น 2 นิ้ว...ใช่ไหมครับ
3. หลับตาขวา แต่ยังใช้ตาซ้ายเพ่งอยู่ที่นิ้วชี้มือขวา (ที่อยู่ไกลกว่า) อยู่...นิ้วชี้มือซ้าย เหลือนิ้วเดียว อยู่ทางด้านขวาของนิ้วชี้มือขวา...ได้นะครับ
4. ทำสลับกับข้อ 3. คือหลับตาซ้าย ใช้ตาขวาเพ่งนิ้วชี้มือขวา...นิ้วชี้มือซ้าย จะย้ายมาอยู่ด้านซ้ายของนิ้วชี้มือขวาแล้ว...
5. ทีนี้ เปิดตาสองข้าง แต่เปลี่ยนมาเพ่งที่นิ้วชี้มือซ้ายแทนครับ...นิ้วชี้มือขวาจะแยกเป็น 2 นิ้วแล้วใช่ไหมครับ
6. ทำข้อ 3. กับ 4. ใหม่อีกรอบครับ แต่ใช้การเพ่งนิ้วชี้มือซ้ายแทนครับ จะเห็นว่า ตำแหน่งของนิ้วชี้มือขวา จะสลับกับข้อ 3. และ 4. ก่อนหน้านี้...ใช่ไหมครับ
การที่เห็นนิ้วชี้ในข้างที่ไม่ได้เพ่งมองนั้น แยกออกเป็น 2 นิ้ว นี่แหละครับ เรียกว่า Physiologic diplopia แล้วการที่ลองหลับตาทีละข้าง แล้วสังเกตนิ้วชี้อีกข้างที่ไม่ได้เพ่งนั้น เป็นการอธิบายถึงตำแหน่งของภาพที่ตกลงบนจอตา โดยสัมพันธ์กับภาพที่ตกลงบน fovea ครับ
งงไหมครับ ดูภาพด้านล่าง จะเข้าใจมากขึ้น



เห็นไหมครับว่า ระยะชัดโดยใช้ตาสองข้างมอง แทบจะเรียกว่า ไม่เกี่ยวกับขนาดของรูม่านตาเลย เพราะมีปัจจัยอื่น ที่มีผลเด่นชัดมากกว่า และตาของคนเรามีสองข้าง มองเห็นภาพเป็น 3 มิติ ทำให้ระยะชัด เกี่ยวกับภาพที่ตกลงบนตาทั้งสองข้างด้วยครับ

ทีนี้ ขนาดของรูม่านตา สำคัญอย่างไรล่ะ
เรื่องระยะชัด ที่มีรูม่านตามาเกี่ยวข้อง จะเห็นผลชัดเจน คือ การมองใกล้ (Near vision) เช่น การอ่านหนังสือ เพ่งจอโทรศัพท์...เพราะจะเกิดกลไกการเพ่งเกิดขึ้นครับ เรียกว่า Accommodation

Accommodation เป็นกลไกอัตโนมัติของร่างกาย เพื่อทำให้มองใกล้ได้คมชัด
จะมี 3 สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันในกระบวนการเพ่ง (Accommodation reflex) ได้แก่
- เลนส์ตาจะป่องขึ้น
- รูม่านตาหดเล็กลง
- ตากลอกเข้าใน
ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งบกพร่อง เกิดขึ้นไม่ได้ กลไกการเพ่ง ก็จะไม่เกิดขึ้นครับ
เช่น คนที่มาหยอดยาขยายรูม่านตา เพื่อตรวจจอตา จะไม่สามารถเพ่งอ่านหนังสือ มองระยะใกล้ได้ เนื่องจากรูม่านตาขยายใหญ่ และไม่สามารถหดได้เนื่องจากฤทธิ์ของยาขยายรูม่านตา
หรือ ในคนที่อายุมากขึ้น จะเพ่งมองใกล้ได้ลำบากมากขึ้น (ภาษาไทย เรียกว่า สายตายาว แต่ควรจะเรียกว่า สายตาเปลี่ยนแปลงตามวัย Presbyopia มากกว่า) ด้วยสาเหตุหนึ่งคือ เลนส์มีความยืดหยุ่นลดลง ทำให้มันไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างป่องได้ดี



รูม่านตาที่ขยายใหญ่ ยังทำให้แสงที่เข้าสู่จอตามีมากขึ้นด้วย ทำให้แสงเกิดการกระเจิง หักเห แทรกสอด มากขึ้น ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า flare และ glare ได้ครับ...จะสังเกตได้ชัดเจนขึ้น เมื่อขับรถเวลากลางคืนครับ จะเห็นลำของแสงที่ส่องมาเป็นแฉกๆ หรือเป็นภาพออกจะฟุ้งๆ ไม่คมชัดครับ


ทั้งหมดนี้ เรียบเรียงจากสิ่งที่เคยเรียนเมื่อหลายปีมาแล้วนะครับ และหาอ่านทบทวนจากในเวปทั้งนั้น (ไม่ได้ไปเปิดตำราอ้างอิงจริงจัง ขออภัยด้วยครับ)
...ถ้าผิดพลาด ขาดตกบกพร่องประการใด รบกวนช่วยกันแนะนำแก้ไขเพิ่มเติมหน่อยครับ...



Reference (เรื่องรูปที่นำมาประกอบ และเนื้อหาบางส่วน)
- http://en.wikipedia.org/wiki/F-number#Human_eye
- http://www.cybersight.org/bins/content_page.asp?cid=735-2858-4397-4780-4791-4813
- http://www.ib.cnea.gov.ar/~redneu/2013/BOOKS/Principles%20of%20Neural%20Science%20-%20Kandel/gateway.ut.ovid.com/gw2/ovidweb.cgisidnjhkoalgmeho00dbookimagebookdb_7c_2fc~33.htm
- http://acfold-1.blogspot.com/2013/03/vision-3-1-2013.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่