เหตุเกิดเมื่อเจอ นาย ขี้งก ชอบเป็นบุญคุณ

ขอแชร์ประสบการณ์ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆเคยเจอแบบนี้บ้างมั้ย

เรื่องมันสืบเนื่องกันมาเป็น ระยะเวลาเกือบ 2 ปี ที่บริษัท (เก่า)เป็นบริษัทเล็กๆ ซึ่งมีนายผู้ชาย 1 คน และพนักงานรวมไม่ถึง 10 คน
ตอนนั้น จขกท. เข้ามาทำงานใหม่อยู่ในช่วงเริ่มขยายงาน จากเดิมบริษัทนี้ มีนาย และพี่ผู้ญ อีก 1 คน (รู้ทีหลังว่ามีคนเข้ามาบ้างระหว่างนั้นแล้วก็ออกไปกันหมดเหลือ พี่ผู้ญคนเดียวเท่านั้น) ซึ่งพี่ผู้ญอยู่ด้วยกันกับนายมานานหลายปี แล้วพี่ผู้ญคนนี้ก็ลาออก ดังนั้นทีมเรา ที่เข้ามาใหม่ (ในตอนแรก) รู้สึกแฮปปี้มาก คิดฝันว่านายต้องดีแน่นอนไม่งั้น พี่ผู้ญคนนี้คงอยุไม่ได้มาถึงวันนี้

เรื่องราวถูกบอกเล่าจากปากพี่ผู้ญเพื่อให้ทีมงานที่เข้ามาพร้อมกันนี้ เตรียมตัว สิ่งที่กำลังจะเจอ...
มันทำให้ความคิดฝันที่วาดไว้พังลง คือ พี่ผู้ญคนนั้น ความจริงแล้วทนอยู่ เพราะว่าไม่มีใครช่วยนายทำ
พอจะออกนายก็บอกว่า ถ้าคุณออกให้ผมปิดบริษัทดีกว่ามั้ย ให้ช่วย รอ จนกว่า มีคนมาทำแทน

แล้ววันนั้นก็มาถึง คือวันที่ทีมเรา เข้ามาเป็นทายาทอสูร....T^T

เอาหละ ไหนๆเข้ามาแล้ว ก็ลองดูสักตั้งเค้าอาจจะไม่เปนอย่างนั้นก็ได้นะ
อย่างที่บอกช่วงที่เราเข้ามาเป็นช่วงขยายงาน เพราะฉะนั้นพวกเครื่องใช้สำนักงานต่างๆ โต๊ะ ตู้ คอมพิวเตอร์ ทุกอย่างต้องถูกนำเข้ามา
ซึ่งนายไปซื้อเองทุกอย่าง!! ช่วงแรกก็ไม่ได้ติดใจอะไรรู้สึกดี ที่ดีจังนายไม่อยากให้เราสาวๆทั้งทีม เหนื่อยเลยไปซื้อให้
แต่ความกระจ่างเริ่มออกมา หลังจากที่นายได้สอนสั่งเวลานั่งรถไปพบลูกค้าโดยจะมีพนักงาน อย่างเรา 1 คน ไปกับนายด้วย (โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป) วันนั้นถึงตาเรา ไป นายแกก็สอนโน่นนี่นั่นมา และมีประโยคนึงที่นายพูดมาว่า "คุณควรรู้นะว่า จุดไหนที่รั่วไหลได้ จึงทำให้ผมไปซื้อของเอง"ทำให้เรานึกย้อนไปถึงตอนนั้น ที่เค้าไปซื้อของใช้เองเพราะอย่างนี้สินะ

เรื่องก็ผ่านไป ต่อมา ถึงการร่างสวัสดิการต่างๆ (เนื่องจากแต่ก่อนไม่มีสวัสดิการอะไรมีแต่ประกันสังคม ที่กฎหมายบังคับ)
ก่อนการร่างเป็นช่วงที่ พูดคุยกันเป็นรายกรณีไป
เช่นเรื่อง ค่ารถ นายบอกว่า "ผมไม่ต้องการให้ลูกน้องผมลำบากนะ" ดูดีอ่ะ
ค่ารถเบิกได้ใน Rate BTS และมานัดเจอนายเพื่อขึ้นรถไปด้วยกัน ในกรณีที่ไม่สามารถนั่งบีทีเอสไปงานข้างนอกได้ ให้นั่งแท็กซี่และเบิกตามจริง หรือหากมีของให้นั่งแท็กซี่และขนของไปด้วย
ช่วงที่ยังไม่มีการร่างรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ นาย

เหตุการณ์แรก ที่ทำให้รู้สึกแย่ที่สุดคือ จขกท. ต้องไปปฎิบัติงาน ที่บริษัทลูกค้าที่อยู่เกือบถึง นครปฐม ซึ่งบริษัทเราอยู่ฝั่งพระนคร หอพักอยู่ใกล้บริษัท แต่บ้านของ จขกท เอง อยู่ฝั่งธน (แต่ไม่ใกล้บีทีเอส) จึงนำไปปรึกษาในที่ประชุมว่า อย่างนี้ได้มั้ยคะ เราจะได้ไปจากบ้านเลย ขอขับรถไปได้มั้ย เพราะไปกันคนละเส้น อยู่แล้ว ในที่ประชุมนายตอบว่า"ได้นะ" จขกท.ถามว่า "เบิกค่าเดินทางได้มั้ยคะ" นายตอบว่า"ได้นะ" ทุกคนในทีมได้ยินหมด

พอวันที่ออกไปทำงานมาถึงจนกลับ ถึงสิ้นเดือน ได้เวลาเบิกค่าเดินทาง นายบอกพี่หัวหน้าทีมว่า "ค่ารถที่ไปหาลูกค้างานดังกล่าว ของ จขกท เบิกไม่ได้นะ
ต้องเบิกจากบีทีเอสที่ใกล้ที่ทำงานที่สุดไปถึงที่ฝั่งธนฯ เท่านั้นนะ" (จขกท.เบิกค่าน้ำมันใน Rate รถแท็กซี่ ซึ่งถูกกว่ารถบ้านอยู่แล้ว)
หัวหน้าทีมกลับมาบอก จขกท เราฉุนขึ้นมาทันทีบอกหัวหน้าทีมไปว่า "นาย ตอบว่าได้ในที่ประชุมนะ แล้วจะมาบอกว่าไม่ไ่ด้ได้ไง"
พี่หัวหน้าทีมไปคุยให้อีกครั้ง นายตอบมาว่า "ต่อไปในที่ประชุม ผมจะไม่ตอบว่าได้แล้วนะ ถ้ามาถือเป็นคำรับปาก"
พี่หัวหน้านำมาบอกเราอีกครั้ง จขกท.ได้แต่บ่นว่า "ทำไมนายพูดจาแมวๆอย่างนี้หละค่ะ เป็นผู้ใหญ่รับปากไปแล้ว ก็ต้องไม่กลืนน้ำลายตัวเองสิ"
ออกตัวก่อนเลยว่าถ้านายไม่ตอบว่า"ได้" ในที่ประชุม ถ้าจขกท นำรถไป ก็จะไม่เรียกร้องค่าน้ำมันเลย เพราะว่าเราเลือกที่จะเอารถไปเอง โดยที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ แต่นี่ นายเป็น คนบอกว่าได้เอง แล้วทำไมถึงมากลับคำแบบนี้ (ตอนนั้นเสียความรู้สึกมาก) พี่หัวหน้าทีม ได้บอกให้เราลดราคาค่ารถให้เหลือครึ่งหนึ่งเพื่อให้ไปใหม่

สรุปเหตุการณ์นั้น จขกท ได้แค่ค่า บีทีเอส ที่ระยะทางยาวที่สุด แต่พอครั้งถัดไปที่เจอนายเวลาไปทำงานข้างนอก นายนำเงินส่วนต่าง เพิ่มให้เท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่จ่ายไป  ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ทำให้จขกท รู้สึกดีขึ้น
จขกท บอกกลับไปว่า “ที่เสียความรู้สึกเพราะว่านายบอกว่าได้ แต่ไม่ได้ จริงๆเงินเท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้รวยขึ้นหรือจนลงหรอกค่ะ”เรื่องนั้นก็จบไป

เหตุการณ์ต่อมาคือเรื่องความขัดสนที่ประสบขึ้นเนื่องจาก พี่ในทีม ทยอยลาออกเพราะทน นายไม่ไหว(นายอาจไม่รู้ตัว)  จึงเกิดภาระ ค่าใช้จ่าย ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ นายได้บอกกับพี่ที่จะออกไปว่า จะซื้อคอนโดเพื่อลดหย่อนภาษี และจะให้ทีมงานไปอยู่โดยเป็นสวัสดิการให้จ่ายเฉพาะ ค่าน้ำค่าไฟ จขกท เลยขอไปปรึกษา ว่าจะมีส่วนไหนสามารถช่วยกันได้บ้าง ค่าคอมมิชชั่นที่ Holdในอัตราส่วนของคนที่ออกไปแล้วจะโอนไปไว้ปลายปีทั้งหมด ในส่วนนี้ ทางทีมที่อยู่ช่วยกันขาย ค่าคอมควรจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยสิทั้งๆที่พี่ที่ออกไปแล้ว ไม่อยู่แล้วทำไมยัง Hold หน่วยตรงนั้นไว้  จขกท เลยไปขอให้ กระจายให้ในทีมได้เยอะขึ้นหน่อยได้มั้ย ประสบปัญหากันทุกคน ค่าคอมเฉลี่ย ของน้องๆ ไม่ถึง 1,000 ทั้งๆที่มันควรจะเพิ่มขึ้นเพราะว่าทุกคนต้องทำหน้าที่แทนคนที่ออกไปแล้วทั้งหมด นายก็อธิบาย บลาๆมาเรื่องค่าคอม สรุปว่าไม่กระจายให้เพิ่มนะ ย้ำว่า ไม่ได้ขอขึ้นเงินเดือน แต่ค่าคอมที่เราทำไปควรได้อยู่แล้วป่าว?? จริงๆในส่วนนี้ยาวมาก เลยเอาเพียงบางส่วนมาแบ่งปัน
นายบอกว่า “ไม่มีสวัสดิการนะเรื่องห้องพัก มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ แต่ผมก็ช่วยแล้วนะ เวลาผมเข้ามาออฟฟิตผมก็ซื้อข้าวมาเลี้ยงนะ เทอ(จขกท)ต้องรู้จักให้บ้างนะ” (นายเข้าเดือนละไม่ถึง 5 วัน นอกนั้นทำงานข้างนอกหมด และที่บอก เลี้ยงข้าวคือ ข้าวแกงถุง) บระเจ้า!! กราบ จขกท. ก็งง ว่าขอให้น้องๆด้วย อะไรคือไม่ร็จักให้??

เวลากลับมาจากไปทำงานข้างนอกจะมีขนมที่เหลือจากโรงแรม กลับมา จขกท ก็บอกว่าจะแบ่งให้รปภ.หน้าหมู่บ้าน นายถามว่า “รปภ.ทำประโยชน์อะไรให้เรามั้ย” จขกท อึ้ง “ก็ทำประโยชน์นะคะ ดูแลออฟฟิตให้เราค่ะ” มองบนแพบเต่าเอือม
นายบอกว่า “โอเคงั้นก็ได้นะ”เอิ่ม คือจขกท ไม่รู้จะอธิบายยังไง ถึงเรื่องการให้ตกลงใครให้แล้วหวังผลกันแน่ 555+

เหตุการณ์ต่อมาเรื่องของการที่น้องที่บริษัท รับปริญญา นายบอกว่า “เดี๋ยวพาน้องไปเลี้ยงรับปริญญานะ”
พูดจากตอนนั้นผ่านไปเป็นปี ยังไม่ได้พาไปเลี้ยงแต่อย่างใด ตอนนี้น้องได้รับการเลี้ยงรับปริญญารวมกับน้องคนอื่นที่เข้ามาใหม่ พร้อมทั้งเลี้ยงส่ง จขกท ออกจากงาน 555+ คุ้มสุดๆ
วันที่นายพาไปเลี้ยงส่ง จขกท + งานรับปริญญาน้อง 3 คน ไปกันทั้งโต๊ะ 6-7 คน สั่งกับข้าวไป 3 อย่าง นายบอกว่า “อีกสักอย่างนึงละกันเนอะ” บระเจ้า!! สาบานว่า พามาเลี้ยง!! แต่ จขกท ก็มิได้แคร์ สั่งไป 8 อย่าง เพื่อความสะใจ

จริงๆมีหลายเรื่องมากๆ แต่เกรงว่า เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เข้ามาอ่านจะอ่านยาวเกินไปจนเบื่อ ฝากไว้เท่านี้ละกันค่า
ขอให้เพื่อน พี่ น้องๆทุกคนโชคดีเจอนายดีๆค่า

ปล. จริงๆนายก็ดีนะ สอนอะไรหลายๆอย่างเลย
ยกเว้น เรื่องเงินกับเรื่อง ทริ๊กกี้ เท่านั้นหละ
ดอกไม้ดอกไม้ดอกไม้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่