เป็นลูกจ้าง + ขยันผิดที่ = ทำกี่ปีก็ไม่โต

สวัสดีครับ เพื่อนๆชาว Pantip ทุกท่าน
นี่เป็นกระทู้แรกของผมในนาม Pantip
หากโพสนี้ขาดตกบกพร่องด้วยองค์ประกอบใด เจ้าของกระทู้นี้ขอน้อมรับคำแนะนำทุกประการครับ

วันนี้ผมจะมาแบ่งปันเรื่องราวที่น่าฉงน เกี่ยวกับการทำงานแลกเงินเดือนในยุคปัจจุบัน
ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า วันหนึ่งๆของการทำงานนั้น เราต้องต่อสู้ และต้องสังเวยแรงกายให้แก่สิ่งใดบ้าง

ผมอายุ 29 ปี เป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด สมรสแล้ว มีบุตรสาว 1 คน
ปัจจุบัน ผมทำงานอยู่ที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์
ตำแหน่งลูกจ้างธรรมดาๆระดับล่างๆนี่แหละครับ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
ที่ขึ้นมาทำงานที่นี่ก็เพราะว่า ผมตามภรรยา ที่เขาทำงานอยู่ที่นี่มาก่อน
และผมได้ทำงานที่นี่ เพราะภรรยาเป็นคนแนะนำให้เข้ามาทำ
ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ผมจะต้องตั้งใจ และทุ่มเทกับการทำงานมาก
เพราะผมไม่อยากให้ใครว่าภรรยาผมได้ ว่าเอาคนไม่เอาไหนมาทำงาน
(ออกตัวก่อนเลยว่า การทำงานของผมในสถานประกอบการก่อนหน้านี้อยู่ในระดับที่แย่สักหน่อย
ขาด - ลา - สาย เป็นประจำ และระเบียบวินัยการทำงานก็เรียกได้ว่า "ติดลบ"
แต่พอมาอยู่ที่นี่ผมเปลี่ยนหมดทุกอย่าง ตั้งใจทำงานและจริงจังกับงานมาก
ถึงกับคาดหวังเล็กๆว่า ผลงานที่ดีที่ผมทำ อาจจะส่งผมไปสู่ตำแหน่งที่ดีกว่า)

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมยังรักษามาตราฐานการทำงานในระดับที่ดีไว้ได้
ในอายุงาน 1 ปี 9 เดือน ผมยังไม่เคยมาสาย ไม่เคยขาด ไม่เคยลา
สไตล์การทำงานและคุณภาพงานก็เรียกได้ว่าสู้คนที่ทำอยู่ก่อนแล้วได้สบายๆ
เมื่อหมดวันหนึ่งๆของการทำงาน ผมก็มักจะแบ่งปันเรื่องดีๆให้ภรรยาฟังเสมอ

ทุกๆครั้งที่แผนกของผมเจอนโยบายยากๆจากเบื้องบน เป็นนโยบายที่ทำให้เพื่อนพนักงานท้อแท้
ก็เป็นผมที่เป็นคนเข้าไปเจรจากับผู้ใหญ่ ถึงปัญหาและอุปสรรคของการทำงานที่ขัดต่อนโยบายนั้นๆ
ในแบบที่ไม่มีใครกล้าเผชิญ จนทำให้ผู้ใหญ่บางท่านค่อนข้างทึ่งในความกล้าแสดงออกของผม
สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นไม่มีอะไรนอกจาก อยากให้เพื่อนๆที่ทำงานและตัวผมเอง ทำงานอย่างมีความสุข

ดูจากสิ่งที่ผมพิมพ์ไว้ข้างบนแล้ว บางท่านอาจจะคิดว่า ผมก็น่าจะได้รับผลตอบแทนในทางที่ดีใช่ไหมครับ?

คำตอบก็คือ ... เปล่าเลย

ระยะหลังๆมานี้ ผมสัมผัสได้ถึงความสงบที่เต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
จากสายตา คำพูด และท่าทีของเพื่อนร่วมงานบางคน (ที่ผมพูดคุยอย่างสนิทสนมเสียด้วย)
ผมพยายามหาคำตอบของการกระทำเหล่านั้น จนได้ข้อมูลมาว่า
พวกเขาเอาผมไปพูดกันอย่างลับๆในทางที่ไม่ดี ประมาณว่า ผมทำให้แผนกเสียหาย
ด้วยเหตุผลคือ ผมมีวิธีการทำงานต่างจากพวกเขา
(ในส่วนนี้ผมขอไม่อธิบายนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องของเนื้องานในบริษัท
บอกได้เพียงว่า การทำงานที่แตกต่างออกไปของผม ไม่สร้างผลเสียต่อเนื้องานแต่ประการใด)

หมายเหตุ : ในแผนกของผมมีพนักงานอยู่ 22 คน เป็นผู้หญิง 14 คน ที่เหลือเป็นผู้ชาย

ผมใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อสร้างความแน่ใจว่า ข้อมูลที่ผมได้มา มันใช้งานได้จริงๆ
เมื่อผมแน่ใจ ผมจึงไปคุยกับพนักงานรุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่ในรายชื่อผู้ที่ให้ร้ายลับหลัง

หมายเหตุ : น้องคนนี้เคยเป็นคนที่ผมให้คำปรึกษา พาไปเลี้ยงอาหาร ด้วยผมคิดว่ามันเป็นผลดีในเรื่องความสัมพันธ์

เพื่อนๆครับ รู้ไหมว่า เมื่อผมได้คุยกับน้องคนนี้แล้ว ผมรู้สึกไม่ดีแบบประหลาด
เรียกได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์เงินเดือน ยังไม่เคยได้ยินตรรกะแบบนี้จากที่ไหนมาก่อนเลย

ผมจำลอง และย่อบทสนทนาตามนี้นะครับ

ผม : น้องเอาพี่ไปพูดแบบนี้ใช่ไหม?
น้องคนนั้น : เปล่าค่ะ หนูแค่อยู่ในวงสนทนานั้น
ผม : แล้วน้องคิดว่าอย่างไรกับเรื่องนี้?
น้องคนนั้น : ก็คงจริงอย่างที่เขาว่านะคะ การทำงานของพี่มันไม่มีใครเขาทำกัน
ผม : โอเคๆ จริงอยู่ มันไม่เหมือนกับที่พวกเราๆเคยทำ แต่พี่อยากถามหน่อย พี่ผิดมากไหม?
       สิ่งที่พี่ทำมันร้ายแรงมากจนทำให้เราไปนินทาพี่ลับหลังเลยเหรอ?
น้องคนนั้น : ที่เขาทำอย่างนั้นอาจเป็นเพราะว่าเขาไม่กล้าบอกพี่ตรงๆก็ได้

หมายเหตุ : ตรรกะแปลกๆมาแล้ว 1 "สำหรับคนที่ไม่กล้าเผชิญหน้า การนินทา คือการแก้ปัญหาของงาน"

ผม : แล้วที่เราบอกว่า การทำงานที่แตกต่างของพี่ มันเป็นเรื่องไม่ดี
       พี่ถามหน่อย ที่เรานินทาพี่ลับหลังเนี่ยมันดียังไง?
น้องคนนั้น : ก็อย่างที่บอกและพี่ เขาอาจไม่กล้าพูดต่อหน้า
ผม : พี่บอกตามตรงนะ ถ้าคำพูดแย่ๆที่พี่ได้ยินมา มันมาจากแผนกอื่น พี่จะไม่เครียดเลย
       นี่มาจากแผนกเดียวกัน คนที่รู้เนื้องานเหมือนกัน ไม่น่าทำแบบนี้
น้องคนนั้น : ไม่มีใครมาดูเราหรอกค่ะ นอกจากเราดูกันเอง

หมายเหตุ : ประโยคนี้ทำให้ผมรู้ซึ้งว่า "บางที ผลงานไม่ดี อาจเกิดจากมุมมองของเพื่อนร่วมงาน"

ผมสนทนาแบบถามด้วยเหตุและผมไปสักพัก ก็รู้สึกได้ว่า น้องคนนี้เริ่มจนมุม ตอบผมไม่ได้
ขอจบสนทนาด้วยสีหน้าลนเล็กน้อย พร้อมพูดว่า "เนี่ย เรามาคุยกันอย่างนี้ เขาจะมองหนูว่ายังไง"

โหะๆๆๆๆ อยากจะขำเป็นภาษาอินตรเดีย
ตอนคุณนินทาชาวบ้านตอนทำงานคุณทำได้แบบไม่ห่วงหน้าตาตัวเอง
ทีเวลานี้คุณกลับห่วงว่า คนจะมองคุณไม่ดี ทั้งที่ก่อนนี้ คุณมีส่วนที่ทำให้ผมเสียหายไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้

ผมจึงจบบทสนทนา พร้อมหยุดความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงานที่ดีนับแต่นั้น

ผมสืบในเบื้องลึกอีกเล็กน้อย จึงรู้ว่า หัวหน้างานของผมเองก็รับรู้เรื่องราวแบบนี้จากปากเพื่อนร่วมงานที่แสนดีของผมเหมือนกัน
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเขาถึงดูมีท่าทีไม่ค่อยดีกับผมนัก
และน่าแปลก ตรงที่แต่ละคน ที่ให้ร้ายผมลับหลังนั้น
ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวที่เป็นปัญหาของเขา ผมช่วยเหลือมาแล้วทั้งสิ้น

ช่วงหลังๆนี้ผมจึงเริ่มมีปัญหากับภรรยาเพราะความเครียดในที่ทำงาน
ภรรยาผมเองก็แบ่งปันว่า เธอเครียดยิ่งกว่า ... ที่พาผมมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

ผมอึ้ง และเมื่อได้สติ ผมก็ขอโทษเธอ

เมื่อกลับมาคิดตรองๆดูถึงเรื่องราวการทำงาน (ที่ว่าแตกต่างจากชาวบ้าน) ของผมแล้ว
ผลที่ได้จากการทำงานลักษณะนั้น รวมๆแล้ว ดีกว่าการทำงานของพวกเขาที่ว่ากันว่าดีนักหนาเสียอีก

เมื่อเวลาที่เพื่อนพนักงานของผมเจอกับลูกค้าต่างชาติ พูดอังกฤษไม่ได้ ผมก็อาสา
โดยคนทำงานดีที่ว่าร้ายผมมีแนวคิดว่า "ไม่ต้องคุย เดี๋ยวมันเบื่อมันก็เดินหนีไปเอง" แถมทิ้งท้ายว่าผมอวดรู้อีกแน่ะ

การทำงานที่ผมคิดเอง ประยุกต์ใช้เอง ให้ผลดี และเกิดข้อผิดพลาดน้อยกว่าคนที่ว่าร้ายผม

การทำงานที่เติมความรับผิดชอบของผม ทำให้สถิติ ขาด - ลา - สาย ของผม เท่ากับ 0
ขณะที่คนอื่นๆที่ว่าร้ายผม ลา และสายกันไปคนละ 3-4 ครั้งต่อปี

การทำงานที่เติมความรอบคอบของผม ทำให้ผมไม่ต้องทำบันทึกรายงานความผิดพลาดถึงระดับผู้ใหญ่
ในขณะที่คนที่ว่าร้ายผม เคยทำรายงานที่ว่านี้มาแล้วคนละ 1-2 ฉบับ

สรุปได้ว่า การทำงานที่แตกต่างของผม สร้างผลดีต่องาน แต่สร้างผลเสียต่อคนในแผนก ผมจึงไม่เจริญก้าวหน้า?

ดังนั้น ผมจึงคุยกับภรรยา เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ข้อสรุปว่า

"ถ้าเปรียบคนเราเหมือนเมล็ดพืช ที่ต้องเติบโต เราก็ควรจะอยู่ในดินดีๆ
เพราะถ้าเราพาตัวเองไปอยู่ในดินไม่ดี ต่อให้เราเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีแค่ไหน เราก็ไม่มีทางโต มีแต่จะเน่าตาย"

เราสองคน ตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิด กรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้
กลับไปหาลูก ที่สุดของ "ความสุข" ที่รอเราอยู่ที่นั่น
กลับไปหาครอบครัวที่จากมานาน
กลับไปหาดินที่ดี เหมาะแก่การเติบโตต่อไป


=========================================================

เฮ้อ ... โลกนี้ช่างอยู่ยาก

ก็คงทิ้งเรื่องราวลักษณะนี้ ไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ
อยากฝากประสบการณ์นี้ ไว้ให้กับเพื่อนๆที่กำลังตั้งใจทำงาน
แต่ถูกมองไม่ดี ให้มองถึงผลดีที่เกิดขึ้นจากรูปแบบการทำงานของคุณ และสู้ต่อไปนะครับ

เพราะทุกวันนี้ ผมก็ยังทำงานในรูปแบบเดิม
แม้ว่าจะไม่ถูกใจใคร แต่ถ้าทำให้งานออกมาดี ก็ทำต่อไปนะครับ

ที่เหลือก็ทิ้งไว้กับชะตา ให้ฟ้ามีใจ กับคนตั้งใจทำงานทุกคนจริงๆสักที ^^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่