คุณคิดว่า พรหมจรรย์สำคัญมากแค่ไหน?
มันเป็นเหรียญตรา โล่เกียรติยศ หรือบ่วงโซ่?...
นี่เป็นบทความดีดีที่เราไปเจอจากเวป ladempire ซึ่งได้รับการเผยแพร่ที่เว็บไซต์ xojane.com และเป็นประสบการณ์ตรงของคุณ Samantha Pugsley
สาวคริสเตียนผู้เคยตั้งมั่นในความรับผิดชอบเรื่องความบริสุทธิ์อย่างสูงสุด... หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และให้อะไรบ้างกับทุกคนนะคะ...
เครดิตภาพ weddingchaos
“ฉันมีความเชื่อว่ารักแท้รอฉันอยู่เบื้องหน้า ฉันได้ให้พันธะสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้า ครอบครัว พ่อแม่ สามีในอนาคตและลูกๆ ของฉันในอนาคต ว่าฉันจะรักษาพรหมจรรย์จนกว่าฉันจะเข้าพิธีแต่งงานตามพิธีกรรมทางคริสต์ศาสนาที่เคร่งครัด รวมถึงการไม่คิด ไม่ข้องแวะหรือมีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศด้วยประการทั้งมวล”
ตอนฉันอายุ 10 ขวบ ฉันได้ให้สัตย์สาบานเมื่อครั้งไปโบสถ์ว่าฉันจะรักษาพรหมจรรย์ และเข้าร่วมกลุ่มเด็กสาวที่รักษาความพรหมจรรย์ของตนเองไว้ตราบจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน ใช่คุณอ่านไม่ผิดหรอก – ฉันอายุ 10 ขวบ
Cr. google
ลองกลับมองย้อนไปเมื่อครั้งฉันอายุ 10 ขวบว่าคุณเห็นอะไร : ฉันเรียนอยู่เกรด 4 เล่นตุ๊กตาบาร์บี้ จัดปาร์ตี้น้ำชากับเพื่อนๆ ในจินตนาการของฉัน ฉันมักจะคิดว่าฉันเป็นนางเงือกในนิยายเมื่อเวลาฉันอาบน้ำ ฉันมักจะคิดว่าเด็กผู้ชายนั้นสกปรกมอมแมมน่าขยะแขยง ฉันไม่มีอะไรบ่งบอกเกี่ยวกับเพศสภาพเลยในอีก 4 ปีต่อจากนั้น
ทางโบสถ์สอนฉันว่าการมีเพศสัมพันธ์หรือการมีเซ็กส์นั้นเป็นเรื่องของคู่รักสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้วเท่านั้น การคบชู้สู่ชายหรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ผูกมัดเป็นสิ่งเลวร้าย สกปรกและเป็นบาป ฉันจะต้องตกนรกหมกไหม้หากทำตัวเช่นนั้น ฉันถูกสอนมาแบบนั้นในฐานะเด็กผู้หญิงที่ปฏิญาณตนเอาไว้แล้ว ฉันมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อสามีในอนาคตของฉัน ในการที่ต้องรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่วนสามีของฉันในอนาคตนั้นจะรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ให้แก่ฉันหรือไม่นั้นไม่จำเป็น เพราะเขาไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่นั้น คนที่ต้องรับผิดชอบต่อพันธะกิจนี้คือตัวฉัน ใช่ เพราะฉันเป็นคริสตศาสนิกที่ดี ฉันยกโทษการกระทำที่ผ่านมาของเขา และฉันยอมยกทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของฉันให้แก่เขา สามีในอนาคตของฉัน
เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องแต่งงาน มันเป็นหน้าที่ของฉันในการที่จะสนองความต้องการทางเพศแก่เขา ฉันเฝ้าเพียรบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นร้อยๆ ครั้ง การแต่งงานของฉันจะได้รับการอวยพรจากพระผู้เป็นเจ้า และถ้าไม่เป็นไปตามนั้นฉันก็จะต้องทนทุกข์อยู่กับความเจ็บปวดจากการหย่าร้าง
ฉันมีความเชื่อเช่นนั้น ทำไมล่ะ? ทำไมฉันจะไม่เชื่อแบบนั้นล่ะ? ฉันยังเด็ก และคนพวกนี้ที่บอกถึงเรื่องราวความศรัทธาเหล่านี้คือคนที่ฉันไว้ใจ เชื่อใจ ทุกๆ คนที่โบสถ์รู้กันหมดว่าฉันให้สัตย์ปฏิญาณเอาไว้แล้วว่าจะรักษาพรหมจรรย์ ข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวฉันว่าฉันเป็นผู้ที่รักษาพรหมจรรย์เพื่อสามีในอนาคต ทำให้พ่อแม่ของฉันภาคภูมิใจในตัวฉันเป็นอย่างมาก เสมือนว่าฉันได้ตัดสินใจด้วยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ประชุมของโบสถ์แห่งนั้นปรบมืออวยพรและชื่นชมในวัตรปฏิบัติที่ดีงามของพวกเรา
เป็นเวลานานกว่า 10 ปี ที่ฉันรักษาพรหมจรรย์ของตนเอง และภาคภูมิใจเสมือนมันคือเหรียญตราแห่งเกียรติยศสูงสุดของฉัน ทางโบสถ์ชื่นชมในความมั่นคงและยืนหยัดของฉัน เรื่องราวของฉันได้รับการกล่าวขวัญและสรรเสริญ แถมเรื่องราวที่น่าภาคภูมิของฉันก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กผู้หญิงอีกนับไม่ถ้วนที่โบสถ์แห่งนั้น หากมีใครพูดถึงเรื่องนี้ ฉันจะภูมิใจมากที่สุดที่ได้ปวารณาตัวเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตนเอง
สิ่งนี้เป็นเสมือนเครื่องหมายหรือไอดีประจำตัวฉันไปโดยปริยาย เมื่อฉันย่างเข้าสู่วัยรุ่น ฉันได้เจอแฟนหนุ่มของฉัน ซึ่งก็คือสามีในอนาคตของฉันนั่นเอง ฉันไม่ลังเลแม้เพียงเล็กน้อย ที่จะบอกกับเขาไปว่าฉันจะรักษาพรหมจรรย์เอาไว้จนกว่าเราทั้งคู่จะแต่งงาน
เราคบกันกว่า 6 ปีก่อนที่เราทั้งคู่จะเข้าพิธีแต่งงานกัน เมื่อเราอยู่ด้วยกันเราต่างพยายามจะไม่นำพาพวกเราเข้าสู่สถานการเรื่องเพศ ไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน ฉันเคยคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาอยากจะจับหน้าอกฉัน? หรือหากพวกเรามองเห็นร่างเปลือยเปล่าของกันละกันล่ะ? ความนึกคิดในเรื่องเพศของฉันน้อยมาก เรื่องเพศของฉันมีขอบเขตเฉพาะที่หากทำผิดไปจากที่ให้พันธะสัญญาไว้ ฉันต้องตกนรกหมกไหม้
มันเป็นส่วนผสมที่ง่อนแง่นของความภาคภูมิใจ บวกกับความกลัว และความพยายามหลีกหนีความผิดบาปที่อาจเกิดขึ้นหากฉันทำผิดคำสัตย์สาบานจนกว่าเราจะได้แต่งงานกัน สัปดาห์แรกก่อนพิธีแต่งงาน พวกเราได้รับเสียงชื่นชมและคำสรรเสริญเยินยอต่างๆ มากมาย มีเสียงตอบรับตั้งแต่ความพิศวงงงงวย (ประเภทว่าโลกแบบนี้ของเธอเธอจัดการมัยยังไง?) ไปจนถึงเสียงหัวร่อต่อกระซิกแบบหยาบโลน (ประเภทคืนแรกวันแต่งงานเธอทั้งคู่คงยุ่งทั้งคืนแน่ๆ) ฉันปล่อยให้คนพวกนี้วางฉันไว้บนแท่นบูชาแห่งความบริสุทธิ์ในฐานะคริสต์ศาสนิกที่ดี
ฉันเสียความบริสุทธิ์ในคืนแต่งงานคืนนั้นนั่นเอง โดยสามีของฉัน เป็นไปตามที่ฉันได้ให้คำมั่นปฏิญาณเอาไว้เมื่อฉันมีอายุ 10 ขวบทุกประการ ฉันยืนอยู่ในห้องน้ำของโรงแรม ยืนแบมือ สวมชุดชั้นในสีขาวแสนสวยของฉัน และคิดในใจว่า “ฉันทำได้แล้ว ฉันเป็นคริสเตียนที่ดี” ไม่มีเสียงเพลงร้องประสานจากเทวทูตองค์ใดๆ ไม่มีแสงมะลางมะเลืองที่ส่องลงมาจากสวรรค์ มีเพียงฉันและสามีในห้องที่มืดมิดของโรงแรม กระอักกระอ่วนด้วยถุงยางและน้ำมันช่วยหล่อลื่นที่วางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง
เซ็กส์นั้นเจ็บ ฉันคิดเอาไว้แล้ว ทุกคนบอกกับฉันว่ามันจะไม่สบายเนื้อสบายตัวในครั้งแรกๆ แต่สิ่งที่พวกนั้นไม่ได้บอกฉันก็คือฉันเดินเข้าไปร้องไห้อย่างเงียบๆ คนเดียวในห้องน้ำ โดยที่ฉันไม่เข้าใจ พวกนั้นไม่ได้บอกฉันว่าฉันต้องทำอย่างไรเมื่อฮันนี่มูน ฉันร้องไห้อีกครั้ง เพราะว่าเซ็กส์นั้นสกปรก เป็นสิ่งผิดและบาป ทั้งๆ ที่ฉันแต่งงานตามที่ให้สัตย์ปฏิญาณแล้ว ฉันก็ควรที่จะโอเคไม่ใช่เหรอ?
เมื่อฉันกลับมาบ้าน ฉันไม่กล้ากระทั่งสบตาคนในครอบครัวตัวเอง คนทุกคนรู้แล้วว่าฉันเสียความบริสุทธิ์ พ่อแม่ของฉัน คนที่โบสถ์ เพื่อนๆ ของฉัน เพื่อนร่วมงาน คนทั้งหมดรู้แล้วว่าฉันเปรอะเปื้อน พรหมจรรย์ของฉันกลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดและตัวตนบุคลิกของฉันไปเสียแล้ว ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำตัวอย่างไร เมื่อฉันไม่มีมันอีกต่อไปแล้ว
มันก็ไม่ได้ดีขึ้นซักนิด ฉันพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใส่เสื้อผ้าต่อหน้าสามีของฉัน ฉันพยายามไม่จูบหรือหอมเขาบ่อยเกินไป พยายามไม่ทำตัวจู้จี้ขี้บ่น เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่ได้เป็นผู้นำของเขา ฉันกลัวที่จะเข้านอน กลัวที่จะต้องมีเซ็กส์กับเขาหากว่าเขาต้องการ
หากว่าเขาต้องการมีเซ็กส์ แต่ฉันไม่ต้อง ฉันก็ยินยอมเพราะฉันทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันรักเขามากเหลือเกิน มันเป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของฉันที่ต้องสนองความต้องการในทุกๆ เรื่องของเขา เพราะฉันไม่ชอบการมีเซ็กส์ บางคืนฉันนอนร้องไห้เพราะฉันอยากจะชมชอบการมีเซ็กส์ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ฉันทำทุกอย่างตามที่ได้ให้สัตย์ปฏิญาณเอาไว้แล้ว และได้ทำทุกอย่างถูกต้องอย่างที่สุด แล้วไหนล่ะ พรอันประเสริฐที่ฉันสมควรได้รับ?
ฉันปล่อยเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นต่อไปอีกเกือบ 2 ปีก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายทำลายมัน ฉันแค่ทำมันต่อไปไม่ได้อีกแล้วแค่นั้น ฉันบอกกับสามีฉันทุกเรื่อง สามีที่เป็นเฟมินิสต์ของฉันตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเขารู้ว่าฉันปล่อยให้เขาแตะเนื้อต้องตัวเขาทั้งๆ ที่ฉันไม่ยินยอม สามีฉันเขาสัญญาว่าเขาจะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่แตะต้องตัวฉัน ไม่มีเซ็กส์กับฉันอีกต่อไป และจะพาฉันไปหาหมอเพื่อบำบัด เพื่อเข้ารับการรักษาที่ต้องใช้เวลาอีกนาน
เด็กผู้หญิงอายุสิบปีซึ่งต้องการเชื่อในนิทานนางฟ้า ให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ารักคุณ พวกเขาบอกกับฉันอย่างนั้น ถ้าคุณรอและรักษาพรหมจรรย์เอาไว้จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานสามีที่สุดแสนวิเศษเพื่อที่จะมีชีวิตแต่งงานที่สุดแสนมีความสุข
แทนที่ฉันจะควบคุมบุคลิกตัวตนของฉัน ส่งฉันให้ต้องเข้าไปรับการบำบัด สร้างตัวตนอีกคนซึ่งเป็นคนแปลกหน้าขึ้นมาภายใต้เนื้อหนัง รูปร่างบนตัวของฉัน ฉันละอายใจอย่างที่สุดในร่างกายนี้ของฉัน ในเรื่องรสนิยมทางเพศของฉัน ซึ่งทำให้การมีเซ็กส์เป็นประสบการที่ผิดศีลธรรม
ฉันไม่ได้ไปโบสถ์อีกเลย ความจริงฉันเป็นคนไม่มีศาสนาไปเลย ช่วงแรกที่ฉันเข้ารับการบำบัดรักษา ฉันคิดว่าจะสามารถรักษาจิตวิญญาณด้านศาสนาและเรื่องเซ็กส์ในเวลาเดียวกัน ฉันเลือกเซ็กส์ ในทุกๆ วันของฉัน ที่ต้องต่อสู้กับความทรงจำว่าร่างกายนี้เป็นของฉัน มิได้เป็นของทางโบสถ์หรือของพระคริสต์อีกต่อไป ฉันต้องย้ำเตือนตัวเองว่าคนที่ให้คำสัตย์ปฏิญาณในตอนนั้นเป็นเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ ไม่ใช่ฉันในตอนนี้ เวลาที่ฉันมีเซ็กส์กับสามีของฉัน นั่นต้องเป็นสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงเติมเต็มหรือสนองความต้องการของสามีฉันเท่านั้น
ฉันในตอนนี้รู้ซึ้งแล้วว่า แนวความคิดทั้งหลายทั้งปวงในเรื่องพรหมจรรย์นั้น มีไว้เพื่อควบคุมกดทับเพศสภาพของเพศหญิง ถ้าฉันจะย้อนกลับไป ฉันจะต้องไม่รีรอ ฉันอยากจะมีเซ็กส์กับแฟนหนุ่ม หรือก็คือสามีในตอนนี้ของฉัน และฉันก็จะไม่ตกนรกเพียงเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด เราจะแต่งงานกันในวันที่เราต่างมีความพร้อมทั้งคู่ ฉันจะเก็บเซ็กส์ไว้สำหรับตัวฉัน
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ฉันไม่สามารถย้อนกลับไปได้ แต่ฉันสามารถมอบประสบการณ์และบทสรุปที่เกิดขึ้นกับฉันให้กับพวกคุณได้ หากคุณคิดว่าคุณจะมีเซ็กส์ก็ต่อเมื่อถึงวันแต่งงาน ขอให้แน่ใจว่าคุณต้องการเช่นนั้นจริงๆ มันเป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่ของโบสถ์ เพราะเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของใครคนอื่นทั้งสิ้น
ฉันรักษาพรหมจรรย์จนถึงวันแต่งงาน และตอนนี้ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย
มันเป็นเหรียญตรา โล่เกียรติยศ หรือบ่วงโซ่?...
นี่เป็นบทความดีดีที่เราไปเจอจากเวป ladempire ซึ่งได้รับการเผยแพร่ที่เว็บไซต์ xojane.com และเป็นประสบการณ์ตรงของคุณ Samantha Pugsley
สาวคริสเตียนผู้เคยตั้งมั่นในความรับผิดชอบเรื่องความบริสุทธิ์อย่างสูงสุด... หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และให้อะไรบ้างกับทุกคนนะคะ...
เครดิตภาพ weddingchaos
“ฉันมีความเชื่อว่ารักแท้รอฉันอยู่เบื้องหน้า ฉันได้ให้พันธะสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้า ครอบครัว พ่อแม่ สามีในอนาคตและลูกๆ ของฉันในอนาคต ว่าฉันจะรักษาพรหมจรรย์จนกว่าฉันจะเข้าพิธีแต่งงานตามพิธีกรรมทางคริสต์ศาสนาที่เคร่งครัด รวมถึงการไม่คิด ไม่ข้องแวะหรือมีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศด้วยประการทั้งมวล”
ตอนฉันอายุ 10 ขวบ ฉันได้ให้สัตย์สาบานเมื่อครั้งไปโบสถ์ว่าฉันจะรักษาพรหมจรรย์ และเข้าร่วมกลุ่มเด็กสาวที่รักษาความพรหมจรรย์ของตนเองไว้ตราบจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน ใช่คุณอ่านไม่ผิดหรอก – ฉันอายุ 10 ขวบ
ลองกลับมองย้อนไปเมื่อครั้งฉันอายุ 10 ขวบว่าคุณเห็นอะไร : ฉันเรียนอยู่เกรด 4 เล่นตุ๊กตาบาร์บี้ จัดปาร์ตี้น้ำชากับเพื่อนๆ ในจินตนาการของฉัน ฉันมักจะคิดว่าฉันเป็นนางเงือกในนิยายเมื่อเวลาฉันอาบน้ำ ฉันมักจะคิดว่าเด็กผู้ชายนั้นสกปรกมอมแมมน่าขยะแขยง ฉันไม่มีอะไรบ่งบอกเกี่ยวกับเพศสภาพเลยในอีก 4 ปีต่อจากนั้น
ทางโบสถ์สอนฉันว่าการมีเพศสัมพันธ์หรือการมีเซ็กส์นั้นเป็นเรื่องของคู่รักสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้วเท่านั้น การคบชู้สู่ชายหรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ผูกมัดเป็นสิ่งเลวร้าย สกปรกและเป็นบาป ฉันจะต้องตกนรกหมกไหม้หากทำตัวเช่นนั้น ฉันถูกสอนมาแบบนั้นในฐานะเด็กผู้หญิงที่ปฏิญาณตนเอาไว้แล้ว ฉันมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อสามีในอนาคตของฉัน ในการที่ต้องรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่วนสามีของฉันในอนาคตนั้นจะรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ให้แก่ฉันหรือไม่นั้นไม่จำเป็น เพราะเขาไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่นั้น คนที่ต้องรับผิดชอบต่อพันธะกิจนี้คือตัวฉัน ใช่ เพราะฉันเป็นคริสตศาสนิกที่ดี ฉันยกโทษการกระทำที่ผ่านมาของเขา และฉันยอมยกทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของฉันให้แก่เขา สามีในอนาคตของฉัน
เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องแต่งงาน มันเป็นหน้าที่ของฉันในการที่จะสนองความต้องการทางเพศแก่เขา ฉันเฝ้าเพียรบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นร้อยๆ ครั้ง การแต่งงานของฉันจะได้รับการอวยพรจากพระผู้เป็นเจ้า และถ้าไม่เป็นไปตามนั้นฉันก็จะต้องทนทุกข์อยู่กับความเจ็บปวดจากการหย่าร้าง
ฉันมีความเชื่อเช่นนั้น ทำไมล่ะ? ทำไมฉันจะไม่เชื่อแบบนั้นล่ะ? ฉันยังเด็ก และคนพวกนี้ที่บอกถึงเรื่องราวความศรัทธาเหล่านี้คือคนที่ฉันไว้ใจ เชื่อใจ ทุกๆ คนที่โบสถ์รู้กันหมดว่าฉันให้สัตย์ปฏิญาณเอาไว้แล้วว่าจะรักษาพรหมจรรย์ ข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวฉันว่าฉันเป็นผู้ที่รักษาพรหมจรรย์เพื่อสามีในอนาคต ทำให้พ่อแม่ของฉันภาคภูมิใจในตัวฉันเป็นอย่างมาก เสมือนว่าฉันได้ตัดสินใจด้วยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ประชุมของโบสถ์แห่งนั้นปรบมืออวยพรและชื่นชมในวัตรปฏิบัติที่ดีงามของพวกเรา
เป็นเวลานานกว่า 10 ปี ที่ฉันรักษาพรหมจรรย์ของตนเอง และภาคภูมิใจเสมือนมันคือเหรียญตราแห่งเกียรติยศสูงสุดของฉัน ทางโบสถ์ชื่นชมในความมั่นคงและยืนหยัดของฉัน เรื่องราวของฉันได้รับการกล่าวขวัญและสรรเสริญ แถมเรื่องราวที่น่าภาคภูมิของฉันก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กผู้หญิงอีกนับไม่ถ้วนที่โบสถ์แห่งนั้น หากมีใครพูดถึงเรื่องนี้ ฉันจะภูมิใจมากที่สุดที่ได้ปวารณาตัวเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตนเอง
สิ่งนี้เป็นเสมือนเครื่องหมายหรือไอดีประจำตัวฉันไปโดยปริยาย เมื่อฉันย่างเข้าสู่วัยรุ่น ฉันได้เจอแฟนหนุ่มของฉัน ซึ่งก็คือสามีในอนาคตของฉันนั่นเอง ฉันไม่ลังเลแม้เพียงเล็กน้อย ที่จะบอกกับเขาไปว่าฉันจะรักษาพรหมจรรย์เอาไว้จนกว่าเราทั้งคู่จะแต่งงาน
เราคบกันกว่า 6 ปีก่อนที่เราทั้งคู่จะเข้าพิธีแต่งงานกัน เมื่อเราอยู่ด้วยกันเราต่างพยายามจะไม่นำพาพวกเราเข้าสู่สถานการเรื่องเพศ ไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน ฉันเคยคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาอยากจะจับหน้าอกฉัน? หรือหากพวกเรามองเห็นร่างเปลือยเปล่าของกันละกันล่ะ? ความนึกคิดในเรื่องเพศของฉันน้อยมาก เรื่องเพศของฉันมีขอบเขตเฉพาะที่หากทำผิดไปจากที่ให้พันธะสัญญาไว้ ฉันต้องตกนรกหมกไหม้
มันเป็นส่วนผสมที่ง่อนแง่นของความภาคภูมิใจ บวกกับความกลัว และความพยายามหลีกหนีความผิดบาปที่อาจเกิดขึ้นหากฉันทำผิดคำสัตย์สาบานจนกว่าเราจะได้แต่งงานกัน สัปดาห์แรกก่อนพิธีแต่งงาน พวกเราได้รับเสียงชื่นชมและคำสรรเสริญเยินยอต่างๆ มากมาย มีเสียงตอบรับตั้งแต่ความพิศวงงงงวย (ประเภทว่าโลกแบบนี้ของเธอเธอจัดการมัยยังไง?) ไปจนถึงเสียงหัวร่อต่อกระซิกแบบหยาบโลน (ประเภทคืนแรกวันแต่งงานเธอทั้งคู่คงยุ่งทั้งคืนแน่ๆ) ฉันปล่อยให้คนพวกนี้วางฉันไว้บนแท่นบูชาแห่งความบริสุทธิ์ในฐานะคริสต์ศาสนิกที่ดี
ฉันเสียความบริสุทธิ์ในคืนแต่งงานคืนนั้นนั่นเอง โดยสามีของฉัน เป็นไปตามที่ฉันได้ให้คำมั่นปฏิญาณเอาไว้เมื่อฉันมีอายุ 10 ขวบทุกประการ ฉันยืนอยู่ในห้องน้ำของโรงแรม ยืนแบมือ สวมชุดชั้นในสีขาวแสนสวยของฉัน และคิดในใจว่า “ฉันทำได้แล้ว ฉันเป็นคริสเตียนที่ดี” ไม่มีเสียงเพลงร้องประสานจากเทวทูตองค์ใดๆ ไม่มีแสงมะลางมะเลืองที่ส่องลงมาจากสวรรค์ มีเพียงฉันและสามีในห้องที่มืดมิดของโรงแรม กระอักกระอ่วนด้วยถุงยางและน้ำมันช่วยหล่อลื่นที่วางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง
เซ็กส์นั้นเจ็บ ฉันคิดเอาไว้แล้ว ทุกคนบอกกับฉันว่ามันจะไม่สบายเนื้อสบายตัวในครั้งแรกๆ แต่สิ่งที่พวกนั้นไม่ได้บอกฉันก็คือฉันเดินเข้าไปร้องไห้อย่างเงียบๆ คนเดียวในห้องน้ำ โดยที่ฉันไม่เข้าใจ พวกนั้นไม่ได้บอกฉันว่าฉันต้องทำอย่างไรเมื่อฮันนี่มูน ฉันร้องไห้อีกครั้ง เพราะว่าเซ็กส์นั้นสกปรก เป็นสิ่งผิดและบาป ทั้งๆ ที่ฉันแต่งงานตามที่ให้สัตย์ปฏิญาณแล้ว ฉันก็ควรที่จะโอเคไม่ใช่เหรอ?
เมื่อฉันกลับมาบ้าน ฉันไม่กล้ากระทั่งสบตาคนในครอบครัวตัวเอง คนทุกคนรู้แล้วว่าฉันเสียความบริสุทธิ์ พ่อแม่ของฉัน คนที่โบสถ์ เพื่อนๆ ของฉัน เพื่อนร่วมงาน คนทั้งหมดรู้แล้วว่าฉันเปรอะเปื้อน พรหมจรรย์ของฉันกลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดและตัวตนบุคลิกของฉันไปเสียแล้ว ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำตัวอย่างไร เมื่อฉันไม่มีมันอีกต่อไปแล้ว
มันก็ไม่ได้ดีขึ้นซักนิด ฉันพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใส่เสื้อผ้าต่อหน้าสามีของฉัน ฉันพยายามไม่จูบหรือหอมเขาบ่อยเกินไป พยายามไม่ทำตัวจู้จี้ขี้บ่น เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่ได้เป็นผู้นำของเขา ฉันกลัวที่จะเข้านอน กลัวที่จะต้องมีเซ็กส์กับเขาหากว่าเขาต้องการ
หากว่าเขาต้องการมีเซ็กส์ แต่ฉันไม่ต้อง ฉันก็ยินยอมเพราะฉันทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันรักเขามากเหลือเกิน มันเป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของฉันที่ต้องสนองความต้องการในทุกๆ เรื่องของเขา เพราะฉันไม่ชอบการมีเซ็กส์ บางคืนฉันนอนร้องไห้เพราะฉันอยากจะชมชอบการมีเซ็กส์ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ฉันทำทุกอย่างตามที่ได้ให้สัตย์ปฏิญาณเอาไว้แล้ว และได้ทำทุกอย่างถูกต้องอย่างที่สุด แล้วไหนล่ะ พรอันประเสริฐที่ฉันสมควรได้รับ?
ฉันปล่อยเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นต่อไปอีกเกือบ 2 ปีก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายทำลายมัน ฉันแค่ทำมันต่อไปไม่ได้อีกแล้วแค่นั้น ฉันบอกกับสามีฉันทุกเรื่อง สามีที่เป็นเฟมินิสต์ของฉันตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเขารู้ว่าฉันปล่อยให้เขาแตะเนื้อต้องตัวเขาทั้งๆ ที่ฉันไม่ยินยอม สามีฉันเขาสัญญาว่าเขาจะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่แตะต้องตัวฉัน ไม่มีเซ็กส์กับฉันอีกต่อไป และจะพาฉันไปหาหมอเพื่อบำบัด เพื่อเข้ารับการรักษาที่ต้องใช้เวลาอีกนาน
เด็กผู้หญิงอายุสิบปีซึ่งต้องการเชื่อในนิทานนางฟ้า ให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ารักคุณ พวกเขาบอกกับฉันอย่างนั้น ถ้าคุณรอและรักษาพรหมจรรย์เอาไว้จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานสามีที่สุดแสนวิเศษเพื่อที่จะมีชีวิตแต่งงานที่สุดแสนมีความสุข
แทนที่ฉันจะควบคุมบุคลิกตัวตนของฉัน ส่งฉันให้ต้องเข้าไปรับการบำบัด สร้างตัวตนอีกคนซึ่งเป็นคนแปลกหน้าขึ้นมาภายใต้เนื้อหนัง รูปร่างบนตัวของฉัน ฉันละอายใจอย่างที่สุดในร่างกายนี้ของฉัน ในเรื่องรสนิยมทางเพศของฉัน ซึ่งทำให้การมีเซ็กส์เป็นประสบการที่ผิดศีลธรรม
ฉันไม่ได้ไปโบสถ์อีกเลย ความจริงฉันเป็นคนไม่มีศาสนาไปเลย ช่วงแรกที่ฉันเข้ารับการบำบัดรักษา ฉันคิดว่าจะสามารถรักษาจิตวิญญาณด้านศาสนาและเรื่องเซ็กส์ในเวลาเดียวกัน ฉันเลือกเซ็กส์ ในทุกๆ วันของฉัน ที่ต้องต่อสู้กับความทรงจำว่าร่างกายนี้เป็นของฉัน มิได้เป็นของทางโบสถ์หรือของพระคริสต์อีกต่อไป ฉันต้องย้ำเตือนตัวเองว่าคนที่ให้คำสัตย์ปฏิญาณในตอนนั้นเป็นเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ ไม่ใช่ฉันในตอนนี้ เวลาที่ฉันมีเซ็กส์กับสามีของฉัน นั่นต้องเป็นสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงเติมเต็มหรือสนองความต้องการของสามีฉันเท่านั้น
ฉันในตอนนี้รู้ซึ้งแล้วว่า แนวความคิดทั้งหลายทั้งปวงในเรื่องพรหมจรรย์นั้น มีไว้เพื่อควบคุมกดทับเพศสภาพของเพศหญิง ถ้าฉันจะย้อนกลับไป ฉันจะต้องไม่รีรอ ฉันอยากจะมีเซ็กส์กับแฟนหนุ่ม หรือก็คือสามีในตอนนี้ของฉัน และฉันก็จะไม่ตกนรกเพียงเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด เราจะแต่งงานกันในวันที่เราต่างมีความพร้อมทั้งคู่ ฉันจะเก็บเซ็กส์ไว้สำหรับตัวฉัน
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ฉันไม่สามารถย้อนกลับไปได้ แต่ฉันสามารถมอบประสบการณ์และบทสรุปที่เกิดขึ้นกับฉันให้กับพวกคุณได้ หากคุณคิดว่าคุณจะมีเซ็กส์ก็ต่อเมื่อถึงวันแต่งงาน ขอให้แน่ใจว่าคุณต้องการเช่นนั้นจริงๆ มันเป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่ของโบสถ์ เพราะเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของใครคนอื่นทั้งสิ้น