ตามที่ได้ตั้งใจไว้ หลังไปชมภาพยนตร์เรื่อง "แผลเก่า" ของปี พ.ศ. 2557 รอบสอง (รอบแรกไปชมคนเดียว แล้วพบว่าดีมากจนต้องพาที่บ้านไปชมรอบสอง) ซึ่งเป็นการตีความใหม่ ฝีมือการกำกับการแสดงของ "หม่อมน้อย มล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล" ซึ่งโดยปกติ ผู้เขียนเป็นแฟนคลับหนังของท่าน เนื่องจากชอบในงานศิลป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอลังการของการกำกับงานศิลป์ ดนตรีประกอบ และการตีความตามแนวทางใหม่ ๆ แต่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ร่วมกับหนังของท่านเท่าที่ควร (อันนี้ความเห็นส่วนตัว) เนื่องจากผลงานของท่านเหมือนสารคดี งานศิลปะ มากกว่าภาพยนตร์ จนกระทั่งได้ชม "แผลเก่า" ที่ท่านนำมาตีความใหม่ พบว่าเป็นภาพยนตร์ของหม่อมน้อยเรื่องแรกที่ผมมีอารมณ์ร่วม เป็นภาพยนตร์ไทยที่ดีที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา (อันนี้ก็ในมุมมองของผมอีกแล้ว) จะว่าผมอวยไส้แตก (ขอใช้ศัพท์จากผู้เขียนกระทู้ Pantip ท่านหนึ่ง) ก็ว่าได้ครับ เพราะเยี่ยมจริง ๆ

แผลเก่า เป็นบทประพันธ์สุดอมตะของ ไม้ เมืองเดิม ว่าด้วยเรื่องความรักของ ขวัญ เรียม แห่งทุ่งบางกะปิ ซึ่งแม้จะมีคลองแสนแสบกั้น มีอุปสรรคมากมายที่เป็นบทพิสูจน์รักแท้ของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการถูกกีดกันจากครอบครัวทั้งสอง (ฟังดูคล้าย ๆ โรมิโอกับจูเลียต) ความหุนหันพลันแล่นและความซื่อของหนุ่มบ้านนอกอย่าง ขวัญ หรือแม้แต่ความโลเลหลงแสงสีในเมืองกรุงของ เรียม (ซึ่งในปีนี้ ได้มีการปรับเนื้อเรื่องให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตีความใหม่ให้บทมีน้ำหนัก รวมถึงการเพิ่มตัวละครและประเด็นเสียดสีสังคม) แต่อุปสรรคขวางกั้นทั้งปวงก็มิอาจพรากขวัญไปจากเรียมได้ โครงเรื่องรักอมตะดังกล่าว ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครหลาย ๆ ครั้ง แต่ในครั้งนี้ ผู้เขียนนับถือความกล้าของผู้สร้าง ที่หยิบยกประเด็นต่าง ๆ มาประกอบผลงานรักอมตะ ทำให้งานศิลป์ดังกล่าว ไม่ใช่แค่ประเด็นรักอมตะ แต่ยังมีอีกหลายประเด็นสอดแทรกไว้อย่างแยบยล ในด้านงานกำกับศิลป์ ไม่ต้องพูดถึง ผู้เขียนชื่นชมและติดตามผลงานของหม่อมน้อยด้วยประเด็นดังกล่าว สิ่งที่โดดเด่นมากของแผลเก่า คือ การกำกับศิลป์ (ภาพ การจัดแสง องค์ประกอบภาพ มุมกล้อง) ดนตรีประกอบภาพยนตร์ (ย้ำว่าดนตรี ทั้งเพลงบรรเลง เพลงพื้นบ้าน และเพลงที่ถูกถ่ายทอดโดยนักร้องเสียงเทพ กันและแก้ม เดอะสตาร์ ตลอดทั้งเรื่อง) และนักแสดงฝีมือพระกาฬหลายท่าน (ตอนไปชมครั้งแรก ไม่ได้คาดหวัง และไม่ทราบว่าใครแสดงบ้าง ปรากฏว่าเป็นผลงานที่รวมลูกศิษย์หม่อมน้อยไว้หลายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดาเดอะสตาร์ ที่มาสร้างสีสันให้ผลงานชิ้นดังกล่าวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น) ต่อไปนี้เป็นการสปอยล์บางส่วนนะครับ โครงเรื่องน่าจะพอเดากันได้ แต่อาจทำให้เสียอรรถรสในการชมบางส่วนที่ได้รับการตีความใหม่

สิ่งที่ประทับใจสำหรับภาพยนตร์ของหม่อมน้อยเรื่องนี้คือ อารมณ์ร่วม ซึ่งน้อยครั้งหนังของท่านจะทำให้ผู้เขียนมีอารมณ์ร่วมได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่แตกออกมานอกเหนือจากความรักอมตะ อาทิ
ประเด็นทางการเมืองการปกครอง มีการเสียดสีระบอบการปกครองใหม่หลายครั้ง ว่าจะเป็นระบอบที่ทำให้ชาวนากินดีอยู่ดีขึ้น เป็นระบอบของนักคิด
ประเด็นความรักของบุพการี ทั้ง "แม่บังเกิดเกล้า" กับ "แม่ผู้ชุบชีวิต" และ "พ่อ" ผู้มีชีวิตอยู่เพื่อลูก ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เท่าความรักของบุพการี
ประเด็นทางสังคม ในเรื่องความแตกต่างระหว่างสังคมชนบทกับสังคมเมือง อย่างเห็นได้ชัด ทั้งการแต่งกาย ผิวพรรณ การพูดจา กิริยามารยาท การแสดงออก หลาย ๆ บทพูดของตัวละคร สะท้อนถึงความแตกต่างทางสังคม เช่น ฉากที่คุณหญิงเตือนสติเรียมให้กลับมาเป็นลูกของตนอีกครั้ง "คิดดี ๆ นะเรียม คิดอย่างคนที่มีปัญญา" ทำให้รู้ว่า สังคมเมือง คิดแบบผู้มีปัญญานั้นหามาจากความจริงใจไม่ มีแต่ภาพลักษณ์ที่สวยงามมาบดบังความงามในจิตใจ สวมหน้ากากเข้าหากัน สังสรรค์รื่นเริงไปวัน ๆ ทำนาบนหลังคน เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่มีความจริงใจ และคิดจะควบคุมทุกสิ่งให้อยู่ในกำมือของตน แม้กระทั่งชีวิตมนุษย์ โดยบทพูดที่สะเทือนใจที่สุดในประเด็นดังกล่าวและถือได้ว่าเป็นบทพูดลำดับท้าย ๆ ของหนัง คือ บทพูดของเรียม "สาแก่ใจหรือยัง พวกผู้ดีบางกอก" ที่คิดจะครอบงำทุกอย่างแม้กระทั่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ผู้มีอำนาจสามารถมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งแต่ไม่อาจมีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณที่มีอยู่ในกายขอมนุษย์แต่ละคนได้
ประเด็นเชิงตรรกะ ในบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลไปเสียทุกเรื่อง เรื่องบางเรื่องอาจไม่มีเหตุผล เช่น เหตุใดเรียมจึงรักคลองแสนแสบ รักทุ่งบางกะปิ เหตุใดขวัญจึงรักเรียมมากยิ่งกว่าชีวิตของตน เรื่องบางเรื่องมนุษย์หาเหตุผลมาอธิบายให้สวยหรู แต่ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมาประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของจิตใจ
ประเด็นความรัก ระหว่างที่ชมรู้สึกว่า ขวัญ เป็นตัวละครเอกที่ขาดสติอยู่เสมอ ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งการขาดสติของขวัญหลาย ๆ ครั้งทำให้เกิดผลเสียตามมา ไม่ใช่แค่ผลเสียต่อตนเอง แต่ยังก่อให้เกิดผลเสียกับคนที่รักตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของตน ซึ่งคาดหวังกับการเกาะชายผ้าเหลืองของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างมาก
สิ่งที่ประทับใจมาก ๆ คือ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ทั้งดนตรีบรรเลง ดนตรีพื้นบ้าน เพลงประกอบภาพยนตร์ ซึ่งได้นักร้องขั้นเทพอย่างกันและแก้ม เดอะสตาร์มาถ่ายทอดความรู้สึก
ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาที่ได้กล่าวมา จึงนับเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่ผมขอขึ้นหิ้งไว้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในรอบหลาย ๆ ปีเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายครับที่มีรอบฉายน้อยและกระแสยังไม่แรงเท่าภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง แต่ในมุมมองของผมถือเป็นผลงานทรงคุณค่าของไทยเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวครับ แค่ได้มาชมภาพสวย ๆ งานกำกับศิลป์ชั้นเยี่ยม การแสดงขั้นเทพของศิลปินหลาย ๆ ท่าน และมาฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ ก็คุ้มค่ามากแล้วครับ ถ้ายิ่งดูไป คิดตามไป จะได้ประเด็นการใช้ชีวิตที่ให้แง่คิดหลายประเด็นเลยครับ

ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่สรรค์สร้างสรรพสิ่งในโลก แต่หากรักอย่างขาดสติ ความรักดังกล่าวอาจทำลายทุกสิ่งในพริบตา การตีความใหม่ของ "แผลเก่า" จึงมิใช่เพียงประเด็นความรักในเชิงชู้สาวที่มีฉากพลอดรักกันในคลองแสนแสบดังเช่นแต่เดิม แต่เป็นงานศิลป์ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ การหวนให้ระลึกถึงความบริสุทธิ์ของจิตใจที่ไม่ใช่การเน้นภาพลักษณ์ที่สวยงาม หรือแม้กระทั่งการอย่าลืมความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตน จนกลายเป็นหุ่นเชิดหรือตุ๊กตาให้ผู้อื่นมาควบคุมชีวิตและยึดติดในกิเลสที่เป็นภาพลวงตา แต่จงใช้ "สติ" ในการดำเนินชีวิตและคิดพิจารณาทุกกรรมที่ตนได้สร้าง เนื่องจากผลกรรมดังกล่าวโดยเฉพาะกรรมเลวไม่เพียงแต่จะนำผลร้ายมาสู่ตนเท่านั้น หากแต่เป็นบ่วงกรรมที่จะดึงผู้อื่นให้ติดในวังวนของกรรมเลวนั้นด้วย ขออุทิศบทความนี้ แด่ ความรักของพ่อขวัญและแม่เรียม แห่งทุ่งบางกะปิ คลองแสนแสบ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสรรค์สร้างงานศิลป์ดังกล่าว
แผลเก่า...เล่าใหม่ (ขอแสดงความคิดเห็นหลังชมรอบสอง อาจมีสปอยล์นะครับ)
แผลเก่า เป็นบทประพันธ์สุดอมตะของ ไม้ เมืองเดิม ว่าด้วยเรื่องความรักของ ขวัญ เรียม แห่งทุ่งบางกะปิ ซึ่งแม้จะมีคลองแสนแสบกั้น มีอุปสรรคมากมายที่เป็นบทพิสูจน์รักแท้ของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการถูกกีดกันจากครอบครัวทั้งสอง (ฟังดูคล้าย ๆ โรมิโอกับจูเลียต) ความหุนหันพลันแล่นและความซื่อของหนุ่มบ้านนอกอย่าง ขวัญ หรือแม้แต่ความโลเลหลงแสงสีในเมืองกรุงของ เรียม (ซึ่งในปีนี้ ได้มีการปรับเนื้อเรื่องให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตีความใหม่ให้บทมีน้ำหนัก รวมถึงการเพิ่มตัวละครและประเด็นเสียดสีสังคม) แต่อุปสรรคขวางกั้นทั้งปวงก็มิอาจพรากขวัญไปจากเรียมได้ โครงเรื่องรักอมตะดังกล่าว ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครหลาย ๆ ครั้ง แต่ในครั้งนี้ ผู้เขียนนับถือความกล้าของผู้สร้าง ที่หยิบยกประเด็นต่าง ๆ มาประกอบผลงานรักอมตะ ทำให้งานศิลป์ดังกล่าว ไม่ใช่แค่ประเด็นรักอมตะ แต่ยังมีอีกหลายประเด็นสอดแทรกไว้อย่างแยบยล ในด้านงานกำกับศิลป์ ไม่ต้องพูดถึง ผู้เขียนชื่นชมและติดตามผลงานของหม่อมน้อยด้วยประเด็นดังกล่าว สิ่งที่โดดเด่นมากของแผลเก่า คือ การกำกับศิลป์ (ภาพ การจัดแสง องค์ประกอบภาพ มุมกล้อง) ดนตรีประกอบภาพยนตร์ (ย้ำว่าดนตรี ทั้งเพลงบรรเลง เพลงพื้นบ้าน และเพลงที่ถูกถ่ายทอดโดยนักร้องเสียงเทพ กันและแก้ม เดอะสตาร์ ตลอดทั้งเรื่อง) และนักแสดงฝีมือพระกาฬหลายท่าน (ตอนไปชมครั้งแรก ไม่ได้คาดหวัง และไม่ทราบว่าใครแสดงบ้าง ปรากฏว่าเป็นผลงานที่รวมลูกศิษย์หม่อมน้อยไว้หลายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดาเดอะสตาร์ ที่มาสร้างสีสันให้ผลงานชิ้นดังกล่าวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น) ต่อไปนี้เป็นการสปอยล์บางส่วนนะครับ โครงเรื่องน่าจะพอเดากันได้ แต่อาจทำให้เสียอรรถรสในการชมบางส่วนที่ได้รับการตีความใหม่
สิ่งที่ประทับใจสำหรับภาพยนตร์ของหม่อมน้อยเรื่องนี้คือ อารมณ์ร่วม ซึ่งน้อยครั้งหนังของท่านจะทำให้ผู้เขียนมีอารมณ์ร่วมได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่แตกออกมานอกเหนือจากความรักอมตะ อาทิ
ประเด็นทางการเมืองการปกครอง มีการเสียดสีระบอบการปกครองใหม่หลายครั้ง ว่าจะเป็นระบอบที่ทำให้ชาวนากินดีอยู่ดีขึ้น เป็นระบอบของนักคิด
ประเด็นความรักของบุพการี ทั้ง "แม่บังเกิดเกล้า" กับ "แม่ผู้ชุบชีวิต" และ "พ่อ" ผู้มีชีวิตอยู่เพื่อลูก ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เท่าความรักของบุพการี
ประเด็นทางสังคม ในเรื่องความแตกต่างระหว่างสังคมชนบทกับสังคมเมือง อย่างเห็นได้ชัด ทั้งการแต่งกาย ผิวพรรณ การพูดจา กิริยามารยาท การแสดงออก หลาย ๆ บทพูดของตัวละคร สะท้อนถึงความแตกต่างทางสังคม เช่น ฉากที่คุณหญิงเตือนสติเรียมให้กลับมาเป็นลูกของตนอีกครั้ง "คิดดี ๆ นะเรียม คิดอย่างคนที่มีปัญญา" ทำให้รู้ว่า สังคมเมือง คิดแบบผู้มีปัญญานั้นหามาจากความจริงใจไม่ มีแต่ภาพลักษณ์ที่สวยงามมาบดบังความงามในจิตใจ สวมหน้ากากเข้าหากัน สังสรรค์รื่นเริงไปวัน ๆ ทำนาบนหลังคน เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่มีความจริงใจ และคิดจะควบคุมทุกสิ่งให้อยู่ในกำมือของตน แม้กระทั่งชีวิตมนุษย์ โดยบทพูดที่สะเทือนใจที่สุดในประเด็นดังกล่าวและถือได้ว่าเป็นบทพูดลำดับท้าย ๆ ของหนัง คือ บทพูดของเรียม "สาแก่ใจหรือยัง พวกผู้ดีบางกอก" ที่คิดจะครอบงำทุกอย่างแม้กระทั่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ผู้มีอำนาจสามารถมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งแต่ไม่อาจมีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณที่มีอยู่ในกายขอมนุษย์แต่ละคนได้
ประเด็นเชิงตรรกะ ในบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลไปเสียทุกเรื่อง เรื่องบางเรื่องอาจไม่มีเหตุผล เช่น เหตุใดเรียมจึงรักคลองแสนแสบ รักทุ่งบางกะปิ เหตุใดขวัญจึงรักเรียมมากยิ่งกว่าชีวิตของตน เรื่องบางเรื่องมนุษย์หาเหตุผลมาอธิบายให้สวยหรู แต่ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมาประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของจิตใจ
ประเด็นความรัก ระหว่างที่ชมรู้สึกว่า ขวัญ เป็นตัวละครเอกที่ขาดสติอยู่เสมอ ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งการขาดสติของขวัญหลาย ๆ ครั้งทำให้เกิดผลเสียตามมา ไม่ใช่แค่ผลเสียต่อตนเอง แต่ยังก่อให้เกิดผลเสียกับคนที่รักตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของตน ซึ่งคาดหวังกับการเกาะชายผ้าเหลืองของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างมาก
สิ่งที่ประทับใจมาก ๆ คือ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ทั้งดนตรีบรรเลง ดนตรีพื้นบ้าน เพลงประกอบภาพยนตร์ ซึ่งได้นักร้องขั้นเทพอย่างกันและแก้ม เดอะสตาร์มาถ่ายทอดความรู้สึก
ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาที่ได้กล่าวมา จึงนับเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่ผมขอขึ้นหิ้งไว้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในรอบหลาย ๆ ปีเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายครับที่มีรอบฉายน้อยและกระแสยังไม่แรงเท่าภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง แต่ในมุมมองของผมถือเป็นผลงานทรงคุณค่าของไทยเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวครับ แค่ได้มาชมภาพสวย ๆ งานกำกับศิลป์ชั้นเยี่ยม การแสดงขั้นเทพของศิลปินหลาย ๆ ท่าน และมาฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ ก็คุ้มค่ามากแล้วครับ ถ้ายิ่งดูไป คิดตามไป จะได้ประเด็นการใช้ชีวิตที่ให้แง่คิดหลายประเด็นเลยครับ
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่สรรค์สร้างสรรพสิ่งในโลก แต่หากรักอย่างขาดสติ ความรักดังกล่าวอาจทำลายทุกสิ่งในพริบตา การตีความใหม่ของ "แผลเก่า" จึงมิใช่เพียงประเด็นความรักในเชิงชู้สาวที่มีฉากพลอดรักกันในคลองแสนแสบดังเช่นแต่เดิม แต่เป็นงานศิลป์ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ การหวนให้ระลึกถึงความบริสุทธิ์ของจิตใจที่ไม่ใช่การเน้นภาพลักษณ์ที่สวยงาม หรือแม้กระทั่งการอย่าลืมความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตน จนกลายเป็นหุ่นเชิดหรือตุ๊กตาให้ผู้อื่นมาควบคุมชีวิตและยึดติดในกิเลสที่เป็นภาพลวงตา แต่จงใช้ "สติ" ในการดำเนินชีวิตและคิดพิจารณาทุกกรรมที่ตนได้สร้าง เนื่องจากผลกรรมดังกล่าวโดยเฉพาะกรรมเลวไม่เพียงแต่จะนำผลร้ายมาสู่ตนเท่านั้น หากแต่เป็นบ่วงกรรมที่จะดึงผู้อื่นให้ติดในวังวนของกรรมเลวนั้นด้วย ขออุทิศบทความนี้ แด่ ความรักของพ่อขวัญและแม่เรียม แห่งทุ่งบางกะปิ คลองแสนแสบ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสรรค์สร้างงานศิลป์ดังกล่าว