.............................................................................................
Smile Picture
เกือบตี 2 แล้ว ของวันที่ 29 แทบจะทุกสิ้นเดือนที่ผมต้องเลิกงานดึกเพราะต้องมานั่งเซ็คสต็อกสินค้า เดือนนี้ก็เป็นแบบนั้น ฝนที่ยังคงตกอยู่ทำให้อากาศด้านนอกเย็นเหมือนกับว่าเราอยู่บนภูเขาสูงและเสียงของลมทำให้ผมหูอื้ออยู่บ่อยครั้งราวกับว่ามีคนเรียกผมอยู่ไกลๆในสายหมอกที่บดบังการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง ผมเดินมาถึงป้ายรถเมล์ที่ว่างปล่าว มีเพียงเสียงของสายฝนที่ยังคงบรรเลงอยู่ ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน
ผมนั่งลงกับเก้าอี้ทันทีที่ถึง บางทีอาจรู้สึกเหนื่อยกับสายฝนที่ฝ่ามา เสื้อและกางเกงที่เปียกทำให้ตัวของผมหนักอึ้งแทบจะไม่มีแรงที่จะยืน ผมรู้สึกนั่งทับอะไรบางอย่างและก็ทันทีที่ผมหยิบมันขึ้นมา มันเป็นรูปถ่ายของผู้หญิงหน้าตาน่ารักเธออาจเป็นคนญี่ปุ่น ตาที่กลมโตของเธอทำให้ผมแทบไม่ละสายตาไปจากรูปใบนั้น นิ้วชี้ของเธอปิดอยู่ที่ปาก ประหนึ่งว่า ''จุ๊ จุ๊ ให้เราเก็บความลับนี้ไว้ เรารู้กับแค่ 2 คนเท่านั้นนะ'' ผมนำรูปของเธอใส่กระเป๋าสตางค์แทบจะในทันทีเพราะกลัวฝนที่สาดเข้ามาจะทำให้รูปเสียไป
ผมถึงบ้านประมาณตี 3 รู้สึกเหนื่อยกับฝนที่ทำให้ผมต้องมาอาบน้ำเพราะรู้สึกไม่สบายตัวแล้วก็ยังคนขับแท็กซี่ที่พูดมาตลอดทาง ผมแค่ต้องการจะงีบบนรถสักหน่อยแค่นั้น ผมอาบน้ำเสร็จแทบจะทันทีกับที่สายฝนบรรเลงเพลงอันโหยหวนอีกครั้ง คืนนี้การพักผ่อนของผมอาจจะทดแทนอาการเหนื่อยที่สะสมเข้ามาได้ ลมเย็นๆที่พัดพามากับสายฝน ท่วงทำนองของมันที่กระทบกับตัวอาคารช่างเป็นเสียงที่ไพเราะเหลือเกิน ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนเหมือนกับว่ามีก้อนเมฆก้อนใหญ่โอบหุ้มเราไว้ท่ามกลางเสียงของเทวดาตัวน้อยๆที่ร้องเพลงขับกล่อมให้หลับไหลอยู่ในดินแดนที่ไม่มีใครรบกวนได้
ผมสะดุ้งตื่นมันเหมือนกับเรากำลังตกจากที่สูง เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง มันดัง 3 ครั้งและก้องอยู่ในหูผม ยามค่ำคืนเช่นนี้เมื่อมีเสียงอะไรที่ดังมากๆ เสียงเหล่านั้นจะวนเวียนอยู่ในหูของเราไม่สิ้นสุด ผมลุกจากที่นอนแล้วเดินไปที่ประตูเผื่อว่าด้านนอกมีเหตุร้ายอะไรเพราะตอนนี้ก็เกือบจะ ตี 4 แล้ว ตาแมวของประตูไม่เผยให้เห็นใครที่ยืนอยู่ด้านนอกของอีกฝั่งประตู มีเพียบแสงไฟตามทางเดินลาดยาว ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น
''ฮัลโหลครับ...''
''ฮัลโหล...''
ไม่มีเสียงจากปลายสายมีเสียงสายฝนหรือบางทีอาจจะเป็นเสียงสะท้อนของผมเองก็ได้
''ฮัล...''
''ยิ้มหน่อยนะ''
ผมแทบจะทิ้งโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงที่เย็นยะเยือกราวกับเสียงสายฝนที่อยู่ด้านนอก หลังจากแทบจะทันทีที่ปลายสายวางไป ประโยคและเสียงของเธอทำให้ผมเย็นไปทั้งตัว ผมยืนอยู่หน้าโทรศัพท์พักใหญ่อาจเพราะขาของผมไม่สามารถก้าวเดินได้ รูปใบนั้น รูปผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ผมเก็บมาจากป้ายรถเมล์มันถูกวางอยู่บนโต๊ะหน้าทีวีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือผมลืมไปแล้วว่าผมหยิบออกมาดูก่อนที่จะไปนอน ผมหยิบรูปนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เธอยิ้มและดูมีความสุขแต่เวลานี้เธอไม่ได้ยิ้มที่มุมปากนั้นอีกแล้ว เหลือไว้เพียบใบหน้าซีดเซียวกับนิ้วชี้ที่เหมือนจะบอกว่า 'จุ๊ จุ๊ เก็บความลับนี้ไว้ เรารู้กับแค่ 2 คนนะ'' ไม่มีภาพด้านหลังนั้นแล้วบางทีอาจเป็นห้องของเธอ ตอนนี้มีเพียงความมืดที่คลุมเธอเอาไว้
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง แล้วเสียงนั่นก็ดังขึ้นสะจนแทบกลายเป็นเสียงหวีดร้องอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา ผมเอามือปิดหูและทรุดตัวลงกับพื้นเพียงแค่หวังว่าเสียงนั่นมันจะหายไป แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงของหญิงสาวที่กระซิบอยู่ข้างหูและมันก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ
''ฉันจะรักเธอตลอดไป''
''ฉันจะรักเธอตลอดไป''
''ฉันจะรักเธอ....''
''หยุดเถอะได้โปรด'' ผมตะโกนเพื่อไล่เสียงเหล่านั้นไป
เสียงหยุดไปแล้วทิ้งไว้เพียงเสียงของความเงียบและเสียงสายฝนพร่ำอื้ออึงอยู่ด้านนอก มันเกิดอะไรขึ้น หรือผมเพียงแค่ฝันไป ผมหยิบรูปที่อยู่ข้างตัวขึ้นมารูปนั้นไม่มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักนั้นอีกแล้วเหลือเพียงภาพที่ว่างปล่าวไม่มีตาที่กลมโตที่ทำให้ผมแทบไม่ละสายตานั้นอีกต่อไป
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นแทบจะทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมเดินไปที่ประตูแล้วมองที่ตาแมวก่อนที่เสียงเคาะจะหายไป มันไม่มีแสงไฟตามทางเดินลาดยาวอีกต่อไป มีเพียบตัวผมที่ยืนจ้องเข้ามาในตาแมวของอีกฝั่งนึง ผมละจากประตูห้องแล้วเดินไปที่ระเบียง ใช่แล้วมันมีแต่ความมืดที่ปกคลุมเอาไว้ไม่มีแม้แสงของไฟเหมือนกับว่าเราโดนโอบอุ้มโดยความมืด ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้และมองรูปนั้นอีกครั้ง ผมยิ้มให้รูปที่ว่างปล่าวใบนั้น ไม่มีเสียงแว่วในหู มีเพียงเสียงของผมพูดออกไปว่า
''จะรักเธอตลอดไป มิซาโนะ..''
ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งมีเพียบความมืดมิดรอบกายและรูปที่ถืออยู่ในมือ
มิซาโนะผู้หญิงหน้าตาน่ารัก เธอยิ้มแย้มอยู้ในรูปใบนั้น ตาที่กลมโตของเธอทำให้ไม่อยากละสายตาไปจากรูปใบนั้น เธอชูนิ้วชี้และนิ้วกลางปิดไว้ที่ปากของเธอ เหมือนกับเธอพยายามจะบอกว่า''จุ๊ จุ๊ เก็บความลับนี้ไว้ เรารู้กับแค่ 3 คนเท่านั้นนะ'' ..................
.............................................................................................
*ติชม ได้นะครับผมรับฟังหมด ขอบคุณครับ
Smile Picture(เรื่องสั้น)
ผมนั่งลงกับเก้าอี้ทันทีที่ถึง บางทีอาจรู้สึกเหนื่อยกับสายฝนที่ฝ่ามา เสื้อและกางเกงที่เปียกทำให้ตัวของผมหนักอึ้งแทบจะไม่มีแรงที่จะยืน ผมรู้สึกนั่งทับอะไรบางอย่างและก็ทันทีที่ผมหยิบมันขึ้นมา มันเป็นรูปถ่ายของผู้หญิงหน้าตาน่ารักเธออาจเป็นคนญี่ปุ่น ตาที่กลมโตของเธอทำให้ผมแทบไม่ละสายตาไปจากรูปใบนั้น นิ้วชี้ของเธอปิดอยู่ที่ปาก ประหนึ่งว่า ''จุ๊ จุ๊ ให้เราเก็บความลับนี้ไว้ เรารู้กับแค่ 2 คนเท่านั้นนะ'' ผมนำรูปของเธอใส่กระเป๋าสตางค์แทบจะในทันทีเพราะกลัวฝนที่สาดเข้ามาจะทำให้รูปเสียไป
ผมถึงบ้านประมาณตี 3 รู้สึกเหนื่อยกับฝนที่ทำให้ผมต้องมาอาบน้ำเพราะรู้สึกไม่สบายตัวแล้วก็ยังคนขับแท็กซี่ที่พูดมาตลอดทาง ผมแค่ต้องการจะงีบบนรถสักหน่อยแค่นั้น ผมอาบน้ำเสร็จแทบจะทันทีกับที่สายฝนบรรเลงเพลงอันโหยหวนอีกครั้ง คืนนี้การพักผ่อนของผมอาจจะทดแทนอาการเหนื่อยที่สะสมเข้ามาได้ ลมเย็นๆที่พัดพามากับสายฝน ท่วงทำนองของมันที่กระทบกับตัวอาคารช่างเป็นเสียงที่ไพเราะเหลือเกิน ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนเหมือนกับว่ามีก้อนเมฆก้อนใหญ่โอบหุ้มเราไว้ท่ามกลางเสียงของเทวดาตัวน้อยๆที่ร้องเพลงขับกล่อมให้หลับไหลอยู่ในดินแดนที่ไม่มีใครรบกวนได้
ผมสะดุ้งตื่นมันเหมือนกับเรากำลังตกจากที่สูง เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง มันดัง 3 ครั้งและก้องอยู่ในหูผม ยามค่ำคืนเช่นนี้เมื่อมีเสียงอะไรที่ดังมากๆ เสียงเหล่านั้นจะวนเวียนอยู่ในหูของเราไม่สิ้นสุด ผมลุกจากที่นอนแล้วเดินไปที่ประตูเผื่อว่าด้านนอกมีเหตุร้ายอะไรเพราะตอนนี้ก็เกือบจะ ตี 4 แล้ว ตาแมวของประตูไม่เผยให้เห็นใครที่ยืนอยู่ด้านนอกของอีกฝั่งประตู มีเพียบแสงไฟตามทางเดินลาดยาว ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น
''ฮัลโหลครับ...''
''ฮัลโหล...''
ไม่มีเสียงจากปลายสายมีเสียงสายฝนหรือบางทีอาจจะเป็นเสียงสะท้อนของผมเองก็ได้
''ฮัล...''
''ยิ้มหน่อยนะ''
ผมแทบจะทิ้งโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงที่เย็นยะเยือกราวกับเสียงสายฝนที่อยู่ด้านนอก หลังจากแทบจะทันทีที่ปลายสายวางไป ประโยคและเสียงของเธอทำให้ผมเย็นไปทั้งตัว ผมยืนอยู่หน้าโทรศัพท์พักใหญ่อาจเพราะขาของผมไม่สามารถก้าวเดินได้ รูปใบนั้น รูปผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ผมเก็บมาจากป้ายรถเมล์มันถูกวางอยู่บนโต๊ะหน้าทีวีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือผมลืมไปแล้วว่าผมหยิบออกมาดูก่อนที่จะไปนอน ผมหยิบรูปนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เธอยิ้มและดูมีความสุขแต่เวลานี้เธอไม่ได้ยิ้มที่มุมปากนั้นอีกแล้ว เหลือไว้เพียบใบหน้าซีดเซียวกับนิ้วชี้ที่เหมือนจะบอกว่า 'จุ๊ จุ๊ เก็บความลับนี้ไว้ เรารู้กับแค่ 2 คนนะ'' ไม่มีภาพด้านหลังนั้นแล้วบางทีอาจเป็นห้องของเธอ ตอนนี้มีเพียงความมืดที่คลุมเธอเอาไว้
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง แล้วเสียงนั่นก็ดังขึ้นสะจนแทบกลายเป็นเสียงหวีดร้องอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา ผมเอามือปิดหูและทรุดตัวลงกับพื้นเพียงแค่หวังว่าเสียงนั่นมันจะหายไป แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงของหญิงสาวที่กระซิบอยู่ข้างหูและมันก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ
''ฉันจะรักเธอตลอดไป''
''ฉันจะรักเธอตลอดไป''
''ฉันจะรักเธอ....''
''หยุดเถอะได้โปรด'' ผมตะโกนเพื่อไล่เสียงเหล่านั้นไป
เสียงหยุดไปแล้วทิ้งไว้เพียงเสียงของความเงียบและเสียงสายฝนพร่ำอื้ออึงอยู่ด้านนอก มันเกิดอะไรขึ้น หรือผมเพียงแค่ฝันไป ผมหยิบรูปที่อยู่ข้างตัวขึ้นมารูปนั้นไม่มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักนั้นอีกแล้วเหลือเพียงภาพที่ว่างปล่าวไม่มีตาที่กลมโตที่ทำให้ผมแทบไม่ละสายตานั้นอีกต่อไป
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นแทบจะทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมเดินไปที่ประตูแล้วมองที่ตาแมวก่อนที่เสียงเคาะจะหายไป มันไม่มีแสงไฟตามทางเดินลาดยาวอีกต่อไป มีเพียบตัวผมที่ยืนจ้องเข้ามาในตาแมวของอีกฝั่งนึง ผมละจากประตูห้องแล้วเดินไปที่ระเบียง ใช่แล้วมันมีแต่ความมืดที่ปกคลุมเอาไว้ไม่มีแม้แสงของไฟเหมือนกับว่าเราโดนโอบอุ้มโดยความมืด ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้และมองรูปนั้นอีกครั้ง ผมยิ้มให้รูปที่ว่างปล่าวใบนั้น ไม่มีเสียงแว่วในหู มีเพียงเสียงของผมพูดออกไปว่า
''จะรักเธอตลอดไป มิซาโนะ..''
ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งมีเพียบความมืดมิดรอบกายและรูปที่ถืออยู่ในมือ
มิซาโนะผู้หญิงหน้าตาน่ารัก เธอยิ้มแย้มอยู้ในรูปใบนั้น ตาที่กลมโตของเธอทำให้ไม่อยากละสายตาไปจากรูปใบนั้น เธอชูนิ้วชี้และนิ้วกลางปิดไว้ที่ปากของเธอ เหมือนกับเธอพยายามจะบอกว่า''จุ๊ จุ๊ เก็บความลับนี้ไว้ เรารู้กับแค่ 3 คนเท่านั้นนะ'' ..................
*ติชม ได้นะครับผมรับฟังหมด ขอบคุณครับ