ขอโทษด้วยที่คุยเรื่องเก่าแก่ เพิ่งได้ดูอะค่ะ
เคิร์กอ้วนแล้วยังหน้าปรุ ดูฉุๆ พอประกอบกับบทบาท เลยกลายเป็นกัปตันยานท่องอวกาศ
ที่แลดูไม่รักษาสุขภาพ ไม่ฟิต มีแต่อารมณ์มุทะลุพาไป
แล้วบทก็... ทำไมภาคนี้มันเน้นอารมณ์ซะเหลือเกิน แล้วก็ให้ความรู้สึกขาดๆเกินๆไม่ลงตัวเอาซะเลย(สำหรับเรา)
หลายครั้งก็บทยาวซะแทบจะเป็นโมโนล็อกในละครเวที
แล้วก็...อารมณ์อ้ะ มว้าก บีบคั้นกันสุดฤทธิ์
เอะอะๆก็ซูมเต็มหน้า ครึ่งจอ กันแทบทั้งเรื่อง ร้องไห้กันทั้งเคิร์ก สป๊อก ข่าน
สป๊อกกะแฟน ซึ่งโกรธกันอยู่ เกิดจะเปิดปากพูดจากันตอนหน้าสิ่วหน้าขวานกำลังจะลงไปที่โครโนส ...เฮ่อ
สก็อตตี้ผลุนผลันลาออก เคิร์กก็ให้ออก ...เขาก็ทำถูกแล้วนี่ที่ไม่ให้เอาตอร์ปิโดขึ้นยาน
ถ้ามันจำเป็นที่จะต้องเอาตอร์ปิโดทั้ง 72 ลูกไปด้วย ในฐานะกัปตันก็ควรจะอธิบายกับหัวหน้าเอ็นจิเนียร์ได้
แต่เคิร์กก็ไม่อธิบาย ปล่อยให้สก๊อตตี้ออกไป
แล้วก็ไปหวังพึ่งเชคอฟ ...ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก
อ้อ ตอนที่อูฮูร่าลงไปคุยกับคลิงออน
คำแรกที่เอ่ยคือ เรามาช่วยพวกคุณ
เหรอฟวะ... ตัวเองกลัวจนขี้จะขึ้นขมองอยู่แล้ว
ลงไปคุยจะผูกมิตรกะเขาไม่ให้เขายิง ตัวเองมาเพื่อกำจัดข่านเท่านั้น ฯลฯ
แต่ไปถึงก็พูดจาเป็นเจ้าบุญนายคุณกันอย่างนี้เลยเหรอ เขาขอความช่วยเหลือไปรึก็เปล่า
...พูด(ภาษาคลิงออน)ได้ แต่พูดไม่เป็น
นั่นแหละ ทั้งหมดทั้งปวง มันทำให้เรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์โลกอนาคต
เป็นแค่ภาพยนต์แอ็กชั่นที่มีฉากเป็นโลกอนาคต แล้วยืมตัวละครจากสตาร์เทรคมา
และเป็นแอ็กชั่นที่เน้นอารมณ์ ความผูกพันของลูกผู้ชาย ในฐานะเพื่อนและผู้บังคับบัญชา ในฐานะที่เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกัน
แต่เรื่องที่เราชมคือ เขาต้องทำเทคโนโลยีให้มันดูล้ำหน้าอนาคต
แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ล้ำหน้าสตาร์เทรคภาคอื่นๆที่สร้างไปก่อนหน้า
เพราะไม่งั้นไทม์ไลน์มันไม่ได้
เขาก็สามารถนะ อย่างบีม ก็ดูว่าไม่สมูธเท่าบีมสมัยกัปตันฌอง ลุค พิคาร์ด
หรืออย่างเวลาขึ้นจอใหญ่ ภาพบนจอก็ไม่ละเอียดมาก
ผิดกับสมัยพิคาร์ด อันนั้นภาพบนจอใหญ่ชัดมาก ฟูลเอชดีกันเลย ประมาณนั้น
เครื่องแบบก็ยังไม่ทันสมัยเท่า
ก็... ดูไปสองรอบ เพราะเขารีรัน และเพราะสตาร์เทรคเป็นเรื่องที่ชอบมาก
แต่ก็คอนเฟิร์มว่า... ไม่ปลื้มหรอกภาคนี้
Star Trek: Into Darkness เพิ่งได้ดูเพราะทรูเอามาฉาย ...ไม่ปลื้มอะ
เคิร์กอ้วนแล้วยังหน้าปรุ ดูฉุๆ พอประกอบกับบทบาท เลยกลายเป็นกัปตันยานท่องอวกาศ
ที่แลดูไม่รักษาสุขภาพ ไม่ฟิต มีแต่อารมณ์มุทะลุพาไป
แล้วบทก็... ทำไมภาคนี้มันเน้นอารมณ์ซะเหลือเกิน แล้วก็ให้ความรู้สึกขาดๆเกินๆไม่ลงตัวเอาซะเลย(สำหรับเรา)
หลายครั้งก็บทยาวซะแทบจะเป็นโมโนล็อกในละครเวที
แล้วก็...อารมณ์อ้ะ มว้าก บีบคั้นกันสุดฤทธิ์
เอะอะๆก็ซูมเต็มหน้า ครึ่งจอ กันแทบทั้งเรื่อง ร้องไห้กันทั้งเคิร์ก สป๊อก ข่าน
สป๊อกกะแฟน ซึ่งโกรธกันอยู่ เกิดจะเปิดปากพูดจากันตอนหน้าสิ่วหน้าขวานกำลังจะลงไปที่โครโนส ...เฮ่อ
สก็อตตี้ผลุนผลันลาออก เคิร์กก็ให้ออก ...เขาก็ทำถูกแล้วนี่ที่ไม่ให้เอาตอร์ปิโดขึ้นยาน
ถ้ามันจำเป็นที่จะต้องเอาตอร์ปิโดทั้ง 72 ลูกไปด้วย ในฐานะกัปตันก็ควรจะอธิบายกับหัวหน้าเอ็นจิเนียร์ได้
แต่เคิร์กก็ไม่อธิบาย ปล่อยให้สก๊อตตี้ออกไป
แล้วก็ไปหวังพึ่งเชคอฟ ...ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก
อ้อ ตอนที่อูฮูร่าลงไปคุยกับคลิงออน
คำแรกที่เอ่ยคือ เรามาช่วยพวกคุณ
เหรอฟวะ... ตัวเองกลัวจนขี้จะขึ้นขมองอยู่แล้ว
ลงไปคุยจะผูกมิตรกะเขาไม่ให้เขายิง ตัวเองมาเพื่อกำจัดข่านเท่านั้น ฯลฯ
แต่ไปถึงก็พูดจาเป็นเจ้าบุญนายคุณกันอย่างนี้เลยเหรอ เขาขอความช่วยเหลือไปรึก็เปล่า
...พูด(ภาษาคลิงออน)ได้ แต่พูดไม่เป็น
นั่นแหละ ทั้งหมดทั้งปวง มันทำให้เรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์โลกอนาคต
เป็นแค่ภาพยนต์แอ็กชั่นที่มีฉากเป็นโลกอนาคต แล้วยืมตัวละครจากสตาร์เทรคมา
และเป็นแอ็กชั่นที่เน้นอารมณ์ ความผูกพันของลูกผู้ชาย ในฐานะเพื่อนและผู้บังคับบัญชา ในฐานะที่เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกัน
แต่เรื่องที่เราชมคือ เขาต้องทำเทคโนโลยีให้มันดูล้ำหน้าอนาคต
แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ล้ำหน้าสตาร์เทรคภาคอื่นๆที่สร้างไปก่อนหน้า
เพราะไม่งั้นไทม์ไลน์มันไม่ได้
เขาก็สามารถนะ อย่างบีม ก็ดูว่าไม่สมูธเท่าบีมสมัยกัปตันฌอง ลุค พิคาร์ด
หรืออย่างเวลาขึ้นจอใหญ่ ภาพบนจอก็ไม่ละเอียดมาก
ผิดกับสมัยพิคาร์ด อันนั้นภาพบนจอใหญ่ชัดมาก ฟูลเอชดีกันเลย ประมาณนั้น
เครื่องแบบก็ยังไม่ทันสมัยเท่า
ก็... ดูไปสองรอบ เพราะเขารีรัน และเพราะสตาร์เทรคเป็นเรื่องที่ชอบมาก
แต่ก็คอนเฟิร์มว่า... ไม่ปลื้มหรอกภาคนี้