ผมได้อ่าน บทความ"เหนือกว่ายักษ์ยังมีอสูร จุดเริ่มต้นของการก้าวสู่อักษะ"
แล้วรู้สึกว่า ข้อมูลนี้น่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ญี่ปุ่นบ้างนะ หลังจากเจอแต่ข้อความในทำนองญี่ปุ่นมันชั่วๆๆๆๆๆๆๆ มาตลอด
อย่างที่ผู้อ่านทุกท่านได้เคยเรียนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือศึกษาเองและเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆ เราจะเห็นภาพประวัติศาสตร์ของประเทศเกาะเล็กๆทางตะวันออกที่เหมือนจะไร้พิษสง แต่กลับสามารถขยายดินแดนด้วยแสนยานุภาพทางการทหารจึงสามารถขยายดินแดนไปได้ไกลถึง 2,797,562 ตร. ไมล์ เพียงแค่1ปี เป็นจักรวรรดิที่ข่มเหงผู้อื่นนิยมความรุนแรงป่าเถื่อนไร้อารยธรรม กดขี่ชนชาติอื่นเพราะตนเองมีอำนาจและพลังที่มากกว่า..........แต่คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนที่ญี่ปุ่นจะเปิดสงครามในตอนนั้นก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นเป็นอย่างไร ?
ญี่ปุ่นในยุคหลังจากเปิดประเทศนั้นอ่อนแอ่และล้าหลังแถมยังไม่รู้จักโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นปิดประเทศและอยู่อย่างเงียบสงบ ประเทศรอบข้างและประเทศอื่นๆบนโลกพัฒนาความสามารถและวิทยาการของตนจนสามารถเป็นมหาอำนาจขยายอาณานิคมบนโลก จนในที่สุดก็ถึงคราวของญี่ปุ่นที่นอนนิ่งไม่รู้จักโลกแห่งนี้ ทั้งถูกบังคับให้เปิดประเทศและทำสนธิสัญญาในแบบที่ตนเองนั้นเสียเปรียบ (สนธิสัญญาคานางาวะ) ญี่ปุ่นนั้นถูกเอาเปรียบทั้งด้านสิทธิต่างๆ การค้าขาย การแลกเปลี่ยนเงินตรา การเจรจาตกลง ต่างๆญี่ปุ่นนั้นอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบมาโดยตลอด
จนภายหลังในรัชสมัยเมจิญี่ปุ่นนั้นจึงผลักดันตนเองพัฒนาประเทศโดยตั้งเป้าหมายให้ชนชาติของตนนั้นเท่าเทียมกับชนชาติที่เข้ามากดขี่ตนเองได้ การพัฒนาผลักดันในช่วงเวลานั้นทำให้ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจในตะวันออกขึ้นมาทันที แต่ญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้นไม่ได้มีสิทธิเท่าเทียมกับชาติตะวันตกแต่อย่างใดเลย ในช่วงตลอดรัชสมัยเมจิ จนเข้าสู่รัชสมัยไทโช ญี่ปุ่นก้าวสู่ความเป็นประเทศอุตสหกรรม ความเป็นสากล แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของตนไว้อยู่ได้อย่างดีเยี่ยม ญี่ปุ่นยังคงหวังที่จะก้าวขึ้นมาเดินเคี่ยงบ่าเคี่ยงไหล่กับประเทศเหล่านั้น ให้ตนเองมีความเท่าเทียมยุติธรรม จนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมสงครามตามคำขอของอังกฤษ ญี่ปุ่นได้แสดงบทบาทให้โลกได้เห็นว่าตนเองก็สามารถทำได้ และทำได้ดีด้วย ญี่ปุ่นจึงได้รับการยอมรับให้เข้าเป็น1ในประเทศสมาชิกถาวรขององค์การสันนิบาตชาติ (มีบทบาทเหมือนสหประชาชาติ) ซึ่งนับเป็นเกียรติของผู้คนในประเทศเป็นอย่างมาก
แต่มันก็เหมือนกันกลั่นแกล้งญี่ปุ่น เหล่าผู้นำประเทศของญี่ปุ่นใช้โอกาสนี้ได้ยื่นเรื่องเสนอแก่สันนิบาตชาติ ว่าด้วยเรื่อง "ความเท่าเทียมด้านเชื้อชาติ" โดยมีเหล่าประเทศสมาชิกอื่นๆ 17 ประเทศต่างเห็นด้วยกับญี่ปุ่นซึ่งมองว่ามันคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างประเทศ เพื่อให้คนเอเชียและคนตะวันตกมีความเท่าเทียมกัน สิ่งนี้คือความน่ายินดีเปป็นอย่างยิ่งและโดยหลักการแล้วสิ่งที่ญี่ปุ่นเสนอสามารถผ่านมติได้อย่างแน่นอนจากเสียงสนับสนุนนี้ แต่กลับถูกล้มลงอย่างไม่มีเหตุผลโดยประธานาธิปดีสหรัฐวูดโรว์ วิลสัน โดยกล่าวถึงเสียงค้านจากอังกฤษ เพราะเนื่องจากอังกฤษคือประเทศที่มีอาณานิคมเป็นประเทศในเอเชียจำนวนมากหากมตินี้ผ่านมันคือการล่มสลายของอำนาจของอังกฤษ(อินเดีย,พม่า,สิงคโปร เป็นต้น) ซึ่งกลายเป็นว่า มตินี้เหมือนกันลำเอียงและกลั่นแกล้งญี่ปุ่นที่พยายามมาถึงตรงนี้ เมื่อผลสรุปเป็นเช่นนี้คนญี่ปุ่นจำนวนมากต่างประท้วงต่อชาติตะวันตกว่าลำเอียงในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนกันเหยียดหยามทางเชื้อชาติเป็นอย่างมากโดยมีญี่ปุ่นเพียงชาติเดียวที่ต่อสู้เพื่อคนเอเชียอย่างแท้จริงในช่วงเวลานั้น
ความรู้สึกอยุติธรรมหนักหนารุนแรงขึ้นเมื่อปี 1920 ญี่ปุ่นเข้าสู่ การเป็นประเทศประชาธิปไตย อันมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีเศรษฐกิจที่รุ่งเรือง มีความเท่าเทียมภายในประเทศประชาชนมีความเป็นอยู่ดี ญี่ปุ่นในยุคไทโชนั้นมีพร้อมทุกอย่างในการ แต่ดูเหมือนยังไม่เพียงพอ ญี่ปุ่นไม่ได้รับการเชื้อเชิญใดๆในการเข้าร่วมสมาคมของชาติตะวันตก ญี่ปุ่นนั้นยังคงถูกมองว่าล้าหลังน่ารังเกียจตราบที่ญี่ปุ่นยังมี"ความเป็นญี่ปุ่น" ญี่ปุ่นนั้นพยายามรักษาความเป็นตัวของตัวเองภายในประเทศโดยที่รับสิ่งใหม่ๆเข้ามาเสมอแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของตนไว้ได้ (มันเหมือนปัญหาวัยรุ่นแต่งตัวตามกระแสแฟชั่นตะวันตกน่ะครับ แต่ญี่ปุ่นในตอนนั้นสามารถควบคุมดูแลและรักษาในแบบของตนไว้ได้แม้จะอยู่ในยุคแห่งโลกาภิวัตก็ตาม) ประชาชนยังคงแต่งตัวแบบญี่ปุ่น ใช้ของญี่ปุ่น รักษาประเพณีของตนอยู่ ซึ่งมันเป็นเรื่องทีดี แต่คนตะวันตกนั้นไม่ยอมรับ หลังจากนั้นเพียง 2 ปีต่อมาอังกฤษปล่อยสนธิสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่นให้สิ้นสุดลงโดยไม่มีการต่ออายุสัญญาแม้ญี่ปุ่นจะเรียกร้องว่าควรเป็นพันธมิตรกันต่อก็ตาม (มันคือการทอดทิ้งกันดีๆนี้เอง) จนต่อมาสนธิสัญญานาวิกวอชิงตัน ที่ตกลงเรื่องขนาดเรือรบ ไม่ว่าญี่ปุ่นจะพูดอย่างไร ญี่ปุ่นก็ไม่สามารถเรียกร้องให้ตนมีกำลังเท่ากับอีก 2 ชาติได้เลยเพราะประเทศของตนนั้นเป็นเกาะกำลังทางเรือคือสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดแต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกลับมา (อัตราส่วนคือ 5-5-3 ญี่ปุ่นได้สิทธิน้อยกว่าอเมริกา,อังกฤษแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศสมาชิกถาวรเหมือนกันก็ตาม) นั้นคือเส้นฟางสุดท้ายที่คนญี่ปุ่นอยากเป็นมิตรและเท่าเทียมกับตะวันตก คนญี่ปุ่นต่างมองว่ามันคือการดูถูกความพยายามของตน แถมยังเป็นการดูถูกเรื่องเชื้อชาติสีผิวกันอีก จนในที่สุดความรู้สึกนั้นก็เป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไขได้ เมื่ออเมริกาออกกฎหมายในปี 1924 ที่กีดกั้นผู้อพยพชาวตะวันออกแล้วจำกัดสิ่งการทำงานในอเมริกา
และยังเป็นเหมือนความบังเอิญที่ญี่ปุ่นได้ปัญหาภาวะฟองสบู่แตกหลังสงคราม และยังเกิดแผ่นดินไหวในปี 1923 ในเขตคันโต ประชากรเสียชีวิต 150,000คน เศรษฐกิจทรุดตัวอย่างรุนแรง ความเชื่อมั่นต่อประชาธิปไตยลดลง จนเมื่อสิ้นสุดรัชสมัยไทโช สิ่งที่ประคองให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่คิดเพื่อคนอื่นและส่วนรวมเริ่มจบลงจากความเจ็บแค้นที่สะสมมาเป็นเวลานาน เมื่อเข้ารัชสมัยโชวะ ญี่ปุ่นยังคงบอบช้ำอยู่ เมื่อตลาดหุ้นนิวยอร์ถล่มในปี 1929 ญี่ปุ่นก็เลิกผูกค่าเงินเยนกับทองคำ เงินเยนตกฮวบถึงร้อยละ50เมื่อเทียบกับดอลลาร์ คนตกงานจำนวนมาก ยุคสมัยที่ดูรุ่งเรื่องนั้นสิ้นสุดลงเงามืดเริ่มเข้ามาสู่ญี่ปุ่น การปลุกกระแสคอมมิวนิสต์ การต่อต้านทุนนิยม นายกรัฐมนตรีถูกลอบสังหาร (ฮามากุจิ โอซาจิ) กลุ่มคลั่งชาติเริ่มปรากฎ จนในที่สุดการปกครองโดยรัฐสภาก็สิ้นสุดลง
อำนาจของทหารเริ่มเข้ามาในระบบของประเทศ จนเกิดปัญหาขัดแย้งที่แมนจู สันนิบาตชาติเรียกร้องให้ญี่ปุ่นออกจากแมนจู ญี่ปุ่นที่เต็มเป็นด้วยรัฐบาลทหารจึงประณามสันนิบาตชาติว่าลำเอียง และลาออกจากสันนิบาตชาติในที่สุด คนญี่ปุ่นต่างมั่นใจว่าตนสามารถอยู่ด้วยตนเองได้ กระแสผลักดันเช่นนี้จึงทำให้ญี่ปุ่นฟื้นจากความบอบช้ำได้ในทันที กองทัพใช้งบประมาณร้อยละ 75 ในการผลิตอาวุธและกองทัพ และเมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ความเป็นทหารเต็มตัว ประตูของสงครามโลกก็ถูกเปิดขึ้นมาแล้ว.....................ญี่ปุ่นกว่าจะมาเป็นมหาอำนาจในตอนนั้นต้องพบกับความลำบากการดูถูกการเยียดหยาม ผมนึกภาพไม่ออกว่าทำไมสันนิบาตชาติในวันนั้นไม่ยอมรับข้อเสนอของญี่ปุ่น หากสันนิบาตชาติได้รับของเสนอในตอนนั้นและปฎิบัติตามที่ญี่ปุ่นเสนอสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นตามที่เราเรียนในวิชาประวติศาสตร์เช่นเดิมไหม? (ญี่ปุ่นอาจจะไม่เป็นอักษะและมาร่วมรบเคียวบ่าเคี่ยวไหล่กับอังกฤษและชาติพันธมิตรเหมือนดั่งเช่นสงครามโลกครั้งที่1เป็นแน่นอน)
Credit :
https://www.facebook.com/WorldWar2JapanArmy?fref=nf
ข้อมูลนี้น่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ญี่ปุ่นบ้างนะ เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2
แล้วรู้สึกว่า ข้อมูลนี้น่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ญี่ปุ่นบ้างนะ หลังจากเจอแต่ข้อความในทำนองญี่ปุ่นมันชั่วๆๆๆๆๆๆๆ มาตลอด
อย่างที่ผู้อ่านทุกท่านได้เคยเรียนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือศึกษาเองและเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆ เราจะเห็นภาพประวัติศาสตร์ของประเทศเกาะเล็กๆทางตะวันออกที่เหมือนจะไร้พิษสง แต่กลับสามารถขยายดินแดนด้วยแสนยานุภาพทางการทหารจึงสามารถขยายดินแดนไปได้ไกลถึง 2,797,562 ตร. ไมล์ เพียงแค่1ปี เป็นจักรวรรดิที่ข่มเหงผู้อื่นนิยมความรุนแรงป่าเถื่อนไร้อารยธรรม กดขี่ชนชาติอื่นเพราะตนเองมีอำนาจและพลังที่มากกว่า..........แต่คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนที่ญี่ปุ่นจะเปิดสงครามในตอนนั้นก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นเป็นอย่างไร ?
ญี่ปุ่นในยุคหลังจากเปิดประเทศนั้นอ่อนแอ่และล้าหลังแถมยังไม่รู้จักโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นปิดประเทศและอยู่อย่างเงียบสงบ ประเทศรอบข้างและประเทศอื่นๆบนโลกพัฒนาความสามารถและวิทยาการของตนจนสามารถเป็นมหาอำนาจขยายอาณานิคมบนโลก จนในที่สุดก็ถึงคราวของญี่ปุ่นที่นอนนิ่งไม่รู้จักโลกแห่งนี้ ทั้งถูกบังคับให้เปิดประเทศและทำสนธิสัญญาในแบบที่ตนเองนั้นเสียเปรียบ (สนธิสัญญาคานางาวะ) ญี่ปุ่นนั้นถูกเอาเปรียบทั้งด้านสิทธิต่างๆ การค้าขาย การแลกเปลี่ยนเงินตรา การเจรจาตกลง ต่างๆญี่ปุ่นนั้นอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบมาโดยตลอด
จนภายหลังในรัชสมัยเมจิญี่ปุ่นนั้นจึงผลักดันตนเองพัฒนาประเทศโดยตั้งเป้าหมายให้ชนชาติของตนนั้นเท่าเทียมกับชนชาติที่เข้ามากดขี่ตนเองได้ การพัฒนาผลักดันในช่วงเวลานั้นทำให้ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจในตะวันออกขึ้นมาทันที แต่ญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้นไม่ได้มีสิทธิเท่าเทียมกับชาติตะวันตกแต่อย่างใดเลย ในช่วงตลอดรัชสมัยเมจิ จนเข้าสู่รัชสมัยไทโช ญี่ปุ่นก้าวสู่ความเป็นประเทศอุตสหกรรม ความเป็นสากล แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของตนไว้อยู่ได้อย่างดีเยี่ยม ญี่ปุ่นยังคงหวังที่จะก้าวขึ้นมาเดินเคี่ยงบ่าเคี่ยงไหล่กับประเทศเหล่านั้น ให้ตนเองมีความเท่าเทียมยุติธรรม จนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมสงครามตามคำขอของอังกฤษ ญี่ปุ่นได้แสดงบทบาทให้โลกได้เห็นว่าตนเองก็สามารถทำได้ และทำได้ดีด้วย ญี่ปุ่นจึงได้รับการยอมรับให้เข้าเป็น1ในประเทศสมาชิกถาวรขององค์การสันนิบาตชาติ (มีบทบาทเหมือนสหประชาชาติ) ซึ่งนับเป็นเกียรติของผู้คนในประเทศเป็นอย่างมาก
แต่มันก็เหมือนกันกลั่นแกล้งญี่ปุ่น เหล่าผู้นำประเทศของญี่ปุ่นใช้โอกาสนี้ได้ยื่นเรื่องเสนอแก่สันนิบาตชาติ ว่าด้วยเรื่อง "ความเท่าเทียมด้านเชื้อชาติ" โดยมีเหล่าประเทศสมาชิกอื่นๆ 17 ประเทศต่างเห็นด้วยกับญี่ปุ่นซึ่งมองว่ามันคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างประเทศ เพื่อให้คนเอเชียและคนตะวันตกมีความเท่าเทียมกัน สิ่งนี้คือความน่ายินดีเปป็นอย่างยิ่งและโดยหลักการแล้วสิ่งที่ญี่ปุ่นเสนอสามารถผ่านมติได้อย่างแน่นอนจากเสียงสนับสนุนนี้ แต่กลับถูกล้มลงอย่างไม่มีเหตุผลโดยประธานาธิปดีสหรัฐวูดโรว์ วิลสัน โดยกล่าวถึงเสียงค้านจากอังกฤษ เพราะเนื่องจากอังกฤษคือประเทศที่มีอาณานิคมเป็นประเทศในเอเชียจำนวนมากหากมตินี้ผ่านมันคือการล่มสลายของอำนาจของอังกฤษ(อินเดีย,พม่า,สิงคโปร เป็นต้น) ซึ่งกลายเป็นว่า มตินี้เหมือนกันลำเอียงและกลั่นแกล้งญี่ปุ่นที่พยายามมาถึงตรงนี้ เมื่อผลสรุปเป็นเช่นนี้คนญี่ปุ่นจำนวนมากต่างประท้วงต่อชาติตะวันตกว่าลำเอียงในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนกันเหยียดหยามทางเชื้อชาติเป็นอย่างมากโดยมีญี่ปุ่นเพียงชาติเดียวที่ต่อสู้เพื่อคนเอเชียอย่างแท้จริงในช่วงเวลานั้น
ความรู้สึกอยุติธรรมหนักหนารุนแรงขึ้นเมื่อปี 1920 ญี่ปุ่นเข้าสู่ การเป็นประเทศประชาธิปไตย อันมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีเศรษฐกิจที่รุ่งเรือง มีความเท่าเทียมภายในประเทศประชาชนมีความเป็นอยู่ดี ญี่ปุ่นในยุคไทโชนั้นมีพร้อมทุกอย่างในการ แต่ดูเหมือนยังไม่เพียงพอ ญี่ปุ่นไม่ได้รับการเชื้อเชิญใดๆในการเข้าร่วมสมาคมของชาติตะวันตก ญี่ปุ่นนั้นยังคงถูกมองว่าล้าหลังน่ารังเกียจตราบที่ญี่ปุ่นยังมี"ความเป็นญี่ปุ่น" ญี่ปุ่นนั้นพยายามรักษาความเป็นตัวของตัวเองภายในประเทศโดยที่รับสิ่งใหม่ๆเข้ามาเสมอแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของตนไว้ได้ (มันเหมือนปัญหาวัยรุ่นแต่งตัวตามกระแสแฟชั่นตะวันตกน่ะครับ แต่ญี่ปุ่นในตอนนั้นสามารถควบคุมดูแลและรักษาในแบบของตนไว้ได้แม้จะอยู่ในยุคแห่งโลกาภิวัตก็ตาม) ประชาชนยังคงแต่งตัวแบบญี่ปุ่น ใช้ของญี่ปุ่น รักษาประเพณีของตนอยู่ ซึ่งมันเป็นเรื่องทีดี แต่คนตะวันตกนั้นไม่ยอมรับ หลังจากนั้นเพียง 2 ปีต่อมาอังกฤษปล่อยสนธิสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่นให้สิ้นสุดลงโดยไม่มีการต่ออายุสัญญาแม้ญี่ปุ่นจะเรียกร้องว่าควรเป็นพันธมิตรกันต่อก็ตาม (มันคือการทอดทิ้งกันดีๆนี้เอง) จนต่อมาสนธิสัญญานาวิกวอชิงตัน ที่ตกลงเรื่องขนาดเรือรบ ไม่ว่าญี่ปุ่นจะพูดอย่างไร ญี่ปุ่นก็ไม่สามารถเรียกร้องให้ตนมีกำลังเท่ากับอีก 2 ชาติได้เลยเพราะประเทศของตนนั้นเป็นเกาะกำลังทางเรือคือสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดแต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกลับมา (อัตราส่วนคือ 5-5-3 ญี่ปุ่นได้สิทธิน้อยกว่าอเมริกา,อังกฤษแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศสมาชิกถาวรเหมือนกันก็ตาม) นั้นคือเส้นฟางสุดท้ายที่คนญี่ปุ่นอยากเป็นมิตรและเท่าเทียมกับตะวันตก คนญี่ปุ่นต่างมองว่ามันคือการดูถูกความพยายามของตน แถมยังเป็นการดูถูกเรื่องเชื้อชาติสีผิวกันอีก จนในที่สุดความรู้สึกนั้นก็เป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไขได้ เมื่ออเมริกาออกกฎหมายในปี 1924 ที่กีดกั้นผู้อพยพชาวตะวันออกแล้วจำกัดสิ่งการทำงานในอเมริกา
และยังเป็นเหมือนความบังเอิญที่ญี่ปุ่นได้ปัญหาภาวะฟองสบู่แตกหลังสงคราม และยังเกิดแผ่นดินไหวในปี 1923 ในเขตคันโต ประชากรเสียชีวิต 150,000คน เศรษฐกิจทรุดตัวอย่างรุนแรง ความเชื่อมั่นต่อประชาธิปไตยลดลง จนเมื่อสิ้นสุดรัชสมัยไทโช สิ่งที่ประคองให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่คิดเพื่อคนอื่นและส่วนรวมเริ่มจบลงจากความเจ็บแค้นที่สะสมมาเป็นเวลานาน เมื่อเข้ารัชสมัยโชวะ ญี่ปุ่นยังคงบอบช้ำอยู่ เมื่อตลาดหุ้นนิวยอร์ถล่มในปี 1929 ญี่ปุ่นก็เลิกผูกค่าเงินเยนกับทองคำ เงินเยนตกฮวบถึงร้อยละ50เมื่อเทียบกับดอลลาร์ คนตกงานจำนวนมาก ยุคสมัยที่ดูรุ่งเรื่องนั้นสิ้นสุดลงเงามืดเริ่มเข้ามาสู่ญี่ปุ่น การปลุกกระแสคอมมิวนิสต์ การต่อต้านทุนนิยม นายกรัฐมนตรีถูกลอบสังหาร (ฮามากุจิ โอซาจิ) กลุ่มคลั่งชาติเริ่มปรากฎ จนในที่สุดการปกครองโดยรัฐสภาก็สิ้นสุดลง
อำนาจของทหารเริ่มเข้ามาในระบบของประเทศ จนเกิดปัญหาขัดแย้งที่แมนจู สันนิบาตชาติเรียกร้องให้ญี่ปุ่นออกจากแมนจู ญี่ปุ่นที่เต็มเป็นด้วยรัฐบาลทหารจึงประณามสันนิบาตชาติว่าลำเอียง และลาออกจากสันนิบาตชาติในที่สุด คนญี่ปุ่นต่างมั่นใจว่าตนสามารถอยู่ด้วยตนเองได้ กระแสผลักดันเช่นนี้จึงทำให้ญี่ปุ่นฟื้นจากความบอบช้ำได้ในทันที กองทัพใช้งบประมาณร้อยละ 75 ในการผลิตอาวุธและกองทัพ และเมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ความเป็นทหารเต็มตัว ประตูของสงครามโลกก็ถูกเปิดขึ้นมาแล้ว.....................ญี่ปุ่นกว่าจะมาเป็นมหาอำนาจในตอนนั้นต้องพบกับความลำบากการดูถูกการเยียดหยาม ผมนึกภาพไม่ออกว่าทำไมสันนิบาตชาติในวันนั้นไม่ยอมรับข้อเสนอของญี่ปุ่น หากสันนิบาตชาติได้รับของเสนอในตอนนั้นและปฎิบัติตามที่ญี่ปุ่นเสนอสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นตามที่เราเรียนในวิชาประวติศาสตร์เช่นเดิมไหม? (ญี่ปุ่นอาจจะไม่เป็นอักษะและมาร่วมรบเคียวบ่าเคี่ยวไหล่กับอังกฤษและชาติพันธมิตรเหมือนดั่งเช่นสงครามโลกครั้งที่1เป็นแน่นอน)
Credit : https://www.facebook.com/WorldWar2JapanArmy?fref=nf