POLITICS: ภูมิภาคอาร์กติกที่กำลังละลายกลายเป็นที่หมายตาของมหาอำนาจใหญ่จากภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป สู่การแสวงหาประโยชน์ทางการค้าและทรัพยากร
.
ภูมิภาคอาร์กติก ประกอบไปด้วยพื้นที่บางส่วนของประเทศสหรัฐฯ แคนาดา รัสเซีย ฟินแลนด์ เดนมาร์ก (กรีนแลนด์) นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และสวีเดน
ท่ามกลางภูมิภาคอาร์กติกที่กำลังเผชิญกับน้ำแข็งละลายจากภาวะโลกรวน
พื้นที่นี้โดยเฉพาะกรีนแลนด์ถูกพูดถึงบนหน้าภูมิรัฐศาสตร์โลกอีกครั้งจากการหมายตาของชาติมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ จีน รัสเซีย และ NATO ซึ่งต้องการจะเข้ามามีอิทธิพลในอาร์กติกเพื่อประโยชน์ทางการค้าและเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ
.
น้ำแข็งที่ละลายจากภาวะโลกร้อนมีผลทำให้เส้นทางการขนส่งทางทะเลขั้วโลกเหนือ (Northern Sea Route) สามารถเดินทางได้ง่ายขึ้นโดยในอนาคตอาจไม่ต้องใช้เรือตัดน้ำแข็ง เส้นทางนี้จะช่วยลดระยะทางการขนส่งระหว่างยุโรปและเอเชียได้อย่างมาก โดยในปี 2023 เส้นทางนี้มีปริมาณการขนส่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 35 ล้านตัน
.
นอกจากนี้ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคยังมีมหาอำนาจอย่างจีนเข้ามาเอี่ยว โดยมองว่าตนเป็นประเทศที่ใกล้ชิดอาร์กติก เมื่อปี 2018 จีนได้เปิดตัวยุทธศาสตร์ "เส้นทางสายไหมขั้วโลก" (Polar Silk Road) เส้นทางการค้าที่จะเชื่อมจากตอนเหนือของยุโรปคือรอตเตอร์ดัมในเนเธอแลนด์สู่ปักกิ่งของจีน รวมถึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นการขับเคลื่อนแนวคิดนี้
.
ฝั่งสหรัฐฯ เองยังคงต้องการผลักดันฟินแลนด์และสวีเดนให้เข้าร่วมนาโต้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและอำนาจในการทำสงครามในอาร์กติกได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงการขยายอิทธิพลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พยายามเข้ามามีบทบาทในภูมิภาค และแสดงตัวหลายต่อหลายครั้งว่าเขาอยากจะผนวกกรีนแลนด์เข้ากับสหรัฐฯ
.
ในส่วนของสหภาพยุโรป (EU) ได้ขยับมาให้ความสำคัญมากขึ้น เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรปก็ได้เปิดเผยข้อเสนอกรอบงบประมาณที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือกรีนแลนด์กว่าเท่าตัว เป็นมูลค่ากว่า 530 ล้านยูโร โดยระบุว่าเป็นงบที่ใช้เสริมสร้างศักยภาพในกรีนแลนด์ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างงาน ‘ในเงื่อนไขที่กรีนแลนด์กำหนดเอง’
.
ทั้งนี้ แหล่งสำรองไฮโดรคาร์บอนมหาศาลในอาร์กติกกลายเป็นจุดสนใจเชิงยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจต่าง ๆ มีการประเมินว่าภูมิภาคนี้มีแหล่งสำรองน้ำมันที่ยังไม่พบ 13% และแหล่งสำรองก๊าซ 30% ซึ่งสำหรับสหภาพยุโรปแล้ว การเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้จะช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถกระจายแหล่งพลังงานและเสริมสร้างความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์เพื่อแข่งขันกับมหาอำนาจอื่นได้มากขึ้น
.
แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดกันต่อว่า ในขณะที่โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงจากสภาวะโลกรวน นอกเหนือจากมหาอำนาจที่จับตาเพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจและทรัพยากรแล้ว จะมีมหาอำนาจใดที่ให้ความร่วมมือได้จริงจังในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมแบบนี้บ้าง
.
อ้างอิง
Euronews : European Commission doubles financial support to Greenland to gain influence in the Arctic
Arctictoday : EU proposes €530 million increase in funding for Greenland, Sermitsiaq reports
เครดิต : Environman
https://www.facebook.com/share/p/1Aft7TkKqN/
อาร์กติกกำลังกลายเป็นพื้นที่ขยายอำนาจชาติใหญ่ ท่ามกลางน้ำแข็งละลายและการแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า
POLITICS: ภูมิภาคอาร์กติกที่กำลังละลายกลายเป็นที่หมายตาของมหาอำนาจใหญ่จากภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป สู่การแสวงหาประโยชน์ทางการค้าและทรัพยากร
.
ภูมิภาคอาร์กติก ประกอบไปด้วยพื้นที่บางส่วนของประเทศสหรัฐฯ แคนาดา รัสเซีย ฟินแลนด์ เดนมาร์ก (กรีนแลนด์) นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และสวีเดน
ท่ามกลางภูมิภาคอาร์กติกที่กำลังเผชิญกับน้ำแข็งละลายจากภาวะโลกรวน
พื้นที่นี้โดยเฉพาะกรีนแลนด์ถูกพูดถึงบนหน้าภูมิรัฐศาสตร์โลกอีกครั้งจากการหมายตาของชาติมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ จีน รัสเซีย และ NATO ซึ่งต้องการจะเข้ามามีอิทธิพลในอาร์กติกเพื่อประโยชน์ทางการค้าและเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ
.
น้ำแข็งที่ละลายจากภาวะโลกร้อนมีผลทำให้เส้นทางการขนส่งทางทะเลขั้วโลกเหนือ (Northern Sea Route) สามารถเดินทางได้ง่ายขึ้นโดยในอนาคตอาจไม่ต้องใช้เรือตัดน้ำแข็ง เส้นทางนี้จะช่วยลดระยะทางการขนส่งระหว่างยุโรปและเอเชียได้อย่างมาก โดยในปี 2023 เส้นทางนี้มีปริมาณการขนส่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 35 ล้านตัน
.
นอกจากนี้ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคยังมีมหาอำนาจอย่างจีนเข้ามาเอี่ยว โดยมองว่าตนเป็นประเทศที่ใกล้ชิดอาร์กติก เมื่อปี 2018 จีนได้เปิดตัวยุทธศาสตร์ "เส้นทางสายไหมขั้วโลก" (Polar Silk Road) เส้นทางการค้าที่จะเชื่อมจากตอนเหนือของยุโรปคือรอตเตอร์ดัมในเนเธอแลนด์สู่ปักกิ่งของจีน รวมถึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นการขับเคลื่อนแนวคิดนี้
.
ฝั่งสหรัฐฯ เองยังคงต้องการผลักดันฟินแลนด์และสวีเดนให้เข้าร่วมนาโต้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและอำนาจในการทำสงครามในอาร์กติกได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงการขยายอิทธิพลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พยายามเข้ามามีบทบาทในภูมิภาค และแสดงตัวหลายต่อหลายครั้งว่าเขาอยากจะผนวกกรีนแลนด์เข้ากับสหรัฐฯ
.
ในส่วนของสหภาพยุโรป (EU) ได้ขยับมาให้ความสำคัญมากขึ้น เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรปก็ได้เปิดเผยข้อเสนอกรอบงบประมาณที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือกรีนแลนด์กว่าเท่าตัว เป็นมูลค่ากว่า 530 ล้านยูโร โดยระบุว่าเป็นงบที่ใช้เสริมสร้างศักยภาพในกรีนแลนด์ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างงาน ‘ในเงื่อนไขที่กรีนแลนด์กำหนดเอง’
.
ทั้งนี้ แหล่งสำรองไฮโดรคาร์บอนมหาศาลในอาร์กติกกลายเป็นจุดสนใจเชิงยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจต่าง ๆ มีการประเมินว่าภูมิภาคนี้มีแหล่งสำรองน้ำมันที่ยังไม่พบ 13% และแหล่งสำรองก๊าซ 30% ซึ่งสำหรับสหภาพยุโรปแล้ว การเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้จะช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถกระจายแหล่งพลังงานและเสริมสร้างความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์เพื่อแข่งขันกับมหาอำนาจอื่นได้มากขึ้น
.
แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดกันต่อว่า ในขณะที่โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงจากสภาวะโลกรวน นอกเหนือจากมหาอำนาจที่จับตาเพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจและทรัพยากรแล้ว จะมีมหาอำนาจใดที่ให้ความร่วมมือได้จริงจังในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมแบบนี้บ้าง
.
อ้างอิง
Euronews : European Commission doubles financial support to Greenland to gain influence in the Arctic
Arctictoday : EU proposes €530 million increase in funding for Greenland, Sermitsiaq reports
เครดิต : Environman
https://www.facebook.com/share/p/1Aft7TkKqN/