วันนี้เข้า Office เช้า เลยอยากเล่า ถึงความเข้าใจตลาดหุ้นแบบผิดๆของคนส่วนใหญ่ ....คุณทราบไหมว่า ปัญหาของตลาดหุ้นที่ตบหน้าคนเก่งมากมาย ตบจนเละ เพราะอะไร ?
No no ..ไม่ใช่คนเหล่านี้ไม่เก่ง ในตลาดหุ้นผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เก่งสุดๆ ทั้งนั้น ถ้าเอาไอคิวคนเหล่านี้มารวมกัน ผมเชื่อว่า ตลาดสดการเงินแห่งนี้ รวมสมองคนเก่งไว้มากที่สุดในประเทศ
แต่ !!! ปัญหาที่คนเหล่านี้ขาดทุน และ ไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักลงทุนแถวหน้า มันคือ "การตั้งโจทย์ที่ผิด !! แค่นั้นเอง"
คนส่วนใหญ่ตั้งโจทย์ 'รวยเร็ว' ก็เจ๊งทุกคน ..ฟันธง !! -- เพราะ เขามองตลาดในมิติเดียว คือ มิติของราคา
ถ้าเทียบตลาดหุ้นเป็นสนามแข่งรถ คนที่ตั้งโจทย์ทำกำไรจากราคาก็เหมือน ถนนสายที่รถติดที่สุด ..ต่อให้คุณขับเก่งแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถวิ่งแซงคันหน้าในถนนที่รถติดแบบนั้นได้ !!
แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามคือ ถนนสายอื่นในตลาดที่ถนนโล่ง ไม่มีใครมาขับ นั่นแหละ พื้นที่ให้คนที่มองตลาดในอีกมิติได้แสดงฝีมือ
ครับ !! ผมกำลังพูดถึง "มิติของมูลค่า" ..นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffet เขาพูดเรื่องมูลค่าไว้อย่างน่าสนใจสุดยอด เขาพูดว่า "Price is what you pay but Value is what you get" แปลง่ายๆว่า ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย (ราคาหุ้น) แต่ มูลค่าต่างหาก (กำไร และ ปันผล ของบริษัทที่เราถือยาวเป็นเจ้าของ) ที่คุณได้
สำหรับนักลงทุนระยะยาว การแกว่งของราคาแทบไม่มีผลต่อความสำเร็จในระยะยาวเลย ...หนังสือ ออมในหุ้น ที่ผมเขียนขึ้น มันเป็นการเปิดประเด็นเรื่อง Value หรือ มูลค่า ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
ทุกคนลืมไปว่า คนที่รวยที่สุดจากตลาดหุ้นในระยะยาว รวมทั้งช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือ "เจ้าของ" ไม่ใช่ นักเก็งราคา ..ไม่ใช่สถาบัน ..ไม่ใช่โบรกเกอร์
..หุ้นขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นสิบๆเท่า สิบๆเด้ง แต่คนส่วนใหญ่ที่พยายาม เอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้แค่ต่าขนม ได้ค่ากับข้าว ในขณะที่เจ้าของหุ้นอย่างเจ้าสัวตระกูลต่างๆ เขารวยเป็นสิบเป็นร้อยเด้ง โดยการนั่งกระดิกเท้า แล้วมองดูรายย่อย ซื้อขายตัดหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ยกตัวอย่างหุ้นโรงพยาบาล หรือ หุ้นค้าปลีก อย่างเซ็นทรัล สิบกว่าปีขึ้น 100 เด้ง ..ถามหน่อย ลงทุนแบบไหนรวยที่สุด
ไม่ใช่แค่ราคาที่ขึ้น 100 เด้ง ..ปันผลที่แสดง มูลค่าจริงๆ ก็ขึ้น 100 เด้ง ไม่แตกต่าง
"มูลค่า" คือ กำไร และ ปันผล ที่ธุรกิจมีจริงๆ -- หุ้นดีไม่ใช่หุ้นที่ข่าวว่าจะดี (หุ้นจะดี แปลว่า มันห่วย มันมักจะเป็นหุ้นปั่นเน่าๆ)
..แต่หุ้นดี ต้องเป็นหุ้นที่กำไรและปันผลดี แม้ข่าวไม่ดีและคนส่วนใหญ่ไม่สนใจก็ตาม -- นี่แหละ "มิติของมูลค่า"
คำแนะนำของผมคือ คนที่ซื้อๆขายๆ ตลาดหุ้นขึ้น แต่ตัวเองยังขาดทุน ..ลองศึกษาออมในหุ้น และ เปิดอีก Port (เปิดมัน 2 Port) เทียบกันดูว่า มิติที่คุณอยู่ กับ มิติของมูลค่า อันไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่า
ผมท้าให้ลองเปิด Mindset ดู
ถนนสายนี้ โล่งสบาย ..แล้วมีใครอยากมาขับชีวิตในสายนี้บ้าง ..ออมในหุ้น จัดไป !!
ปล. ชอบตรงนี้.....ทุกคนลืมไปว่า คนที่รวยที่สุดจากตลาดหุ้นในระยะยาว รวมทั้งช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือ "เจ้าของ" ไม่ใช่ นักเก็งราคา ..ไม่ใช่สถาบัน ..ไม่ใช่โบรกเกอร์ ดังนั้นควรซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม และควรลงทุนหุ้นให้เหมือนกับเราเป็นเจ้าของธุรกิจครับ
มุมมองดีๆ ของเฮีย แพท ภาววิทย์
วันนี้เข้า Office เช้า เลยอยากเล่า ถึงความเข้าใจตลาดหุ้นแบบผิดๆของคนส่วนใหญ่ ....คุณทราบไหมว่า ปัญหาของตลาดหุ้นที่ตบหน้าคนเก่งมากมาย ตบจนเละ เพราะอะไร ?
No no ..ไม่ใช่คนเหล่านี้ไม่เก่ง ในตลาดหุ้นผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เก่งสุดๆ ทั้งนั้น ถ้าเอาไอคิวคนเหล่านี้มารวมกัน ผมเชื่อว่า ตลาดสดการเงินแห่งนี้ รวมสมองคนเก่งไว้มากที่สุดในประเทศ
แต่ !!! ปัญหาที่คนเหล่านี้ขาดทุน และ ไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักลงทุนแถวหน้า มันคือ "การตั้งโจทย์ที่ผิด !! แค่นั้นเอง"
คนส่วนใหญ่ตั้งโจทย์ 'รวยเร็ว' ก็เจ๊งทุกคน ..ฟันธง !! -- เพราะ เขามองตลาดในมิติเดียว คือ มิติของราคา
ถ้าเทียบตลาดหุ้นเป็นสนามแข่งรถ คนที่ตั้งโจทย์ทำกำไรจากราคาก็เหมือน ถนนสายที่รถติดที่สุด ..ต่อให้คุณขับเก่งแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถวิ่งแซงคันหน้าในถนนที่รถติดแบบนั้นได้ !!
แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามคือ ถนนสายอื่นในตลาดที่ถนนโล่ง ไม่มีใครมาขับ นั่นแหละ พื้นที่ให้คนที่มองตลาดในอีกมิติได้แสดงฝีมือ
ครับ !! ผมกำลังพูดถึง "มิติของมูลค่า" ..นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffet เขาพูดเรื่องมูลค่าไว้อย่างน่าสนใจสุดยอด เขาพูดว่า "Price is what you pay but Value is what you get" แปลง่ายๆว่า ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย (ราคาหุ้น) แต่ มูลค่าต่างหาก (กำไร และ ปันผล ของบริษัทที่เราถือยาวเป็นเจ้าของ) ที่คุณได้
สำหรับนักลงทุนระยะยาว การแกว่งของราคาแทบไม่มีผลต่อความสำเร็จในระยะยาวเลย ...หนังสือ ออมในหุ้น ที่ผมเขียนขึ้น มันเป็นการเปิดประเด็นเรื่อง Value หรือ มูลค่า ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
ทุกคนลืมไปว่า คนที่รวยที่สุดจากตลาดหุ้นในระยะยาว รวมทั้งช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือ "เจ้าของ" ไม่ใช่ นักเก็งราคา ..ไม่ใช่สถาบัน ..ไม่ใช่โบรกเกอร์
..หุ้นขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นสิบๆเท่า สิบๆเด้ง แต่คนส่วนใหญ่ที่พยายาม เอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้แค่ต่าขนม ได้ค่ากับข้าว ในขณะที่เจ้าของหุ้นอย่างเจ้าสัวตระกูลต่างๆ เขารวยเป็นสิบเป็นร้อยเด้ง โดยการนั่งกระดิกเท้า แล้วมองดูรายย่อย ซื้อขายตัดหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ยกตัวอย่างหุ้นโรงพยาบาล หรือ หุ้นค้าปลีก อย่างเซ็นทรัล สิบกว่าปีขึ้น 100 เด้ง ..ถามหน่อย ลงทุนแบบไหนรวยที่สุด
ไม่ใช่แค่ราคาที่ขึ้น 100 เด้ง ..ปันผลที่แสดง มูลค่าจริงๆ ก็ขึ้น 100 เด้ง ไม่แตกต่าง
"มูลค่า" คือ กำไร และ ปันผล ที่ธุรกิจมีจริงๆ -- หุ้นดีไม่ใช่หุ้นที่ข่าวว่าจะดี (หุ้นจะดี แปลว่า มันห่วย มันมักจะเป็นหุ้นปั่นเน่าๆ)
..แต่หุ้นดี ต้องเป็นหุ้นที่กำไรและปันผลดี แม้ข่าวไม่ดีและคนส่วนใหญ่ไม่สนใจก็ตาม -- นี่แหละ "มิติของมูลค่า"
คำแนะนำของผมคือ คนที่ซื้อๆขายๆ ตลาดหุ้นขึ้น แต่ตัวเองยังขาดทุน ..ลองศึกษาออมในหุ้น และ เปิดอีก Port (เปิดมัน 2 Port) เทียบกันดูว่า มิติที่คุณอยู่ กับ มิติของมูลค่า อันไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่า
ผมท้าให้ลองเปิด Mindset ดู
ถนนสายนี้ โล่งสบาย ..แล้วมีใครอยากมาขับชีวิตในสายนี้บ้าง ..ออมในหุ้น จัดไป !!
ปล. ชอบตรงนี้.....ทุกคนลืมไปว่า คนที่รวยที่สุดจากตลาดหุ้นในระยะยาว รวมทั้งช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือ "เจ้าของ" ไม่ใช่ นักเก็งราคา ..ไม่ใช่สถาบัน ..ไม่ใช่โบรกเกอร์ ดังนั้นควรซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม และควรลงทุนหุ้นให้เหมือนกับเราเป็นเจ้าของธุรกิจครับ