เมื่อเราไม่สามารถพูดคุยกับแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองได้

จริงๆไม่อยากตั้งกระทู้นี้เลยค่ะ
พยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองมาหลายวิธีแล้ว แต่ไม่เคยได้ผลเลย หนำซ้ำยิ่งนับวันเรื่องราวมันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆอีก

เราไม่สามารถพูดคุยกับแม่ได้เลยค่ะ

ทุกครั้งที่คุยกัน จะต้องจบลงที่แม่เราระเบิดถ้อยคำผรุสวาทใส่หน้าเราอยู่ฝ่ายเดียวเสมอ ไม่เคยที่จะได้พูดคุยกันดีๆเลยสักครั้ง

คงต้องขยายความถึงความสัมพันธ์ของเรากับแม่ก่อนค่ะ
แม่เรามีลูกสาว 2 คน คือเราซึ่งเป็นคนโต กับน้องสาวเรา อายุห่างกัน 6 ปี
ปัจจุบันแม่หย่ากับพ่อแล้วค่ะ หลังจากแยกห้องนอนกันมานานนับสิบปี
ในบ้านจึงเหลือแม่ เรา และน้องสาว

ตั้งแต่จำความได้ พ่อกับเราจะเป็นคนรองรับอารมณ์แม่เสมอ เพราะแม่เราเป็นคนที่โมโหง่าย เก็บอารมณ์ไม่อยู่ เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเขาก็จะด่ากราดไปทั่ว และที่สำคัญคือชอบด่าประจานในสิ่งที่ไม่เป็นจริงอยู่เสมอ เช่น เวลาถูกใช้ให้ถ่ายรูปแล้วรูปออกมาไม่สวย ก็ถูกด่าต่อหน้าสาธารณชนว่าเป็นกาหรี่ เป็นต้น

(เรื่องนี้เราเคยระบายไว้ที่กระทู้นี้ค่ะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้)

พอพ่อหย่าขาดจากแม่แล้ว จึงเหลือแค่เราคนเดียวที่ต้องรองรับอารมณ์แม่เสมอ
เราเคยเข้าไปเลียบๆเคียงๆเปิดอกคุยกับแม่หลายต่อหลายครั้ง ถึงพฤติกรรมที่แม่แสดงออกมา ซึ่งแน่นอน บทสนทนายังไม่ทันเริ่ม แม่เราจะวีนแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์โกรธทันที และด่าต่อเนื่องยาวนานจนกว่าเขาจะพอใจ ดังนั้น การพูดคุยดีๆระหว่างเรากับแม่จึงไม่เคยเกิดขึ้นเลย

แต่ก็ยังดีที่ยังมีน้องสาว เป็นตัวกลางคอยเชื่อมความสัมพันธ์ของเรากับแม่ โดยปกติแม่จะสนทนากับเราผ่านน้องสาวค่ะ

จนเรื่องราวเริ่มเลวร้ายลงเมื่อ ช่วงที่เราใกล้จบมหาลัย เราก็แยกตัวไปอยู่คนเดียวแถวม. เรารับจ๊อบหาเงินเรียนส่งตัวเองไปพลางๆ เพราะคิดว่าอีกหน่อยคงต้องทำงานส่งน้องเรียน เลยรีบแยกออกมาหาลู่ทางทำมาหากินดีกว่า ซึ่งการตัดสินใจในส่วนนี้ของเราทำให้แม่ไม่พอใจมากๆค่ะ

ตอนเราออกจากบ้านไป แม่โมโหมาก แม่ด่าทอเราเป็นลูกอกตัญญู และสาปแช่งเราให้เราชิปหาย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องล้มเหลว ถึงจะเสียใจแต่เราก็ดื้อดึงออกจากบ้านไปอยู่ดีค่ะ ท้ายที่สุดแม่ก็ตัดแม่ตัดลูกกับเรา

จากนั้นมาแม่ไม่พูดกับเราเลย โทรไปไม่รับ กลับบ้านไปก็ขับไสไล่ส่งเราเป็นหมูเป็นหมาเลย ถึงเราจะกราบกรานยังไงเขาก็ไม่ยอมรับ

เราเลยอยู่ตัวคนเดียวค่ะ ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ คิดจะหางานทำเลย และตอนนั้นเองที่เรื่องทุกอย่างยิ่งแย่ลงไปอีก

จู่ๆน้องสาวที่อยู่กับแม่ ก็เลิกรับโทรศัพท์เรา ฝากข้อความไว้ก็ไม่โทรกลับ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยโทรถามพ่อค่ะ
พ่อบอกว่า น้องโทรมาร้องไห้กับพ่อประจำว่า เพราะเราไม่อยู่บ้าน น้องสาวเรากลายเป็นคนรับเคราะห์แทนเราทั้งหมด แม่พูดจาไม่ดีใส่น้องทุกวัน ทั้งโมโห ทั้งด่าประจาน แบบเดียวกับที่เราเคยโดนแหละค่ะ น้องเราเครียดมาก รับไม่ได้ที่ต้องโดนแบบนี้ (เพราะน้องไม่เคยโดนมาก่อน) เลยพาลโกรธเรา ที่เราออกจากบ้านไป ทิ้งให้น้องต้องโดนอยู่คนเดียว

พ่อเลยเกลี้ยกล่อมให้เรากลับไปขอขมาแม่ซะ แล้วก็กลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม
เราเลยต้องจำใจกลับมาอยู่กับแม่อีกครั้งค่ะ แต่ตอนนี้อะไรๆก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไหร่ ถึงแม้จะเลิกด่าน้องแล้วมาลงที่เราแทน แต่ความรู้สึกของน้องเรากู้คืนกลับมาไม่ได้ ตอนนี้น้องเกลียดเราไปแล้วค่ะ น้องบอกว่าเราทิ้งให้เขาต้องเจอเรื่องร้ายๆอยู่คนเดียว

แล้วยิ่งตอนนี้น้องสาวเราก็ออกจากบ้านไปเรียนมหาลัยแล้วค่ะ ทำให้เราขาดตัวกลางสื่อสารกับแม่ไปโดยปริยาย
ตอนนี้เรากับแม่อยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าไม่สบตา แล้วแยกย้ายเข้าห้องกันไปค่ะ

ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายามนะคะ เราหาเรื่องชวนคุยทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ทุกครั้งที่คุยกันแม่ก็ต้องหาเรื่องเราทุกที
อย่างเมื่อเย็นนี้เราพยายามคุยกับแม่เรื่องน้องสาวที่ไปเรียนมหาลัย บทสนทนาเริ่มต้นอย่างปกติธรรมดามากๆ แต่กลับจบด้วยถ้อยคำที่ทำให้เราต้องกลับเข้าห้องไปร้องไห้เป็นชั่วโมง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ถามว่า ทำไมถึงไม่ออกจากบ้านไปหางานทำล่ะ
คำตอบคือ ทำไม่ได้ค่ะ เพราะบ้านเรามีธุรกิจส่วนตัวเล็กๆอยู่ แม่เราเป็นคนบริหาร เป็นคนลงไปควบคุมงาน โดยให้เราเป็นคนทำงานเอกสาร บัญชี ประกันสังคมค่ะ แม่เราทำเอกสารไม่เป็น ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ แต่ไม่คิดจะใช้ค่ะ (เคยอาสาสอนคอมให้ เขาก็ด่าเราว่าอกตัญญู) ดังนั้น ถ้าเราออกจากบ้านไป ธุรกิจของแม่ต้องพังแน่นอนค่ะ (พ่อกับน้องเป็นห่วงตรงส่วนนี้ที่สุดค่ะ ธุรกิจที่บ้านเป็นรายได้เพียงหนึ่งเดียวของบ้านค่ะ)

อีกทั้งพ่อ น้อง และคนใกล้ตัว ก็หวังให้เราอยู่ช่วยงานและรองรับอารมณ์ของแม่ต่อไปด้วย

ปัญหาในตอนนี้ คือ บ้านที่เหลือเพียงเรากับแม่สองคนแบบนี้ เราจะสื่อสารกับแม่ยังไงดีคะ อย่างน้อยๆเรื่องธุรกิจก็ต้องประสานงานกัน แต่แค่อ้าปากก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ตลอด อีกอย่างนึง นอกจากจะพูดกันด้วยไม่ได้แล้ว แม่เรายังไม่ยอมรับการสื่อสารช่องทางอื่นเลย ทั้งโน๊ต ทั้งจดหมาย เพราะเราเคยเขียนจดหมายหาแม่แล้ว พบว่าแม่ขยำมันทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้แกะอ่านค่ะ

ส่วนปัญหาในอนาคต คือ เราไม่มีรายได้ค่ะ เพราะไม่สามารถออกไปทำงานได้ เมื่อก่อนเราเคยรับจ๊อบวาดรูปตามถนนคนเดินแถวมหาลัยค่ะ มีเงินเก็บนิดหน่อย แต่ตอนนี้เรากลับมาอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดแล้ว บ้านห่างจากตัวอำเภอ 30 กิโลค่ะ ไม่มีรถใช้ (บ้านเรามีหนี้ก้อนใหญ่อยู่ ไม่สามารถซื้อรถยนต์ได้) อยู่ในถิ่นชนบทที่มีรถสองแถวผ่านวันละ 5 คันเท่านั้นค่ะ จึงมีปัญหาในการเดินทางมาก ดังนั้น เรื่องการหาอาชีพเสริมขณะที่อยู่บ้านจึงเป็นเรื่องยากค่ะ

สรุปคือ ในตอนนี้ ตัวเรานอกจากจะต้องทนอยู่กับแม่ที่พูดคุยด้วยไม่ได้แล้ว ยังไม่สามารถออกจากบ้านโดยทิ้งภาระหน้าที่ความเป็นลูกและธุรกิจของที่บ้านไว้อีกด้วย

มีทางที่เราจะคุยกับแม่ได้บ้างมั้ยคะ? อย่างน้อยก็อยากให้ท่านได้รับฟังบ้างสักนิดก็ยังดี

เราพยายามเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่แม่เป็นนะ เรารักแม่มาก แม่เราเป็นผู้หญิงที่สวย เก่งและฉลาด ตอนเด็กเราอยากเป็นแบบแม่มาโดยตลอด อยากเข้มแข็งให้ได้สักครึ่งนึงของแม่

แต่ตอนนี้อะไรๆก็ดูแย่ไปเสียหมด



ป.ล. แก้ไขคำหยาบคายที่โดนเซ็นเซอร์ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
อมยิ้ม04..น้าเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านเรื่องราวของน้อง จขกท. คงคิดเห็นออกมาในแนวทางเดียวกัน
แต่ก็รู้อีกว่า หากพูดออกมา ..ไม่แคล้วจะดูเป็นคนอกตัญญู ..
แล้วเจ้ากรรม.. สังคมไทยเราก็ดันให้ความสำคัญกับการ "กตัญญู" เสียด้วยสิ ..
..ไม่แคล้วน้าจะต้องยอม "พลีชีพ" แนะนำซะแล้ว ^^

น้าเดาอายุหนู จขกท. ว่าอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ .. หนูเคยบอกว่า แม่ยังดูเป็น "วัยรุ่น" .. ก็อนุมานว่าเค้ามีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย
ถ้าเค้ามีลูกตอนอายุเท่าๆ หนู หรืออ่อนกว่าหนู คือเคยเป็นคุณแม่วัยทีน .. ณ ตอนนี้ แม่หนู คงอายุ 30 ปลายๆ - 40 ต้นๆ
..เผลอๆ จะอ่อนกว่าน้า ซึ่งเลยหลักสี่ มา 3 ป้ายแล้ว ( และจะทำให้จาก..น้า ..ต้องขยับไปเป็น..ป้า.. )

..ในส่วนที่บอกว่าเค้าไม่มีความรู้เรื่องเอกสาร การใช้คอมพิวเตอร์ .. ( แต่ดันเล่น social ได้นะ ..)
ซึ่งคนในวัย 30 กว่า 40 ต้นๆ รุ่นราวคราวเดียวกับน้า ..เราก็ได้ใช้คอมพิวเตอร์นะ ..น้าน่ะรุ่น RW CW จอ mono เขียว
Word , Excel นี่น่าจะใช้งานได้ ไม่มากก็น้อย .. เมื่อบอกว่า เค้าใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับนี้ไม่ได้ งานเอกสารไม่สันทัด
..ก็อนุมานได้ว่า เค้าอาจเรียนไม่สูง เรียนไม่จบ ไม่เคยทำงานออฟฟิศที่เกี่ยวข้องกับงานเอกสาร

..ในความปากร้าย ปากจัด นิยมการใช้คำพูดหยาบคาย และการระเบิดอารมณ์ .. มันสะท้อนพื้นหลังของครอบครัวเค้า
การถูกเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม ระดับการศึกษา .. ซึ่งนานวันเข้า สิ่งที่ทำบ่อยๆ จนเคยตัว ก็กลายเป็น "นิสัย"
..หากหยั่งรากลึกลงไปอีก ก็จะกลายเป็น "นิสัยถาวร"
คนที่หนักใจ ไม่มีความสุข จะเครียดตายเสียก่อน ก็คือคนที่อยู่รอบข้าง

..ในเมื่อเค้าเป็นของเค้าแบบนี้ .. ถึงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ..
พ่อของหนู ซึ่งเป็นคนที่เคยคิดว่าผู้หญิงคนนี้แหละที่ชั้นรัก และอยากให้เป็นแม่ของลูก .. ยังทนไม่ไหว รีบชิ่งไปก่อนเลย..
( แล้วยังกล้าแนะนำให้ลูกไปขอโทษแม่ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วให้กลับไปรองรับอารมณ์แม่เนี่ยนะ !!
ตัวเองยังรีบเผ่นเลยน้อ..  )

..สิ่งที่จริงแท้แน่นอน คือ เราไม่สามารถเลือกเกิดเองได้ .. แต่เราสามารถเลือกทางเดินชีวิตของเราเองได้นะ ..
หนูโตพอ มีความคิดความอ่าน มีความรับผิดชอบ และมีวิชาความรู้ ความสามารถ ที่พอจะดูแลตัวเองได้ ..
..ถ้าหนูเป็นหลานน้า ..น้าจะแนะนำให้หนู "โกยเถอะโยม" ..รีบย้ายออกมาจาก "บ้าน" ที่เหมือน "ขุมนรก" มากกว่า
แม่ ..ไม่ได้ทำตัวให้สมกับเป็นแม่ ..กลับทำตัวเป็นนางมารร้าย ที่สร้างแต่ความเครียด ความกดดันให้คนรอบข้าง ..
..ตัวเค้าเอง ก็คงเครียดจากหลายๆ อย่าง เพราะดูทรงแล้ว เค้ามีปัญหาสุขภาพจิตขั้นวิกฤติแล้วล่ะ ..

แต่เค้ายังมีวิธีระบายออก ด้วยการวีน การเหวี่ยง ด่าทอด้วยคำหยาบ ด้วยการมโนไปตามประสบการณ์ที่ตัวเองเคยทำ เคยเป็น..
การทำให้คนอื่นได้อาย ได้ขายหน้าในที่สาธารณะ .. เค้าก็คงสบายใจขึ้นมาหน่อย
..แต่คนที่ต้องรองรับอารมณ์เค้า แล้วต้องมานั่งเก็บกด เพราะคำว่า "กตัญญู" มาค้ำคอนี่สิ ..
น้าว่าจะบ้าตายก่อน ..

ดังนั้น แม้จะดูเป็นการขัดต่อค่านิยมของสังคม .. แต่ในเมื่อบริบทของหนู ไม่เอื้อให้ทำแบบนั้นได้
เราก็ต้องเห็นแก่ตัวบ้างแล้วล่ะค่ะ ..
..คนแบบแม่หนู บางทีต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของเค้า ..
เรื่องกิจการร้านรวงอะไรก็ตาม เค้าก็มีคนช่วย ถ้าหนูไม่ทำเอกสารให้สักคน เค้าก็คงสามารถจ้างเด็กมาทำแทนได้ค่ะ
ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส ขนาดเค้าจะไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาเองได้หรอกหนู ...

..หนูถอยออกจากสภาพ - บรรยากาศที่ไม่ก่อให้เกิดความสุข ความเจริญอะไรนี้ มาก่อนค่ะ
ไม่ต้องห่วงเรื่องคำสาปแช่งจากปากเค้าหรอกค่ะ ..
ถึงจะมีความเชื่อว่า คำสาปแช่งจากปากพ่อแม่นั้นศักดิ์สิทธิ์ .. แต่ถ้าเป็นคำที่ออกมาจากการขาดสติ พูดไปเรื่อย ของคนจิตไม่ปกติ
น้าว่าไม่นับนะ ..
..และน้าเชื่อในเรื่องที่ว่า "กรรม คือการกระทำและผลของการกระทำ"
ถ้าหนูคิดดี ทำดี ปฏิบัติดี..ชีวิตหนูคงไม่ตกอับ เพราะแม่แช่งให้ ship หายหรอกค่ะ

แต่ก็ไม่ได้จะให้ถึงขั้นตัดแม่ตัดลูก ..ตายไม่ต้องเผาผีกันหรอกนะคะ..
หนูสนิทกับคนงานที่บ้านบ้างมั้ยล่ะ .. หาคนไว้ใจได้ คอยส่งข่าวให้หนูทราบความเป็นไปของแม่เค้าละกันค่ะ

..ด้วยวัยของน้า น้า เป็น "แม่ของลูก" และก็ยังเป็น "ลูกของแม่" พ่วงสถานะ "ลูกสะใภ้ของแม่ย่า" ด้วย
น้าเห็นมาเยอะแล้วกับเหตุการณ์แบบที่หนูเจอ ..
..เราจึงควรเข้าใจว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับ บทบาท - หน้าที่ - ความรับผิดชอบ..
ซึ่งยิ่งเราโตขึ้น เราก็ยิ่งมีบทบาทมากขึ้น ..หน้าที่และความรับผิดชอบ ก็จะตามมา
และในบางสถานการณ์ เราก็ต้องตัดสินใจเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะบางทีมันก็มี conflict
ยกตัวอย่าง ลูกเป็นตำรวจ ไปจับคนลักลอบเล่นการพนัน ..บุกเข้าไป เจอแม่ตัวเองนั่งจั่วอยู่ ..
ลูกจะเลือกเป็นตำรวจที่ดี หรือเป็นลูกกตัญญู ??

..ยังไงก็ตาม นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของน้านะ ..
ส่วนหนู จขกท. จะตัดสินใจยังไงกับชีวิตตัวเอง หนูคงต้องตัดสินใจเองแล้วล่ะค่ะ
และขอให้โชคดีค่ะ ดอกไม้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่