เพื่ออรรถรสในการอ่านบทความเปิดเพลงในlinkคลอฟังไปด้วยครับ
"มันแค่ทําน้ำตาให้ไหลแค่ร้องไห้ดังดัง แค่นั้นก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการ
ได้มีรถของเล่นที่เหมือนกับเพื่อนเขามีกัน ก็รู้พ่อทนไม่นานที่เห็นผมเสียใจ
ผ่านมาก็เริ่มสงสัยว่าตัวกับใจนี้โตเกินวัยหรือเปล่า นี่คือเหงาหรือใจมันใหญ่ไป
พ่อครับเขาว่าความรักนั้นมาเติมเต็มที่ว่างในใจ อยากรู้มีขายที่ไหนหรือเปล่า
ก็เมื่อได้เห็นเพื่อนเขารักกัน อย่างนั้นผมควรจะยินดีให้
แต่ว่าปัญหาเพราะว่าเธอคนนั้นผมรักของผมอย่างมากมาย แล้วผมต้องทํายังไงให้เขาทิ้งกัน
มันต้องใช้น้ำตาแค่ไหนต้องร้องไห้กี่ครั้ง ให้เขาและเธอทิ้งขว้างความรักแล้วเลิกลา
ให้เธอเห็นว่ารักของผมให้เธอได้มากกว่าต้องใช้สักกี่น้ำตาให้เธอเห็นใจ"
เพลง"รถของเล่น" ที่ประกอบ ซีรีส์ Hormones ตอนล่าสุดหลังดูจบเพลงนี้ยังหลอกหลอนอยู่ในหัวตลอด แปลกดีที่เวอร์ชั่น MV ปาไป20ล้านวิว แล้วแต่เพิ่งได้ฟังจากซีรีส์ฮอร์โมนตอนธีร์นี่เองครับฟังไปหลายสิบรอบเลย เนื้อเพลงลึกซึ้งมากทีเดียวคิดว่าคนแต่งเพลงน่าจะมีความเข้าใจโลกดีในระดับนึง เข้ากับเนื้อหาเศร้าๆของตอนนี้ได้ดีมาก
พอฟังไปแล้วคิดตาม ก็คิดว่าสามารถเอามาเขียนบทความสอนใจพ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆได้ จริงๆสอนใจผู้ใหญ่ก็ได้อยู่เหมือนกัน
จากเนื้อเพลงโดยสรุปออกมาประมาณว่าเด็กน้อยที่มีรถไขลานของเล่นอยู่คันนึงก็เล่นสนุกดี จนเห็นเพื่อนมีรถแบบใหม่ที่วิ่งเร็วกว่าเท่กว่าก็อยากได้ สิ่งที่เด็กน้อยทำคือร้องไห้งอแงดังๆ เพราะรู้ว่าพ่อทนไม่ได้แน่ สุดท้ายก็ได้รถของเล่นคันใหม่มา เหมือนเด็กหลายๆคนที่เราเห็นตามแผนกของเล่นในห้างนึกออกมั้ยครับ หรือพ่อแม่หลายๆคนในนี้อาจมีลูกที่ทำพฤติกรรมแบบนี้อยู่บ้าง ที่เวลาอยากได้ของเล่นก็ลงไปชักดิ้นชักงอร้องกรี๊ดบนพื้น ให้พ่อแม่ได้อับอายหน้าชากันไป จนต้องยอมซื้อของเล่นให้ เรื่องมันไม่จบแค่นี้เมื่อเด็กน้อยโตขึ้นกลับมีความรักตามวัย แต่ดันไปชอบแฟนเพื่อน เจ้าเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นก็คิดว่า ถ้าร้องไห้ใช้น้ำตาให้เธอเห็นอาจได้ความรักมา เหมือนที่พ่อยอมซื้อรถของเล่นให้ตอนเด็กๆแต่ในโลกความจริง โลกของผู้ใหญ่มันไม่เป็นอย่างนั้น การร้องไห้ชักดิ้นชักงอแล้วจะได้อะไรมามันไม่มีอยู่จริง สิ่งที่ได้รับกลับมา จะเป็นความสมเพชเวทนาของคนที่พบเห็นมากกว่า
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พอแม่"ต้อง"สอนลูกให้เรียนรู้ตั้งเล็กๆ ให้รู้ว่าการจะได้อะไรมาต้องผ่านการอดทนรอคอย และการชักดิ้นชักงอเพื่อเอาชนะ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การสอนนี้เริ่มได้ตั้งแต่พอเด็กเริ่มรู้ความในวัยก่อนเข้าโรงเรียนครับ (preschool age 2-5 ขวบแล้วแต่จะจำกัดความ) มีเทคนิคหนึ่งที่เรียกว่า Delayed gratification หรือ deferred gratification คือการสอนให้อดทนรอคอย
มีการทดลองหลายๆการทดลองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ที่เป็นต้นแบบและถูกหยิบหยกเป็นการทดลองคลาสสิค คือ Marshmallow experiment โดยนักจิตวิทยา Walter Mischel แห่งมหาวิทยาลัย Stanford โดยการทดลองมาร์ชเมลโล่วนี้มีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อศึกษาการควบคุมพฤติกรรมของเด็กต่อสิ่งยั่วยวนใจครับ โดยได้ข้อสรุปออกมาว่าเด็กๆที่รู้จักอดทนรอคอย ไม่ถูกล่อหรือยั่วยวนด้วยของรางวัลเล็กน้อยทันที (immediate reward) แต่รอคอยของรางวัลที่ดีกว่า จะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จในการเรียน คะแนนสอบและชีวิตมากกว่า
Stanford Marshmallow experiment เป็นการศึกษา ใช่วงปี 1960's 1970's และมีการศึกษาติดตามผู้เข้าร่วมต่อเนื่องจากการทดลองนี้มาจนถึงปัจจุบัน
การทดลองมาร์ชเมลโล่นี้มีขั้นตอนง่ายๆคือใช้เด็กในช่วงอายุ 4-6 ขวบ จำนวน 600 คนในการทดลอง โดยแบ่งเป็นช่วงๆ ช่วงละประมาณ 30 คน ให้อยู่ในห้องนั่งบนเก้าอี้แล้ววางขนม เช่น มาร์ชเมลโล่ โอรีโอ้ วางเอาไว้บนโต๊ะข้างหน้าเด็ก โดยผู้ควบคุมการทดลองอธิบายให้เด็กเข้าใจชัดเจนว่า อีกสักครู่ผู้ควบคุมการทดลองจะออกไปข้างนอก 15 นาที เด็กๆสามารถเลือกที่จะกินขนมทันทีหลังจากที่ผู้ควบคุมการทดลองออกจากห้องไปเลยก็ได้แต่จะกินได้ 1 ชิ้นเท่านั้น แต่หากเด็กๆอดทนรอได้ 15 นาทีโดยที่ไม่กินขนม เมื่อผู้ควบคุมการทดลองกลับมา เด็กๆจะได้รับรางวัลเป็นขนมอีก1ชิ้น รวมเป็น2ชิ้น จากนั้นผู้ควบคุมการทดลองก็ออกไป แล้วเฝ้าสังเกต พบว่าเด็กส่วนหนึ่งกินขนมทันที เด็กอีกส่วนนึงพยายามปิดตาไม่มองขนม บางคนก็หันหลังให้โต๊ะที่วางขนม บางคนเตะโต๊ะแต่ก็อดทนและมีอีกส่วนหนึ่งที่สามารถรอจนครบ 15 นาที
ดูตัวอย่างการทดลองมาร์ชเมลโล่วได้ในลิงค์ครับ

การทดลองไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีการศึกษาต่อเนื่องเพิ่มเติม (follow up study) อีกหลายครั้ง
ครั้งแรกในปี 1988 เมื่อติดตามไปพบว่าเด็กที่สามารถอดทนรอคอยได้นาน เป็นกลุ่มที่พ่อแม่ให้ความเห็นว่าเป็นคนที่มีความสามารถมากกว่าเด็กอีกกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ผู้ควบคุมการทดลองในตอนแรก ประหลาดใจไปเหมือนกัน เพราะไม่คาดว่าจะมีผลต่อเนื่องเช่นนี้
การศึกษาต่อเนื่องเพิ่มเติมในปี (follow up study) 1990 พบว่าเด็กที่สามารถอดทนรอคอยได้นานในการทดลองครั้งแรกนั้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมีคะแนน SAT scores (คะแนนทดสอบเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในอเมริกา) ที่สูงกว่า
จากนั้นในปี 2011 ได้มีการศึกษาโดยการสแกนสมองของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการทดลอง Marshmallow ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน สแกนโดยใช้เครื่อง fMRI โดยมีสิ่งเร้าให้กลุ่มตัวอย่างได้ดูเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของสมอง
พบว่าการทำงานของสมองส่วน prefrontal cortex (สมองส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผนและการคิด) active มากกว่าในกลุ่มที่อดทนรอได้นาน
และการทำงานของสมองส่วน ventral striatum (สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสพย์ติด) active มากกว่าในกลุ่มที่อดทนรอไม่ได้
เราสามารถนำการทดลองมาร์ชเมลโล่มาปรับใช้ในชีวิตและการเลี้ยงลูกอย่างไรได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ลูกอยากดูการ์ตูนก่อนทำการบ้าน (นี่น่าจะเป็นปัญหาที่หลายๆบ้านเจอ) ถ้าคุณแม่อยากให้ลูกแค่ทำการบ้าน ก็ให้ดูการ์ตูนก่อนก็จบไป แต่ในความจริงมันไม่จบเพราะนี่เป็นการบ่มเพาะปลูกฝังให้เด็กได้รางวัลทันทีทันใจ โดยไม่ต้องรออะไรเลยไม่ต้องทำอะไรให้สำเร็จ แต่ถ้าอยากสร้างนิสัยในการอดทนรอคอยให้ลูก ลองใช้เทคนิคของ delayed gratification เข้ามา คุณแม่อาจจะตั้งเงื่อนไขว่า "ถ้าลูกอยากดูการ์ตูนก่อนก็ได้ แต่ลูกจะได้ดูการ์ตูน5นาที แล้วต้องไปทำการบ้าน แต่ถ้าลูกทำการบ้านให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นแม่จะพาไปเล่นสนามเด็กเล่น และให้กลับมาดูการ์ตูนต่อ10นาที" นี่เป็นการฝึกแบบง่ายๆ โดยธรรมชาติของเด็ก เด็กที่เล็กมากๆย่อมอยากได้รางวัลทันทีไม่อยากรอ แต่เมื่อฝึกด้วยเงื่อนไขแบบนี้บ่อยๆเด็กจะรู้จักการอดทนรอคอย และควบคุมอารมณ์ความต้องการของตัวเอง ซึ่งจะฝังไปกลายเป็นนิสัยติดตัวเมื่อโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว เช่น ช่วงใกล้สอบอยากไปดูหนังแต่ยังอ่านหนังสือไม่จบ แต่รู้ด้วยตัวเองว่ารางวัลของการสอบครั้งนี้คือเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งแม่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี ให้อดทนรอคอยสิ่งที่ดีกว่า ก็จะสามารถอดใจไม่ไปดูหนัง แต่อ่านหนังสือสอบเพื่อเกียรตินิยมได้
เราบอกกันเสมอว่าสอนลูกเล็กๆใช้เหตุผลได้ตลอดตั้งแต่เค้าเด็กๆ เมื่อมีเหตุผลลูกจะเข้าใจและไม่เอาแต่ใจ จะไม่เกิดปัญหาการชักดิ้นชักงอลงไปร้องไห้ หรือถ้าเกิดปัญหาแบบนี้พ่อแม่ก็ต้องใจแข็ง เป็นการฝึกใจตัวเองด้วย หากจำเป็นก็ต้องมีการลงโทษ เช่นการ timeout งดการ์ตูน งดขนม อะไรก็ว่าไป พร้อมอธิบายเหตุผลให้เหมาะสม ว่าการที่หนูลงไปร้องดิ้นให้คนอื่นเห็น ทำให้พ่อแม่เสียใจที่คนอื่นเห็นว่าหนูไม่น่ารัก ถ้าหนูไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ หนูอย่าทำอีก มีอะไรอยากได้อะไรให้คุยกัน ฝึกให้เด็กเรียนรู้ที่จะใช้คำพูดอธิบายบอกความต้องการ มากกว่าการใช้ท่าทางแสดงออก ซึ่งแน่นอนว่ายากในช่วงแรก แต่ถ้าพ่อแม่อดทนและเพียรพยายาม ผลสำเร็จจะเป็นเรื่องน่าชื่นชมมากครับ
เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้อย่าตามใจลูก พูดปฏิเสธ ใช้คำว่า "ไม่" อย่างหนักแน่น อย่าให้ลูกเห็นว่าใช้ความรักของพ่อแม่เป็นจุดอ่อนในการเอาแต่ใจตัวเองได้ถ้าเด็กทำได้และพ่อแม่ยอมให้หลายๆครั้งก็จะบ่มเพาะเป็นนิสัยติดตัวกลายเป็นคนเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ ถือเป็นการทำร้ายลูกด้วยความรักของพ่อแม่นะครับ
สรุปสุดท้ายการฝึกฝนลูกให้รู้จักอดทนรอคอย ด้วยเทคนิค Delayed gratification จะทำให้เค้าเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักสร้างผลงานสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่างอดทน โดยไม่คว้าเอาความพอใจประเดี๋ยวประด๋าวที่สุขชั่วคราวแล้วจบไป นี่เป็นจุดง่ายๆที่สามารถฝึกฝนได้เพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แต่เด็กๆนะ ผู้ใหญ่ก็ฝึกได้ เช่น ไม่สูบบุหรี่วันนี้ เพื่ออายุยืนยาวในวันข้างหน้า ไม่ใช้เงินช้อปปิ้งตอนนี้เพื่อมีเงินเก็บไปเที่ยวรอบโลกอะไรก็ได้ที่เป็นแรงจูงใจให้เราประสบความสำเร็จ ฝึกลูกและฝึกตัวเองไปพร้อมๆกันนะครับ
ส่วนเรื่องของธีร์ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าธีร์จะได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะใช้สักกี่น้ำตาก็เอาความรักที่ผ่านไปแล้วกลับมาไม่ได้ และคงเข้มแข็งขึ้นเพื่อรอความรักครั้งใหม่ที่ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป ^^
รถของเล่น ฮอร์โมน มาร์ชเมลโล่ว และการอดทนรอคอย
"มันแค่ทําน้ำตาให้ไหลแค่ร้องไห้ดังดัง แค่นั้นก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการ
ได้มีรถของเล่นที่เหมือนกับเพื่อนเขามีกัน ก็รู้พ่อทนไม่นานที่เห็นผมเสียใจ
ผ่านมาก็เริ่มสงสัยว่าตัวกับใจนี้โตเกินวัยหรือเปล่า นี่คือเหงาหรือใจมันใหญ่ไป
พ่อครับเขาว่าความรักนั้นมาเติมเต็มที่ว่างในใจ อยากรู้มีขายที่ไหนหรือเปล่า
ก็เมื่อได้เห็นเพื่อนเขารักกัน อย่างนั้นผมควรจะยินดีให้
แต่ว่าปัญหาเพราะว่าเธอคนนั้นผมรักของผมอย่างมากมาย แล้วผมต้องทํายังไงให้เขาทิ้งกัน
มันต้องใช้น้ำตาแค่ไหนต้องร้องไห้กี่ครั้ง ให้เขาและเธอทิ้งขว้างความรักแล้วเลิกลา
ให้เธอเห็นว่ารักของผมให้เธอได้มากกว่าต้องใช้สักกี่น้ำตาให้เธอเห็นใจ"
เพลง"รถของเล่น" ที่ประกอบ ซีรีส์ Hormones ตอนล่าสุดหลังดูจบเพลงนี้ยังหลอกหลอนอยู่ในหัวตลอด แปลกดีที่เวอร์ชั่น MV ปาไป20ล้านวิว แล้วแต่เพิ่งได้ฟังจากซีรีส์ฮอร์โมนตอนธีร์นี่เองครับฟังไปหลายสิบรอบเลย เนื้อเพลงลึกซึ้งมากทีเดียวคิดว่าคนแต่งเพลงน่าจะมีความเข้าใจโลกดีในระดับนึง เข้ากับเนื้อหาเศร้าๆของตอนนี้ได้ดีมาก
พอฟังไปแล้วคิดตาม ก็คิดว่าสามารถเอามาเขียนบทความสอนใจพ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆได้ จริงๆสอนใจผู้ใหญ่ก็ได้อยู่เหมือนกัน
จากเนื้อเพลงโดยสรุปออกมาประมาณว่าเด็กน้อยที่มีรถไขลานของเล่นอยู่คันนึงก็เล่นสนุกดี จนเห็นเพื่อนมีรถแบบใหม่ที่วิ่งเร็วกว่าเท่กว่าก็อยากได้ สิ่งที่เด็กน้อยทำคือร้องไห้งอแงดังๆ เพราะรู้ว่าพ่อทนไม่ได้แน่ สุดท้ายก็ได้รถของเล่นคันใหม่มา เหมือนเด็กหลายๆคนที่เราเห็นตามแผนกของเล่นในห้างนึกออกมั้ยครับ หรือพ่อแม่หลายๆคนในนี้อาจมีลูกที่ทำพฤติกรรมแบบนี้อยู่บ้าง ที่เวลาอยากได้ของเล่นก็ลงไปชักดิ้นชักงอร้องกรี๊ดบนพื้น ให้พ่อแม่ได้อับอายหน้าชากันไป จนต้องยอมซื้อของเล่นให้ เรื่องมันไม่จบแค่นี้เมื่อเด็กน้อยโตขึ้นกลับมีความรักตามวัย แต่ดันไปชอบแฟนเพื่อน เจ้าเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นก็คิดว่า ถ้าร้องไห้ใช้น้ำตาให้เธอเห็นอาจได้ความรักมา เหมือนที่พ่อยอมซื้อรถของเล่นให้ตอนเด็กๆแต่ในโลกความจริง โลกของผู้ใหญ่มันไม่เป็นอย่างนั้น การร้องไห้ชักดิ้นชักงอแล้วจะได้อะไรมามันไม่มีอยู่จริง สิ่งที่ได้รับกลับมา จะเป็นความสมเพชเวทนาของคนที่พบเห็นมากกว่า
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พอแม่"ต้อง"สอนลูกให้เรียนรู้ตั้งเล็กๆ ให้รู้ว่าการจะได้อะไรมาต้องผ่านการอดทนรอคอย และการชักดิ้นชักงอเพื่อเอาชนะ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การสอนนี้เริ่มได้ตั้งแต่พอเด็กเริ่มรู้ความในวัยก่อนเข้าโรงเรียนครับ (preschool age 2-5 ขวบแล้วแต่จะจำกัดความ) มีเทคนิคหนึ่งที่เรียกว่า Delayed gratification หรือ deferred gratification คือการสอนให้อดทนรอคอย
มีการทดลองหลายๆการทดลองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ที่เป็นต้นแบบและถูกหยิบหยกเป็นการทดลองคลาสสิค คือ Marshmallow experiment โดยนักจิตวิทยา Walter Mischel แห่งมหาวิทยาลัย Stanford โดยการทดลองมาร์ชเมลโล่วนี้มีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อศึกษาการควบคุมพฤติกรรมของเด็กต่อสิ่งยั่วยวนใจครับ โดยได้ข้อสรุปออกมาว่าเด็กๆที่รู้จักอดทนรอคอย ไม่ถูกล่อหรือยั่วยวนด้วยของรางวัลเล็กน้อยทันที (immediate reward) แต่รอคอยของรางวัลที่ดีกว่า จะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จในการเรียน คะแนนสอบและชีวิตมากกว่า
Stanford Marshmallow experiment เป็นการศึกษา ใช่วงปี 1960's 1970's และมีการศึกษาติดตามผู้เข้าร่วมต่อเนื่องจากการทดลองนี้มาจนถึงปัจจุบัน
การทดลองมาร์ชเมลโล่นี้มีขั้นตอนง่ายๆคือใช้เด็กในช่วงอายุ 4-6 ขวบ จำนวน 600 คนในการทดลอง โดยแบ่งเป็นช่วงๆ ช่วงละประมาณ 30 คน ให้อยู่ในห้องนั่งบนเก้าอี้แล้ววางขนม เช่น มาร์ชเมลโล่ โอรีโอ้ วางเอาไว้บนโต๊ะข้างหน้าเด็ก โดยผู้ควบคุมการทดลองอธิบายให้เด็กเข้าใจชัดเจนว่า อีกสักครู่ผู้ควบคุมการทดลองจะออกไปข้างนอก 15 นาที เด็กๆสามารถเลือกที่จะกินขนมทันทีหลังจากที่ผู้ควบคุมการทดลองออกจากห้องไปเลยก็ได้แต่จะกินได้ 1 ชิ้นเท่านั้น แต่หากเด็กๆอดทนรอได้ 15 นาทีโดยที่ไม่กินขนม เมื่อผู้ควบคุมการทดลองกลับมา เด็กๆจะได้รับรางวัลเป็นขนมอีก1ชิ้น รวมเป็น2ชิ้น จากนั้นผู้ควบคุมการทดลองก็ออกไป แล้วเฝ้าสังเกต พบว่าเด็กส่วนหนึ่งกินขนมทันที เด็กอีกส่วนนึงพยายามปิดตาไม่มองขนม บางคนก็หันหลังให้โต๊ะที่วางขนม บางคนเตะโต๊ะแต่ก็อดทนและมีอีกส่วนหนึ่งที่สามารถรอจนครบ 15 นาที
ดูตัวอย่างการทดลองมาร์ชเมลโล่วได้ในลิงค์ครับ
การทดลองไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีการศึกษาต่อเนื่องเพิ่มเติม (follow up study) อีกหลายครั้ง
ครั้งแรกในปี 1988 เมื่อติดตามไปพบว่าเด็กที่สามารถอดทนรอคอยได้นาน เป็นกลุ่มที่พ่อแม่ให้ความเห็นว่าเป็นคนที่มีความสามารถมากกว่าเด็กอีกกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ผู้ควบคุมการทดลองในตอนแรก ประหลาดใจไปเหมือนกัน เพราะไม่คาดว่าจะมีผลต่อเนื่องเช่นนี้
การศึกษาต่อเนื่องเพิ่มเติมในปี (follow up study) 1990 พบว่าเด็กที่สามารถอดทนรอคอยได้นานในการทดลองครั้งแรกนั้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมีคะแนน SAT scores (คะแนนทดสอบเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในอเมริกา) ที่สูงกว่า
จากนั้นในปี 2011 ได้มีการศึกษาโดยการสแกนสมองของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการทดลอง Marshmallow ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน สแกนโดยใช้เครื่อง fMRI โดยมีสิ่งเร้าให้กลุ่มตัวอย่างได้ดูเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของสมอง
พบว่าการทำงานของสมองส่วน prefrontal cortex (สมองส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผนและการคิด) active มากกว่าในกลุ่มที่อดทนรอได้นาน
และการทำงานของสมองส่วน ventral striatum (สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสพย์ติด) active มากกว่าในกลุ่มที่อดทนรอไม่ได้
เราสามารถนำการทดลองมาร์ชเมลโล่มาปรับใช้ในชีวิตและการเลี้ยงลูกอย่างไรได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ลูกอยากดูการ์ตูนก่อนทำการบ้าน (นี่น่าจะเป็นปัญหาที่หลายๆบ้านเจอ) ถ้าคุณแม่อยากให้ลูกแค่ทำการบ้าน ก็ให้ดูการ์ตูนก่อนก็จบไป แต่ในความจริงมันไม่จบเพราะนี่เป็นการบ่มเพาะปลูกฝังให้เด็กได้รางวัลทันทีทันใจ โดยไม่ต้องรออะไรเลยไม่ต้องทำอะไรให้สำเร็จ แต่ถ้าอยากสร้างนิสัยในการอดทนรอคอยให้ลูก ลองใช้เทคนิคของ delayed gratification เข้ามา คุณแม่อาจจะตั้งเงื่อนไขว่า "ถ้าลูกอยากดูการ์ตูนก่อนก็ได้ แต่ลูกจะได้ดูการ์ตูน5นาที แล้วต้องไปทำการบ้าน แต่ถ้าลูกทำการบ้านให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นแม่จะพาไปเล่นสนามเด็กเล่น และให้กลับมาดูการ์ตูนต่อ10นาที" นี่เป็นการฝึกแบบง่ายๆ โดยธรรมชาติของเด็ก เด็กที่เล็กมากๆย่อมอยากได้รางวัลทันทีไม่อยากรอ แต่เมื่อฝึกด้วยเงื่อนไขแบบนี้บ่อยๆเด็กจะรู้จักการอดทนรอคอย และควบคุมอารมณ์ความต้องการของตัวเอง ซึ่งจะฝังไปกลายเป็นนิสัยติดตัวเมื่อโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว เช่น ช่วงใกล้สอบอยากไปดูหนังแต่ยังอ่านหนังสือไม่จบ แต่รู้ด้วยตัวเองว่ารางวัลของการสอบครั้งนี้คือเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งแม่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี ให้อดทนรอคอยสิ่งที่ดีกว่า ก็จะสามารถอดใจไม่ไปดูหนัง แต่อ่านหนังสือสอบเพื่อเกียรตินิยมได้
เราบอกกันเสมอว่าสอนลูกเล็กๆใช้เหตุผลได้ตลอดตั้งแต่เค้าเด็กๆ เมื่อมีเหตุผลลูกจะเข้าใจและไม่เอาแต่ใจ จะไม่เกิดปัญหาการชักดิ้นชักงอลงไปร้องไห้ หรือถ้าเกิดปัญหาแบบนี้พ่อแม่ก็ต้องใจแข็ง เป็นการฝึกใจตัวเองด้วย หากจำเป็นก็ต้องมีการลงโทษ เช่นการ timeout งดการ์ตูน งดขนม อะไรก็ว่าไป พร้อมอธิบายเหตุผลให้เหมาะสม ว่าการที่หนูลงไปร้องดิ้นให้คนอื่นเห็น ทำให้พ่อแม่เสียใจที่คนอื่นเห็นว่าหนูไม่น่ารัก ถ้าหนูไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ หนูอย่าทำอีก มีอะไรอยากได้อะไรให้คุยกัน ฝึกให้เด็กเรียนรู้ที่จะใช้คำพูดอธิบายบอกความต้องการ มากกว่าการใช้ท่าทางแสดงออก ซึ่งแน่นอนว่ายากในช่วงแรก แต่ถ้าพ่อแม่อดทนและเพียรพยายาม ผลสำเร็จจะเป็นเรื่องน่าชื่นชมมากครับ
เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้อย่าตามใจลูก พูดปฏิเสธ ใช้คำว่า "ไม่" อย่างหนักแน่น อย่าให้ลูกเห็นว่าใช้ความรักของพ่อแม่เป็นจุดอ่อนในการเอาแต่ใจตัวเองได้ถ้าเด็กทำได้และพ่อแม่ยอมให้หลายๆครั้งก็จะบ่มเพาะเป็นนิสัยติดตัวกลายเป็นคนเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ ถือเป็นการทำร้ายลูกด้วยความรักของพ่อแม่นะครับ
สรุปสุดท้ายการฝึกฝนลูกให้รู้จักอดทนรอคอย ด้วยเทคนิค Delayed gratification จะทำให้เค้าเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักสร้างผลงานสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่างอดทน โดยไม่คว้าเอาความพอใจประเดี๋ยวประด๋าวที่สุขชั่วคราวแล้วจบไป นี่เป็นจุดง่ายๆที่สามารถฝึกฝนได้เพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แต่เด็กๆนะ ผู้ใหญ่ก็ฝึกได้ เช่น ไม่สูบบุหรี่วันนี้ เพื่ออายุยืนยาวในวันข้างหน้า ไม่ใช้เงินช้อปปิ้งตอนนี้เพื่อมีเงินเก็บไปเที่ยวรอบโลกอะไรก็ได้ที่เป็นแรงจูงใจให้เราประสบความสำเร็จ ฝึกลูกและฝึกตัวเองไปพร้อมๆกันนะครับ
ส่วนเรื่องของธีร์ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าธีร์จะได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะใช้สักกี่น้ำตาก็เอาความรักที่ผ่านไปแล้วกลับมาไม่ได้ และคงเข้มแข็งขึ้นเพื่อรอความรักครั้งใหม่ที่ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป ^^