ไม่ทำความสำคัญในจิตใจว่ากูกินอะไร
ผักก็ไม่กิน เนื้อก็ไม่กิน ข้าวก็ไม่กิน
กินแต่อาหารที่บริสุทธิ์ที่สมณะควรจะกินที่ไม่มีโทษ
อย่าไปทำความสำคัญมั่นหมายว่า
นี้ข้าว นี้ปลา นี้เนื้อ นี้ขนม ฯลฯ อย่าไปทำ
ถ้าไปทำความสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไร
ผิดหลักธรรมะ เพราะยึดมั่นในสิ่งนั้น
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ไม่สำคัญมั่นหมาย
ว่าอะไรเป็นอะไร
ให้ถือว่าเป็นธาตุ เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมดา
บท ปัจจเวขณ์ ยถาปัจจยัง
วันแรกบวชที่เขาให้บวชให้เรียนนั้นแหละวิเศษที่สุด
ของที่กินก็สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ
ตัวคนที่กินก็ไม่มี ไม่มีคนผู้กิน
เพราะเป็นธาตุตามธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น ถ้ามันเป็นธาตุตามธรรมชาติ
ที่กินธาตุตามธรรมชาติก็ไม่มีความหมายว่า
กินผัก กินเนื้อ กินข้าว กินอะไร ไม่กินทั้งนั้นเลย
ทำจิตใจอย่างนั้นสิ จะตรงตามพระพุทธประสงค์
กินผักจนรู้ว่า ไม่ต้องกินผักโว้ย
กินข้าวจนรู้ว่า ไม่ต้องกินข้าวเว้ย
กินเนื้อจนรู้ว่า ไม่ต้องกินเนื้อแล้วเว้ย
อย่าทำในใจว่ากินเนื้อ กินข้าว กินผักเลย
ถ้าถามว่ากินอะไร?
ก็กินอาหารที่บริสุทธิ์
ที่เห็นได้ด้วยสติปัญญาว่าสิ่งนี้เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นประโยชน์ เป็นปัจจัยที่เกื้อกูลต่อชีวิต
กินเท่าที่จำเป็น
อย่ากินให้อร่อย อย่ากินให้มาก กินให้จำเป็น
เหมือนกินเนื้อลูกที่ตายกลางทะเลอย่างนั้น
พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายไว้อย่างนั้
ได้ตรัสไว้ในสูตรในมัชฌิมนิกายนั่นมี
แม้ว่าจะกินธาตุตามธรรมชาติเป็นอาหารควรแก่สมณบริโภค
ก็กินอย่างกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายเถิด
ไม่ต้องมีข้าว มีผัก มีเนื้อกันแล้ว
อาตมาจึงบอกเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกันว่า อย่าเลย
อย่าอธิษฐานกินผัก อย่าอธิษฐานกินข้าว อย่าอธิษฐานกินเนื้อเลย
ไม่กินอะไรเลย นอกจากสิ่งที่บริสุทธิ์ สมควรแก่สมณก็แล้วกัน
มันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นการกินอย่างไม่มีตัวผู้กินและถูกกิน
นี่คือไม่กินทั้งหมด
คือไม่หมายมั่นว่าอะไรเป็นอะไร
.................................................................
หมายว่านั้นเป็นเนื้อ.นั่นเป็นผัก.. แบบสันติอโศก เป้นการบิดเบือนคำสอน เทียบได้กับ เทวทัต
หนำซ้ำยกตนข่มท่าน ด้วยท่าทีเคร่งครัดที่นอกลู่นอกทาง .มุ่งหมายประโยช ทางศรัทธา เพื่อเรียกมวลชน สร้างอาณาจัร ทางการเมือง
ข้อคิดเรื่องมังสวิรัติ : ท่านพุทธทาสภิกขุ
ผักก็ไม่กิน เนื้อก็ไม่กิน ข้าวก็ไม่กิน
กินแต่อาหารที่บริสุทธิ์ที่สมณะควรจะกินที่ไม่มีโทษ
อย่าไปทำความสำคัญมั่นหมายว่า
นี้ข้าว นี้ปลา นี้เนื้อ นี้ขนม ฯลฯ อย่าไปทำ
ถ้าไปทำความสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไร
ผิดหลักธรรมะ เพราะยึดมั่นในสิ่งนั้น
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ไม่สำคัญมั่นหมาย
ว่าอะไรเป็นอะไร
ให้ถือว่าเป็นธาตุ เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมดา
บท ปัจจเวขณ์ ยถาปัจจยัง
วันแรกบวชที่เขาให้บวชให้เรียนนั้นแหละวิเศษที่สุด
ของที่กินก็สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ
ตัวคนที่กินก็ไม่มี ไม่มีคนผู้กิน
เพราะเป็นธาตุตามธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น ถ้ามันเป็นธาตุตามธรรมชาติ
ที่กินธาตุตามธรรมชาติก็ไม่มีความหมายว่า
กินผัก กินเนื้อ กินข้าว กินอะไร ไม่กินทั้งนั้นเลย
ทำจิตใจอย่างนั้นสิ จะตรงตามพระพุทธประสงค์
กินผักจนรู้ว่า ไม่ต้องกินผักโว้ย
กินข้าวจนรู้ว่า ไม่ต้องกินข้าวเว้ย
กินเนื้อจนรู้ว่า ไม่ต้องกินเนื้อแล้วเว้ย
อย่าทำในใจว่ากินเนื้อ กินข้าว กินผักเลย
ถ้าถามว่ากินอะไร?
ก็กินอาหารที่บริสุทธิ์
ที่เห็นได้ด้วยสติปัญญาว่าสิ่งนี้เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นประโยชน์ เป็นปัจจัยที่เกื้อกูลต่อชีวิต
กินเท่าที่จำเป็น
อย่ากินให้อร่อย อย่ากินให้มาก กินให้จำเป็น
เหมือนกินเนื้อลูกที่ตายกลางทะเลอย่างนั้น
พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายไว้อย่างนั้
ได้ตรัสไว้ในสูตรในมัชฌิมนิกายนั่นมี
แม้ว่าจะกินธาตุตามธรรมชาติเป็นอาหารควรแก่สมณบริโภค
ก็กินอย่างกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายเถิด
ไม่ต้องมีข้าว มีผัก มีเนื้อกันแล้ว
อาตมาจึงบอกเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกันว่า อย่าเลย
อย่าอธิษฐานกินผัก อย่าอธิษฐานกินข้าว อย่าอธิษฐานกินเนื้อเลย
ไม่กินอะไรเลย นอกจากสิ่งที่บริสุทธิ์ สมควรแก่สมณก็แล้วกัน
มันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นการกินอย่างไม่มีตัวผู้กินและถูกกิน
นี่คือไม่กินทั้งหมด
คือไม่หมายมั่นว่าอะไรเป็นอะไร
.................................................................
หมายว่านั้นเป็นเนื้อ.นั่นเป็นผัก.. แบบสันติอโศก เป้นการบิดเบือนคำสอน เทียบได้กับ เทวทัต
หนำซ้ำยกตนข่มท่าน ด้วยท่าทีเคร่งครัดที่นอกลู่นอกทาง .มุ่งหมายประโยช ทางศรัทธา เพื่อเรียกมวลชน สร้างอาณาจัร ทางการเมือง