จากคำถามที่ว่า “จริงหรือไม่อิสลามไม่ยินยอมการข่มขืนทาสและเชลยศึก?” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดได้ทั่วโลกไม่จำกัดอยู่ในเฉพาะศาสนาอิสลามเท่านั้น, มันเป็นเรื่องที่เกิดในสังคมมนุษย์ตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์อยู่บนโลกแล้ว, เมื่อจะพิจารณาอย่าง ลึกซึ้งจริงๆแล้วคำถามข้างบนนี้น่าจะเป็นคำถามของมุสลิมด้วยกัน และตอบด้วยมุสลิมด้วยกัน เป็นคำถามที่ ผู้ถามไม่แน่ใจว่าหลักการที่แท้จริงของศาสนาอิสลามนั้น ไม่มีการสอน ให้ข่มเหงสตรีเพศไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม จะทาง การข่มขืนจิตใจ,ทำร้ายร่างกาย, หรือทางเพศสัมพันธ์ ก็ตาม ไม่มีในหลักบัญญัติในอัลกุรอานที่เปรียบเสมือน กฏหมายสูงสุดของศาสนาอิสลาม ที่สอนในเรื่องนี้
กฏหมายใดๆหรือ กฏบัญญัติต่างๆที่มวลมุสลิมกำหนดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอนหรือการปฏิบัติของ,ปวงปราชญ์มุสลิม ไม่ว่าจะในสมัยตั้งแต่พันกว่าปีมาจนถึงปัจจุบัน และแม้แต่ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเองก็ตาม จะต้องไม่ขัดกับหลักบัญญัติในอัลกุรอาน, และจะต้องไม่ละเมิดบัญญัติในอัลกุรอาน ด้วยการกระทำ,การต่อเติมและการยกเลิก บัญญัติ ของอัลลอฮ์(พระเจ้าอง์เดียว)
การตอบคำถามนี้ต้องแยกประเด็นออกเป็น สองประเด็น คือ
1.ศาสนาอิสลาม
2.สังคมมุสลิม
1.ศาสนาอิสลามยึดความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวที่มีศาสดามูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ และเป็นผู้ที่ รับโองการฉบับสุดท้าย “คัมภีร์อัลกุรอาน”, และนำเอาวิทยปัญญาจากอัลกุรอาน มาประยุกต์สอนเป็นแนวทางปฏิบัติศาสนกิจ, และการใช้ชีวิตของมุสลิมในสังคมตามแนวทางที่วางไว้ในอัลกุรอาน การสอนและการปฏิบัติใดๆที่อยู่นอกขอบเขตของบริบทของ คัมภีร์อัลกุรอานแล้วถือว่าเป็น การละเมิด หรือการต่อเติม
2.สังคมมุสลิม การปฏิบัติของสังคมมุสลิมไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก หรือจะเป็นเชื้อชาติใดก็ตาม การปฏิบัติของ ชาวอรับหรือในสังคมอรับ ไม่ใช่ตัวแทนของมุสลิมทั่วโลก หรือ ไม่ไช่ตัวแทนของ คำสอนของศาสนาอิสลาม เสมอไป
ดังนั้นสังคมมุสลิมและการปฏิบัติของมุสลิมที่เลวๆ โหดร้าย ทารุณ ขาดความเมตตากรุณาปราณี จึงไม่ใช่ตัวแทนคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างแน่นอน, แต่ว่า มุสลิมเลวๆพวกนี้ เอาหลักการอะไรมาถือปฏิบัติในนามของ อัลลอฮ์และของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์, มันจะต้องมีแหล่งคำสอน เลวๆเหล่านี้ เล็ดรอดเข้ามาบะปนอยู่ในสังคมมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องที่มุสลิมจะต้องใช้ ความรู้ความฉลาดและความมีไหวพริบ ค้นหา หาความจริงเอาเอง ด้วยการศึกษา อัลกุรอานให้เข้าใจ และใช้อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาหาหลักธรรมที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม ที่สอนกันอยู่ในสังคมมุสลิม ตั้งแต่เมื่อ พันกว่าปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
การค้าขายทาสหญิง หรือ ฮาเร็ม ที่เราเคยได้ยินเป็นเรื่องเล่าตามประวัติศาสตร์และหรือการกระทำการข่มขึน บรรดาหญิงชาวคริสเตียน ใน ซีเรีย,ในอีรัค, หรือการจับกุมข่มขืนจิตใจ เด็กนักเรียนหญิงคริสเตียน 300 กว่าคน ให้เข้านับถือศาสนาอิสลาม ที่ทำในนามของ อัลลอฮ์และศาสนาอิสลาม ที่เราเห็นเป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นแต่เพียงข่าว เพื่อประนามศาสนาอิสลามโดยรวม ของชาวตะวันตก ถ้าประชนทั่วไปเข้าใจเช่นนั้น จะเป็นการเข้าใจที่ผิดมากทีเดียว
มีมุสลิมไทยเป็นจำนวนมากที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เปรียบกว่ามุสลิมไทยในสังคมไทย ที่อยู่ในสังคมไทยและรับฟังข่าวจากประเทศทางภาคตะวันออกกลาง หรือ ข่าวกรองที่ ได้รับจากสื่อในประเทศไทย ซึ่งส่วนมาก มีใจลำเอียงต่อสังคมตะวันตกอยู่แล้ว, ถึงแม้แต่ข่าว ที่ได้รับจากต่างประเทศตะวันตกและหรือ ยุโรปโดยตรง จาก CNN, BBC หรือ FOX NEWS ฯลฯ ก็ตาม เป็นข่าว แบบย่อๆสั้นๆ และ เป็นข่าวที่ รักษา Political Correctness เพื่อรักษามิครภาพ ระหว่างประเทศ ดังนั้นมุสลิม ในประเทศไทยบางกลุ่มจึงมี ใจลำเอียงต่อ ชาวยุโรปและชาวอเมริกัน เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้มีโอกาศรับฟังข่าวที่มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
จะสังเกตุได้จาก การแก้ตัวของมุสลิมหลายต่อหลายครั้ง ว่า สิ่งใดที่เลวในสังคมมุสลิมแล้ว ไม่เป็นความจริง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีของชาวตะวันตกและยุโรป, การแก้ตัวนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป ความเลวในเรื่องการปั้นน้ำเป็นตัวของนักข่าวของทั้งสองฝ่ายมีพอๆกัน มุสลิมก็เป็นมนุษย์เช่นกัน กับ Non-Muslim และมีเป้าหมายทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ ไม่ต่างไปจากประเทศตะวันตกเลย โดยเฉพาะประเทศ ซาอุดิอารเบียซึ่งกระทำการโดยกลุ่ม ซุนนีย์วะฮาบีย์ กระจายไปทั่วโลกในปัจจุบันนี้
มุสลิมในสังคมไทยบางกลุ่มรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร, อะไรถูกอะไรผิด แต่ด้วยการมีความรู้สึก ผูกพยาบาท ยิวและคริสเตียนตามประวัติศาสตร์เมื่อ หลายพันปีที่ผ่านมา ทำให้ ใช้การมองที่ผิด แทนที่จะใช้สายตามองดูโลกด้วยทัศนะคติที่ดีเพื่อหาความแท้จริง กลับใช้ตาตุ่ม ซึ่งมีอยู่ถึง 4 ตา(ตุ่ม) มองดูโลก,ซึ่งหาใช่ว่าเป็นนัยตาที่แท้จริงไม่ ไม่มีประสาทสายตาไปสู่สมองและความรู้สึกนึกคิดสำนึกไปถึง กมลสันดาน เป็นการใช้อวัยวะที่ผิด ไปมองดูโลกภายนอกและปิดดวงตาที่แท้จริงที่พระเจ้าให้มาใช้มองดูโลกแทน,เพื่อความเข้าใจค้นหาความจริง, มุสลิมบางกลุ่มที่ไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิมในปัจจุบัน จึงเปรียบเสมือน นกกระจอเทศที่ มุดหัวอยู่ในทราย ด้วยความเข้าใจว่า เมื่อทำเป็นมองไม่เห็นแล้วทุกๆสิ่งในสังคมมุสลิมจะดีขึ้นเอง
การเข้าใจอัลกุรอาน อย่างถูกต้องโดยไม่มีการลำเอียงด้วยคำสอนที่ผิดหลักการของอิสลามเข้ามาเจือบนในบัญญัติของ อัลลอฮ์ ซึ่งเราได้เห็นตัวอย่างมาแล้ว ว่า การเข้าใจอัลกุรอานโดยเชื่ออยู่แต่ผู้รู้หรือ ความคิดเห็นของ ผู้อื่นโดยขาดควาเข้าใจนั้น อาจจะทำให้มุสลิม ปฏิบัติตรงกันข้ามกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ของอัลลอฮ์ได้
ตัวอย่างเช่น....
ถ้าอัลกุรอานสอนให้เรามุสลิมมีความเข้มแข็ง,รู้จักยืนหยัดขึ้นต่อสู้ความอธรรมเพื่อป้องกันตัวเราเองและสังคมมุสลิมแล้ว,มันจำเป็นอย่างยิ่งที่มุสลิมจะต้องช่วยกันป้องกันตัวเองปกป้องตัวเองและสังคมมุสลิมอย่างฉับพลันโต้ตอบผู้รุกราน,ไม่ใช่รอคอยความช่วย เหลือจากผู้อื่น(42:39)
ดังเช่นรัฐบาล อิรัค รอคอยความช่วยเหลือ จากสหรัฐอเมริกา และหรือ อิหร่านมุสลิมด้วยกันอง ซึ่งผลออกมาให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พิสูจน์ให้เห็นความแท้จริงของอัลกุรอาน ว่า “การรอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย การ งอมืองอเท้าไม่ยืนหยัดขึ้นต่อสู้ผู้รุกรานนั้น ผลออกมามีแต่ความพ่ายแพ้ เท่านั้น, และถ้ามุสลิมไปรุกรานละเมิดเขาเช่นจับคน นอกสังคมมุสลิมไปฆ่า และเมื่อเขารุกรานตอบ ที่แรงกว่า ก็ไม่มีทางที่จะสู้กับเขาได้ ทั้งนี้เกิดจากการ ละเมิดคำสอนของอัลลอฮ์, โดยไม่เข้าใจคำจากสอนอัลกุรอาน ที่ถูกต้อง
เรื่องราวในซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี) บัญญัติที่ 24 นี้ จะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า การทำให้คำสอนง่ายๆให้เป็นคำสอนที่เข้าใจยากโดยการนำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คำสอนของพระเจ้าสอดแทรกเข้าไปในคำสอนของพระเจ้านั้น มีความแตกต่างกันอย่างไรจาก คำอธิบาย ซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี) บัญญัติที่ 24 ที่จะเสนอต่อไปนี้
"ไม่มีคำสอนในอัลกุรอานเรื่องการข่มขืนทาสเชลยศึกหญิง" แต่มันเกิดขึ้นในสังคมมุสลิมได้อย่างไร?
กฏหมายใดๆหรือ กฏบัญญัติต่างๆที่มวลมุสลิมกำหนดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอนหรือการปฏิบัติของ,ปวงปราชญ์มุสลิม ไม่ว่าจะในสมัยตั้งแต่พันกว่าปีมาจนถึงปัจจุบัน และแม้แต่ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเองก็ตาม จะต้องไม่ขัดกับหลักบัญญัติในอัลกุรอาน, และจะต้องไม่ละเมิดบัญญัติในอัลกุรอาน ด้วยการกระทำ,การต่อเติมและการยกเลิก บัญญัติ ของอัลลอฮ์(พระเจ้าอง์เดียว)
การตอบคำถามนี้ต้องแยกประเด็นออกเป็น สองประเด็น คือ
1.ศาสนาอิสลาม
2.สังคมมุสลิม
1.ศาสนาอิสลามยึดความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวที่มีศาสดามูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ และเป็นผู้ที่ รับโองการฉบับสุดท้าย “คัมภีร์อัลกุรอาน”, และนำเอาวิทยปัญญาจากอัลกุรอาน มาประยุกต์สอนเป็นแนวทางปฏิบัติศาสนกิจ, และการใช้ชีวิตของมุสลิมในสังคมตามแนวทางที่วางไว้ในอัลกุรอาน การสอนและการปฏิบัติใดๆที่อยู่นอกขอบเขตของบริบทของ คัมภีร์อัลกุรอานแล้วถือว่าเป็น การละเมิด หรือการต่อเติม
2.สังคมมุสลิม การปฏิบัติของสังคมมุสลิมไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก หรือจะเป็นเชื้อชาติใดก็ตาม การปฏิบัติของ ชาวอรับหรือในสังคมอรับ ไม่ใช่ตัวแทนของมุสลิมทั่วโลก หรือ ไม่ไช่ตัวแทนของ คำสอนของศาสนาอิสลาม เสมอไป
ดังนั้นสังคมมุสลิมและการปฏิบัติของมุสลิมที่เลวๆ โหดร้าย ทารุณ ขาดความเมตตากรุณาปราณี จึงไม่ใช่ตัวแทนคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างแน่นอน, แต่ว่า มุสลิมเลวๆพวกนี้ เอาหลักการอะไรมาถือปฏิบัติในนามของ อัลลอฮ์และของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์, มันจะต้องมีแหล่งคำสอน เลวๆเหล่านี้ เล็ดรอดเข้ามาบะปนอยู่ในสังคมมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องที่มุสลิมจะต้องใช้ ความรู้ความฉลาดและความมีไหวพริบ ค้นหา หาความจริงเอาเอง ด้วยการศึกษา อัลกุรอานให้เข้าใจ และใช้อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาหาหลักธรรมที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม ที่สอนกันอยู่ในสังคมมุสลิม ตั้งแต่เมื่อ พันกว่าปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
การค้าขายทาสหญิง หรือ ฮาเร็ม ที่เราเคยได้ยินเป็นเรื่องเล่าตามประวัติศาสตร์และหรือการกระทำการข่มขึน บรรดาหญิงชาวคริสเตียน ใน ซีเรีย,ในอีรัค, หรือการจับกุมข่มขืนจิตใจ เด็กนักเรียนหญิงคริสเตียน 300 กว่าคน ให้เข้านับถือศาสนาอิสลาม ที่ทำในนามของ อัลลอฮ์และศาสนาอิสลาม ที่เราเห็นเป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นแต่เพียงข่าว เพื่อประนามศาสนาอิสลามโดยรวม ของชาวตะวันตก ถ้าประชนทั่วไปเข้าใจเช่นนั้น จะเป็นการเข้าใจที่ผิดมากทีเดียว
มีมุสลิมไทยเป็นจำนวนมากที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เปรียบกว่ามุสลิมไทยในสังคมไทย ที่อยู่ในสังคมไทยและรับฟังข่าวจากประเทศทางภาคตะวันออกกลาง หรือ ข่าวกรองที่ ได้รับจากสื่อในประเทศไทย ซึ่งส่วนมาก มีใจลำเอียงต่อสังคมตะวันตกอยู่แล้ว, ถึงแม้แต่ข่าว ที่ได้รับจากต่างประเทศตะวันตกและหรือ ยุโรปโดยตรง จาก CNN, BBC หรือ FOX NEWS ฯลฯ ก็ตาม เป็นข่าว แบบย่อๆสั้นๆ และ เป็นข่าวที่ รักษา Political Correctness เพื่อรักษามิครภาพ ระหว่างประเทศ ดังนั้นมุสลิม ในประเทศไทยบางกลุ่มจึงมี ใจลำเอียงต่อ ชาวยุโรปและชาวอเมริกัน เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้มีโอกาศรับฟังข่าวที่มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
จะสังเกตุได้จาก การแก้ตัวของมุสลิมหลายต่อหลายครั้ง ว่า สิ่งใดที่เลวในสังคมมุสลิมแล้ว ไม่เป็นความจริง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีของชาวตะวันตกและยุโรป, การแก้ตัวนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป ความเลวในเรื่องการปั้นน้ำเป็นตัวของนักข่าวของทั้งสองฝ่ายมีพอๆกัน มุสลิมก็เป็นมนุษย์เช่นกัน กับ Non-Muslim และมีเป้าหมายทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ ไม่ต่างไปจากประเทศตะวันตกเลย โดยเฉพาะประเทศ ซาอุดิอารเบียซึ่งกระทำการโดยกลุ่ม ซุนนีย์วะฮาบีย์ กระจายไปทั่วโลกในปัจจุบันนี้
มุสลิมในสังคมไทยบางกลุ่มรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร, อะไรถูกอะไรผิด แต่ด้วยการมีความรู้สึก ผูกพยาบาท ยิวและคริสเตียนตามประวัติศาสตร์เมื่อ หลายพันปีที่ผ่านมา ทำให้ ใช้การมองที่ผิด แทนที่จะใช้สายตามองดูโลกด้วยทัศนะคติที่ดีเพื่อหาความแท้จริง กลับใช้ตาตุ่ม ซึ่งมีอยู่ถึง 4 ตา(ตุ่ม) มองดูโลก,ซึ่งหาใช่ว่าเป็นนัยตาที่แท้จริงไม่ ไม่มีประสาทสายตาไปสู่สมองและความรู้สึกนึกคิดสำนึกไปถึง กมลสันดาน เป็นการใช้อวัยวะที่ผิด ไปมองดูโลกภายนอกและปิดดวงตาที่แท้จริงที่พระเจ้าให้มาใช้มองดูโลกแทน,เพื่อความเข้าใจค้นหาความจริง, มุสลิมบางกลุ่มที่ไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิมในปัจจุบัน จึงเปรียบเสมือน นกกระจอเทศที่ มุดหัวอยู่ในทราย ด้วยความเข้าใจว่า เมื่อทำเป็นมองไม่เห็นแล้วทุกๆสิ่งในสังคมมุสลิมจะดีขึ้นเอง
การเข้าใจอัลกุรอาน อย่างถูกต้องโดยไม่มีการลำเอียงด้วยคำสอนที่ผิดหลักการของอิสลามเข้ามาเจือบนในบัญญัติของ อัลลอฮ์ ซึ่งเราได้เห็นตัวอย่างมาแล้ว ว่า การเข้าใจอัลกุรอานโดยเชื่ออยู่แต่ผู้รู้หรือ ความคิดเห็นของ ผู้อื่นโดยขาดควาเข้าใจนั้น อาจจะทำให้มุสลิม ปฏิบัติตรงกันข้ามกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ของอัลลอฮ์ได้
ตัวอย่างเช่น....
ถ้าอัลกุรอานสอนให้เรามุสลิมมีความเข้มแข็ง,รู้จักยืนหยัดขึ้นต่อสู้ความอธรรมเพื่อป้องกันตัวเราเองและสังคมมุสลิมแล้ว,มันจำเป็นอย่างยิ่งที่มุสลิมจะต้องช่วยกันป้องกันตัวเองปกป้องตัวเองและสังคมมุสลิมอย่างฉับพลันโต้ตอบผู้รุกราน,ไม่ใช่รอคอยความช่วย เหลือจากผู้อื่น(42:39)
ดังเช่นรัฐบาล อิรัค รอคอยความช่วยเหลือ จากสหรัฐอเมริกา และหรือ อิหร่านมุสลิมด้วยกันอง ซึ่งผลออกมาให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พิสูจน์ให้เห็นความแท้จริงของอัลกุรอาน ว่า “การรอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย การ งอมืองอเท้าไม่ยืนหยัดขึ้นต่อสู้ผู้รุกรานนั้น ผลออกมามีแต่ความพ่ายแพ้ เท่านั้น, และถ้ามุสลิมไปรุกรานละเมิดเขาเช่นจับคน นอกสังคมมุสลิมไปฆ่า และเมื่อเขารุกรานตอบ ที่แรงกว่า ก็ไม่มีทางที่จะสู้กับเขาได้ ทั้งนี้เกิดจากการ ละเมิดคำสอนของอัลลอฮ์, โดยไม่เข้าใจคำจากสอนอัลกุรอาน ที่ถูกต้อง
เรื่องราวในซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี) บัญญัติที่ 24 นี้ จะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า การทำให้คำสอนง่ายๆให้เป็นคำสอนที่เข้าใจยากโดยการนำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คำสอนของพระเจ้าสอดแทรกเข้าไปในคำสอนของพระเจ้านั้น มีความแตกต่างกันอย่างไรจาก คำอธิบาย ซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี) บัญญัติที่ 24 ที่จะเสนอต่อไปนี้