เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ คิดว่าคนไข้ไม่กล้าถามหมอแน่ๆ
เป็นประเด็น ที่เชื่อว่าหลายคนสงสัยมานานแล้วนะครับ
ว่าการมี sex กับคนรัก ซึ่งมันก็เหนื่อยเหมือนกัน
จะเท่ากับการออกกำลังกายเท่าไหร่
เราสามารถ monitor มันด้วยอุปกรณ์ tracker ต่างๆที่มี
เช่น fitbit, nike fuel band, Polar, Garmin
ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ
เคยมีคน(ไทยเรานี่แหละ) พยายามใส่อุปกรณ์เหล่านี้ มี sex กับคู่รัก
เพื่อวัดค่าพลังงานมาแล้ว
วันนี้ผมขออนุญาต บอกในกระทู้นี้ไปเลย
โดยเฉพาะผู้หญิงคิดว่าอาจจะแอบอยากรู้ และไม่มีทางถามหมอแน่
- sexual activity มี 3 ระดับ แบบก่อนเริ่ม แบบปกติ และแบบรุนแรง
ระดับการใช้พลังงานก็ไม่เท่ากัน
- เรื่องนี้สำคัญ จนทำให้ต้องมีการศึกษา เพราะมันมี clinical impact
โดยเฉพาะคนไข้โรคหลอดเลือดหัวใจ
ยกตัวอย่างเช่น หลังการขยายและซ่อมแซมหลอดเลือดไปแล้ว สามารถมี sex ได้ในระดับไหน
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน ก็ยังบอกประมาณว่า same position and similar environment
- มีการศึกษาที่ผ่านมามากพอควร แต่ไม่ชัดเจน และ ตัวกวนเยอะมาก ตัวกวนในที่นี้
ไม่ใช่ใครมากวนนะครับ หมายถึงปัจจัยที่มารบกวนการแปลผล
ขอไม่เอา references มาให้ดูละกัน
แต่ well-designed study ที่คิดว่าใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด
ฟังดีๆนะครับ พบว่า
ขณะมี sexual activity แบบปกติ ของคู่ชายหญิง
ฝ่ายกระทำ ใช้พลังงานโดยเฉลี่ย 4 kcal ต่อนาที
ฝ่ายที่รับ 3 kcal ต่อนาที
เช่นถ้ามี activity 20 นาที ก็จะเท่ากับ 4 x 20 หรือ 80 kcal เท่านั้น
เทียบได้กับ เดินเร็ว หรือ วิ่งจ๊อกกิ้งช้าๆ
- การที่คุณเอา chest strap หรือ Samsung S5 มาจับ heart rate
ขณะมี sex
ไม่ได้เป็นตัวแทนของพลังงานที่ใช้
มันมีปัจจัยทางอารมณ์หรือ emotional มาเกี่ยวด้วย
นอกจาก physical exertion
ดังนั้นบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยกว่า วิ่งจ๊อกกิ้ง ทั้งๆที่ใช้พลังงานเท่ากัน
เพราะ heart rate อาจจะเร็วกว่า
เรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้ในการ monitor calories และ heart rate
ทำงานยังไง ลองอ่านข้างล่างนี่เล่นๆดูได้ครับ
ลู่วิ่งในฟิตเนสรู้ได้ยังไงว่าเราใช้พลังงานไปกี่แคลอรี่?
เครื่องไม่รู้หรอกครับ แต่ใช้การคำนวณจากค่าที่เครื่องรู้จากเราคือ
ความเร็ว เวลา ความชัน และ น้ำหนักตัว ของเรา
สังเกตมั๊ยครับ ว่าเครื่องมักจะถามน้ำหนักเราเสมอก่อนวิ่ง
เครื่องอาศัยสมการที่เสนอโดย ACSM
คำนวณปริมาณออกซิเจน
ที่เราน่าจะใช้ในการออกแรงระดับนี้ (VO2)
VO2 = (0.1 x speed) + (1.8 x speed x grade) + 3.5 ถ้าความเร็วน้อยกว่า 6.4 กม.ต่อชั่วโมง หรือ สปีดเดิน
VO2 = (0.2 x speed) + (0.9 x speed x grade) + 3.5 ถ้าความเร็วมากกว่า 6.4 กม.ต่อชั่วโมง หรือ สปีดวิ่ง
speed หน่วยเป็น เมตรต่อนาที ต้องเอา 16 มาคูณก่อน เช่น 7 km/h = 7x16 = 112 m/min
grade เป็นร้อยละความชันของลู่เช่น 10% grade = 0.1 เป็นต้น
ตัวเลข 3.5 คือ ค่า resting oxygen consumption
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราวิ่งบนลู่ด้วยความเร็ว 7.5 km/h เป็นเวลา 30 นาที
VO2 = (0.2 x 7.5 x 16) + (0.9 x 7.5 x 16 x 0) + 3.5 = 27.5 ml/kg/min
สังเกตหน่วยจะเป็น ml/kg/min
ต้องเอาน้ำหนักตัวเรามาคูณอีกที เช่นเราหนัก 60 kg
VO2 = 60 x 27.5 = 1650 ml/min
นั่นก็คือ การวิ่งบนลู่ของเรา น่าจะใช้ออกซิเจนในการสันดาป 1.65 ลิตรต่อนาที
ออกซิเจน 1 ลิตรโดยเฉลี่ยใช้สร้างพลังงาน 5 กิโลแคลอรี่
1.65 x 5 = 8.25 kcal/min
เราวิ่ง 30 นาที ถูกมั๊ยครับ ดังนั้น เราจึงใช้แคลอรี่ไปทั้งสิ้น = 8.25 x 30 = 247.5 kcal
ที่โชว์ให้เราเห็นใน display ของเครื่องนั่นเอง
อ๋อเป็นงี้นี่เอง แล้วค่าที่ได้แม่นยำแค่ไหน?
ไม่ถึงกับแม่นมาก แต่ก็พอใช้ได้ครับ การคำนวณใช้การประมาณว่าออกซิเจน 1 ลิตรสันดาป 5 kcal
ซึ่งเป็นการใช้พลังงานของเซลล์กล้ามเนื้อแบบใช้ออกซิเจน 100%
แล้วพวกเครื่อง activity tracker ที่ขายในท้องตลาด หรือ heart rate monitoring
อย่าง Samsung S5 ก็มีด้วย ม้นทำงานยังไง?
ใช่แล้วครับ ตอนนี้มีจำหน่ายเยอะมากหลายยี่ห้อ และกำลังเป็นที่นิยม
พร้อมกับคำถามที่ว่า 'จำเป็นแค่ไหน' 'จะเลือกซื้อยังไงดี'
เวลาเลือกซื้อ ผมอยากให้มองเป็นสองส่วน อย่างที่บอกตอนแรก
1. work rate monitoring
2. intensity of exercise monitoring
work rate monitor ตั้งแต่เครื่องนับก้าวติดเอวสมัยก่อน ยัน activity tracker รุ่นใหม่ๆที่
มีทั้ง pedometer, accelerometer, altimeter, GPS
แต่สังเกตอย่างมั๊ยครับ
ทั้งหมดนั้นเป็นการจับ ระยะทาง ความเร็ว เพื่อ คำนวณ calories expenditure
หรือ work rate ทั้งสิ้น
้ถ้าคุณต้องการจับ ระยะทาง และ แคลอรี่ที่ใช้ ในการ work out
work rate monitor เป็นคำตอบ
อีกกลุ่มคือ intensity of exercise monitor มีแบบเดียวเท่านั้น คือวัดชีพจร
คุณไปดูในท้องตลาดได้ มันมีแค่สองแบบเท่านั้น
- วัดจากชีพจร โดนอาศัย sensor จับปริมาตรของเลือดที่อัดเข้ามาในหลอดเลือดฝอย
คุณต้องเอานิ้วทาบ เอามือจับ หรือ อ่านจากข้อมือโดยไม่ต้องหยุดวิ่งแล้วเอานิ้วมาทาบให้เสียอารมณ์ + ไม่แม่นยำ เป็นต้น
- วัดจากสัญญาณไฟฟ้าหรือ chest strap หรือที่รัดอก
แม่นยำมาก แต่เกะกะ ไม่สะดวก
จำเป็นต้องซื้อมั๊ย?
ไม่จำเป็นครับ ผมยืนยันว่าไม่จำเป็น
แต่อาจจะมีประโยชน์ถ้าเรารู้หลักการและ
นำข้อมูลที่ได้เหล่านั้น
ไปประกอบการปรับเปลี่ยนเทรนนิ่ง ของตัวเอง
ผมยกตัวอย่างการเทรน โดยไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้เลย ยกเว้นนาฬิกาข้อมืออย่างเดียว
work rate --> วิ่งรอบสนามฟุตบอล หรือ ที่ใดที่พอรู้ระยะทางชัดเจน ดูเวลาจากนาฬิกาเมื่อครบรอบ
คุณจะได้ ระยะทาง ความเร็ว และ แคลอรี่ที่เบิร์น ด้วยสมการของลู่วิ่งด้านบน ตอนนี้คุณคำนวณมือเองได้แล้ว
intensity of exercise --> ผมแนะนำว่า คุณควรมี 3 เกียร์ของตัวเอง โดยใช้ความรู้สึก
เชื่อผมมั๊ยว่า อาจจะแม่นกว่า heart rate monitoring อีก
เกียร์ 1 = ระดับที่เราชิลๆ หายใจสบาย คุยโทรศัพท์ ปลายสายไม่รู้ว่าวิ่งอยู่
เกียร์ 2 = เริ่มตึงๆ ต้องเริ่มโฟกัสมากขึ้น แต่ไม่เหนื่อย หายใจได้เรื่อยๆ
เกียร์ 3 = 80-90% ของเรา หายใจเร็วขึ้น เหนื่อยแต่ไปต่อได้
เกินกว่านี้ คือ Redline หรือเส้นแดงของรอบเครื่องยนตร์ ประมาณนั้น
ถ้าไม่อยากทำร้ายตัวเอง อย่าเลยเส้นแดง
เกียร์ 1 - 2 คือ fat burning range
เกียร์ 3 คือ endurance training ใช้ anaerobic ด้วยไปได้แค่ไหน หรือ cardio นั่นเอง
มี Sex ต้องใช้พลังงานเท่าไหร่ (สิ่งที่คนไข้อยากรู้แต่ไม่อยากถาม)
เป็นประเด็น ที่เชื่อว่าหลายคนสงสัยมานานแล้วนะครับ
ว่าการมี sex กับคนรัก ซึ่งมันก็เหนื่อยเหมือนกัน
จะเท่ากับการออกกำลังกายเท่าไหร่
เราสามารถ monitor มันด้วยอุปกรณ์ tracker ต่างๆที่มี
เช่น fitbit, nike fuel band, Polar, Garmin
ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ
เคยมีคน(ไทยเรานี่แหละ) พยายามใส่อุปกรณ์เหล่านี้ มี sex กับคู่รัก
เพื่อวัดค่าพลังงานมาแล้ว
วันนี้ผมขออนุญาต บอกในกระทู้นี้ไปเลย
โดยเฉพาะผู้หญิงคิดว่าอาจจะแอบอยากรู้ และไม่มีทางถามหมอแน่
- sexual activity มี 3 ระดับ แบบก่อนเริ่ม แบบปกติ และแบบรุนแรง
ระดับการใช้พลังงานก็ไม่เท่ากัน
- เรื่องนี้สำคัญ จนทำให้ต้องมีการศึกษา เพราะมันมี clinical impact
โดยเฉพาะคนไข้โรคหลอดเลือดหัวใจ
ยกตัวอย่างเช่น หลังการขยายและซ่อมแซมหลอดเลือดไปแล้ว สามารถมี sex ได้ในระดับไหน
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน ก็ยังบอกประมาณว่า same position and similar environment
- มีการศึกษาที่ผ่านมามากพอควร แต่ไม่ชัดเจน และ ตัวกวนเยอะมาก ตัวกวนในที่นี้
ไม่ใช่ใครมากวนนะครับ หมายถึงปัจจัยที่มารบกวนการแปลผล
ขอไม่เอา references มาให้ดูละกัน
แต่ well-designed study ที่คิดว่าใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด
ฟังดีๆนะครับ พบว่า
ขณะมี sexual activity แบบปกติ ของคู่ชายหญิง
ฝ่ายกระทำ ใช้พลังงานโดยเฉลี่ย 4 kcal ต่อนาที
ฝ่ายที่รับ 3 kcal ต่อนาที
เช่นถ้ามี activity 20 นาที ก็จะเท่ากับ 4 x 20 หรือ 80 kcal เท่านั้น
เทียบได้กับ เดินเร็ว หรือ วิ่งจ๊อกกิ้งช้าๆ
- การที่คุณเอา chest strap หรือ Samsung S5 มาจับ heart rate
ขณะมี sex
ไม่ได้เป็นตัวแทนของพลังงานที่ใช้
มันมีปัจจัยทางอารมณ์หรือ emotional มาเกี่ยวด้วย
นอกจาก physical exertion
ดังนั้นบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยกว่า วิ่งจ๊อกกิ้ง ทั้งๆที่ใช้พลังงานเท่ากัน
เพราะ heart rate อาจจะเร็วกว่า
เรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้ในการ monitor calories และ heart rate
ทำงานยังไง ลองอ่านข้างล่างนี่เล่นๆดูได้ครับ
ลู่วิ่งในฟิตเนสรู้ได้ยังไงว่าเราใช้พลังงานไปกี่แคลอรี่?
เครื่องไม่รู้หรอกครับ แต่ใช้การคำนวณจากค่าที่เครื่องรู้จากเราคือ
ความเร็ว เวลา ความชัน และ น้ำหนักตัว ของเรา
สังเกตมั๊ยครับ ว่าเครื่องมักจะถามน้ำหนักเราเสมอก่อนวิ่ง
เครื่องอาศัยสมการที่เสนอโดย ACSM
คำนวณปริมาณออกซิเจน
ที่เราน่าจะใช้ในการออกแรงระดับนี้ (VO2)
VO2 = (0.1 x speed) + (1.8 x speed x grade) + 3.5 ถ้าความเร็วน้อยกว่า 6.4 กม.ต่อชั่วโมง หรือ สปีดเดิน
VO2 = (0.2 x speed) + (0.9 x speed x grade) + 3.5 ถ้าความเร็วมากกว่า 6.4 กม.ต่อชั่วโมง หรือ สปีดวิ่ง
speed หน่วยเป็น เมตรต่อนาที ต้องเอา 16 มาคูณก่อน เช่น 7 km/h = 7x16 = 112 m/min
grade เป็นร้อยละความชันของลู่เช่น 10% grade = 0.1 เป็นต้น
ตัวเลข 3.5 คือ ค่า resting oxygen consumption
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราวิ่งบนลู่ด้วยความเร็ว 7.5 km/h เป็นเวลา 30 นาที
VO2 = (0.2 x 7.5 x 16) + (0.9 x 7.5 x 16 x 0) + 3.5 = 27.5 ml/kg/min
สังเกตหน่วยจะเป็น ml/kg/min
ต้องเอาน้ำหนักตัวเรามาคูณอีกที เช่นเราหนัก 60 kg
VO2 = 60 x 27.5 = 1650 ml/min
นั่นก็คือ การวิ่งบนลู่ของเรา น่าจะใช้ออกซิเจนในการสันดาป 1.65 ลิตรต่อนาที
ออกซิเจน 1 ลิตรโดยเฉลี่ยใช้สร้างพลังงาน 5 กิโลแคลอรี่
1.65 x 5 = 8.25 kcal/min
เราวิ่ง 30 นาที ถูกมั๊ยครับ ดังนั้น เราจึงใช้แคลอรี่ไปทั้งสิ้น = 8.25 x 30 = 247.5 kcal
ที่โชว์ให้เราเห็นใน display ของเครื่องนั่นเอง
อ๋อเป็นงี้นี่เอง แล้วค่าที่ได้แม่นยำแค่ไหน?
ไม่ถึงกับแม่นมาก แต่ก็พอใช้ได้ครับ การคำนวณใช้การประมาณว่าออกซิเจน 1 ลิตรสันดาป 5 kcal
ซึ่งเป็นการใช้พลังงานของเซลล์กล้ามเนื้อแบบใช้ออกซิเจน 100%
แล้วพวกเครื่อง activity tracker ที่ขายในท้องตลาด หรือ heart rate monitoring
อย่าง Samsung S5 ก็มีด้วย ม้นทำงานยังไง?
ใช่แล้วครับ ตอนนี้มีจำหน่ายเยอะมากหลายยี่ห้อ และกำลังเป็นที่นิยม
พร้อมกับคำถามที่ว่า 'จำเป็นแค่ไหน' 'จะเลือกซื้อยังไงดี'
เวลาเลือกซื้อ ผมอยากให้มองเป็นสองส่วน อย่างที่บอกตอนแรก
1. work rate monitoring
2. intensity of exercise monitoring
work rate monitor ตั้งแต่เครื่องนับก้าวติดเอวสมัยก่อน ยัน activity tracker รุ่นใหม่ๆที่
มีทั้ง pedometer, accelerometer, altimeter, GPS
แต่สังเกตอย่างมั๊ยครับ
ทั้งหมดนั้นเป็นการจับ ระยะทาง ความเร็ว เพื่อ คำนวณ calories expenditure
หรือ work rate ทั้งสิ้น
้ถ้าคุณต้องการจับ ระยะทาง และ แคลอรี่ที่ใช้ ในการ work out
work rate monitor เป็นคำตอบ
อีกกลุ่มคือ intensity of exercise monitor มีแบบเดียวเท่านั้น คือวัดชีพจร
คุณไปดูในท้องตลาดได้ มันมีแค่สองแบบเท่านั้น
- วัดจากชีพจร โดนอาศัย sensor จับปริมาตรของเลือดที่อัดเข้ามาในหลอดเลือดฝอย
คุณต้องเอานิ้วทาบ เอามือจับ หรือ อ่านจากข้อมือโดยไม่ต้องหยุดวิ่งแล้วเอานิ้วมาทาบให้เสียอารมณ์ + ไม่แม่นยำ เป็นต้น
- วัดจากสัญญาณไฟฟ้าหรือ chest strap หรือที่รัดอก
แม่นยำมาก แต่เกะกะ ไม่สะดวก
จำเป็นต้องซื้อมั๊ย?
ไม่จำเป็นครับ ผมยืนยันว่าไม่จำเป็น
แต่อาจจะมีประโยชน์ถ้าเรารู้หลักการและ
นำข้อมูลที่ได้เหล่านั้น
ไปประกอบการปรับเปลี่ยนเทรนนิ่ง ของตัวเอง
ผมยกตัวอย่างการเทรน โดยไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้เลย ยกเว้นนาฬิกาข้อมืออย่างเดียว
work rate --> วิ่งรอบสนามฟุตบอล หรือ ที่ใดที่พอรู้ระยะทางชัดเจน ดูเวลาจากนาฬิกาเมื่อครบรอบ
คุณจะได้ ระยะทาง ความเร็ว และ แคลอรี่ที่เบิร์น ด้วยสมการของลู่วิ่งด้านบน ตอนนี้คุณคำนวณมือเองได้แล้ว
intensity of exercise --> ผมแนะนำว่า คุณควรมี 3 เกียร์ของตัวเอง โดยใช้ความรู้สึก
เชื่อผมมั๊ยว่า อาจจะแม่นกว่า heart rate monitoring อีก
เกียร์ 1 = ระดับที่เราชิลๆ หายใจสบาย คุยโทรศัพท์ ปลายสายไม่รู้ว่าวิ่งอยู่
เกียร์ 2 = เริ่มตึงๆ ต้องเริ่มโฟกัสมากขึ้น แต่ไม่เหนื่อย หายใจได้เรื่อยๆ
เกียร์ 3 = 80-90% ของเรา หายใจเร็วขึ้น เหนื่อยแต่ไปต่อได้
เกินกว่านี้ คือ Redline หรือเส้นแดงของรอบเครื่องยนตร์ ประมาณนั้น
ถ้าไม่อยากทำร้ายตัวเอง อย่าเลยเส้นแดง
เกียร์ 1 - 2 คือ fat burning range
เกียร์ 3 คือ endurance training ใช้ anaerobic ด้วยไปได้แค่ไหน หรือ cardio นั่นเอง