มามะ….มาเต้นซุมบ้ากัน
http://pantip.com/topic/30461296/comment1
ฉันไปยิมมาสักปีครึ่งเห็นจะได้ เริ่มแรกก็เรียนโยคะ แต่เรียนแล้วจะหลับ เลยเปลี่ยนจากโยคะ ไปเต้นซุมบ้า เพราะเรื่องโยกย้ายส่ายสะโพก เป็นสิ่งที่ฉันถนัด
พูดแล้ว จะหาว่าคุย สมัยเด็กๆ ฉันเคยได้รับฉายาจากเพื่อนบ้าน ว่าเป็นดาราเท้าไฟ เรื่องของเรื่อง คือเดินๆไป แล้วเซไปเหยียบเอากองไฟที่เพื่อนบ้านจุดไล่ยุง ก็เลยได้ฉายานี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ( จะคุย ทำไมก็ไม่รู้ )
แต่หลังจากไปเต้นซุมบ้ามาได้พัก ดาราเท้าไฟก็หดหู่ใจยิ่ง เพราะทุกครั้งที่โยก และย้าย กระดูกเป็นต้องลั่น กรอบแกรบ จะหลุดเสียให้ได้
ดีว่าเป็นคนรอบคอบ เลยพกพายาหม่อง ยาดมติดตัว พอเกิดอาการปวดหลัง เจ็บไหล่ ก็ควักอาวุธ เอ๊ย ยาหม่องขึ้นมาป้าย ส่วนยาดมนั้นไซร้ จะพึ่งพาก็ตอนที่หมุนไปหมุนมา เร็วๆ แล้วเกิดอาการวิงเวียนศีรษะด้วยเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน ดมนิดๆ เดี๋ยวก็หาย
จะไม่ให้แข้งขา หลังไหล่ปวดยังไงไหวละคุณ ในเมื่อท่วงทำนองเพลงลาติน มันเร็วยังกับรถด่วน สปรินเตอร์สายกทมเชียงใหม่
แถมมาเจอครูฝึก ที่เป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ พอเริ่มต้น แม่เจ้าประคุณ ไม่ฟังอีร้าค้าอีรมเหวี่ยงเอาๆ อย่างกับเก็บกดมาจากไหน
แต่ถึงครูฝึกจะร้อน และแรง อย่างน้อยๆ ก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจนักเรียน โดยเฉพาะ นักเรียนที่อายุ หกสิบปลายๆ เจ็ดสิบต้นๆ เพราะ ครูฝึกตระหนักดี ว่าพวกเขาเหล่านี้ คือของเก่าแก่ หรือแอนติค ที่ต้องถนุถนอม เพราะยิ่งเก่า ยิ่งแก่ ก็ยิ่งมีค่า
แต่บรรดาเพื่อนร่วมชั้น หลายคน คิดต่างกับครู แถมแต่ละท่าน ยังพกพาอีโต้ เอ๊ย อีโก้ มาเต็มๆ เข้ามาชั้นเรียนได้ ก็ไปรวมกันเป็นกระจุกตรงด้านหน้า ใกล้กับครูสอน เต้นไป เหวี่ยงไป ดูรูปลักษณ์ตัวเองในกระจกเงาใบใหญ่ที่พาดยาวตลอดฝาด้านหน้า
แข่งกันเอง
บางที ก็แข่งกับครู
ถ้าใจรัก หุ่นให้ อย่าง พจมาน สว่างวงศ์ เอ๊ย ลูเซีย ฉันก็พอจะเข้าใจ ประทานโทษค่ะ ที่ฉันเรียกหล่อนว่าพจมาน ก็เพราะหล่อนถักเปียสองข้าง ผิวพรรณขาวผ่องป็นยองใย ใบหน้าหวานหรือก็หวานยังกับตาลเฉาะ
แต่ก็แค่ผมเผ้า หน้าตา และผิวพรรณ เท่านั้นแหละค่ะ ที่ลูเซียคล้ายพจมาน เพราะหากพูดถึงนิสัยลูเซีย ละก็ คนละเรื่องกับ พจมานในนิยายลิบลับ
เพราะในนิยาย พจมาน จะอ่อนหวาน เรียบร้อย แต่ ลูเซีย คนนี้บ้าพลัง ขอให้เพลงขึ้น แม่เป็นเหวี่ยงหน้า เหวี่ยงหลัง ในกระโปรง สั้นจู๋ เกือบเห็นแก้มก้น กับเสื้อกล้ามแขนคว้านลึก เอวลอย ทำเอาเพื่อนชายร่วมชั้นในห้อง ที่มีอยู่คนสองท่าน ถ้าไม่เต้นคล่อมจังหวะ ก็ชนกันเอง เพราะท่าโค้งรอดสะพานของหล่อน ( ว๊าย หวาดเสียว )
ลูเซีย เองก็เหมือนจะรู้ตัว ว่ามีคนสนใจ เลยยิ่งวาดลวดลายหนักหน่วง ร้อนถึง ยาย ซาร่า เพื่อนร่วมชั้นซึ่งเป็นสาวผิวดำ หล่อนกลัวจะน้อยหน้า ก็เลยเต้นแข่งกับลูเซีย ชนิดที่ว่า ใครดีใครอยู่ ถ้าเป็นมวย ก็เรียกว่าต่อยข้ามรุ่น เพราะลูเซีย น้ำหนักร้อยกว่านิดๆ แต่ ซาร่า ประทานโทษ สามร้อยอัพ
ใช่แล้วค่ะ คุณฟังไม่ผิด สามร้อยกว่าปอนด์ เฉพาะส่วนสะโพกซาร่าที่ย้วยย้อย ก็ร้อยกว่า ยังไม่รวมแก้มก้นที่ยื่นล้ำออกมา ราวกับโต๊ะเล็กๆ ทำให้ฉันเผลอไผล จะเอาขวดน้ำดื่มไปตั้งเสียหลายครั้ง ตอนที่เต้นเหนื่อยๆแล้วขี้เกียจเอากลับไปวางที่พื้นใกล้ๆ
แต่ซาร่า หาได้ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตนไม่ ขอให้ลูเซีย เหวี่ยง ซาร่าก็เหวี่ยงตาม และเมื่อใด ที่สองคนนี้โคจรมาเต้นใกล้ๆกัน ฟลอร์ของห้องเรียน เป็นต้องส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ราวแผ่นดินไหว ทำเอาฉันอดหวาดหวั่นไม่ได้ ว่าขืนสองคนยังห้ำหั่นกันอยู่อย่างนี้ ดีไม่ดี วันหนึ่งฟลอร์อาจจะยุบ ทำให้ฉัน ไม่ก็เพื่อนร่วมชั้นคนใดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เป็นข่าวพาดหัว
“เป็นไง ที่รัก ซุมบ้าวันนี้” สามีถามทันทีที่ฉันก้าวเข้ามาในบ้าน
“อย่าเพิ่งถาม ขอหายใจก่อน” ฉันบอกแฟน เหวี่ยงกระเป๋าไปทาง ก้มลงถอดรองเท้าผ้าใบ เหวี่ยงไปคนละทางสองทาง ก่อนจะไปนั่งหอบแฮกๆที่บาร์ในห้องครัว ผมเผ้า ที่เซทเข้ารูปก่อนไป ตั้งเด่ ราวกับเพิ่งจะวิ่งหนีผีมาหยกๆ
“ซุมบ้านี่ได้ผลทันตาจริงๆเลยนะ ที่รัก ดูซิ ไปได้ไม่นาน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ “ แฟนพูดจบ ก็ยื่นมือมาจับ กล้ามเนื้อที่รวมกันอยู่เป็นกระจุกที่ท้องฉัน ขยำไปมา สีหน้าท่าทาง ดูมันเขี้ยวยิ่งนัก
“จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ไป มีเรื่อง หนึ่ง… สอง “ ฉันไม่ทันจะเริ่มนัด แฟนก็ร้องบอกยิ้มๆ
“ใจเย็นๆน่า ที่รัก ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ ” หยุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อไปยิ้มๆ
“ไปคลาสโยคะ บ่นว่าจะหลับ ไปเต้นซุมบ้า บอกว่าเหนื่อยจะขาดใจ ถามหน่อยนะที่รัก นอกจากโยคะ กับ ซุมบ้า ยังมีคลาสไหนเหลืออีกบ้าง”
“แชร์เอ็กเซอร์ไซส์ “ ฉันตอบสะบัดๆ พลางนึกไปถึง คลาสเก้าอี้ดนตรี เอ๊ย กายบริหารด้วยเก้าอี้ของบรรดา ผู้อาวุโส หรือ ซีเนียร์ ซิติเซ่น ที่ออกกำลังกายแบบเรียบง่าย ด้วยการนั่งบนเก้าอี้ แล้วหมุนตัวไปมา ยกมือ เหยียดขา เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
“งั้นจะช้าอยู่ทำไม ไปสมัครซะพรุ่งนี้เลยซิ” แฟนผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แนะยิ้มๆ
“ฉันไม่ไปหรอกชั้นนั้น “ ฉันพูดจบก็เบ้ปาก ( ทำยังกับว่า วันหนึ่งจะไม่แก่อย่างนั้น )
“อ้าว ทำไมล่ะ “
“ขืนไป คงได้หลับพอดี ก็นักเรียนแต่ละคน อายุ เจ็ดเจ็ดสิบอัพ และบางคน แปดสิบ กว่าก็มี“
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ในเมื่อคุณเองอายุอานามก็ใกล้ๆพวกเขาเข้าไปทุกที”
“ถ้าไม่อยากเจอกำปั้น ถอยไปไกลๆ “ ฉันไม่ได้ขู่เฉยๆ ยกกำปั้นชูหรา ที่รักหัวเราะคิก ก่อนจะถอยไปตั้งหลักไกลๆ
แรกๆที่ไปเต้นซุมบ้า ฉันก็คึกคัก ฮึกเหิม แต่พอเจอจังหวะยากเย็น ฉันก็ทั้งท้อ และเหนื่อย เริ่มเป๋ และเขว สุดท้าย ก็เลยทำอย่างที่คนสิ้นหวังทุกคนทำกัน คือหาเหตุผลให้ตัวเอง ต่างๆนานา ที่จะไม่ไป
ไป ก็เท่านั้น หุ่นก็ยังบวมๆ อืดๆ ไม่เห็นลดลง สักที
หรือไม่ก็ ซุมบ้า มันของลาตินเขา เราคนไทย มันต้องรำฉุยฉาย หรือ ศรีนวล ถึงจะเข้ากับ ศิลปวัฒนธรรมไทย ว่าไปนั่น
ฉันเกือบจะทำสำเร็จ หลอกตัวเองได้อยู่แล้วเชียว หากไม่ คิดถึงคุณอลิส ขึ้นมา คุณอลิสที่ว่า ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้น
ซุมบ้า
คุณอลิศ เป็นคนพิการ เดินเหินไม่ถนัด แต่ทั้งที่พิการอย่างว่า เธอกลับไม่ย่อท้อ มายิมทุกวัน ไม่สาย ไม่ขาด ตรงเวลาเป๊ะ
และเพราะคุณอลิส นี่เอง ทำให้ฉันฉุกคิด
ขณะที่ฉัน และเพื่อนร่วมชั้น ที่ร่างกายครบอาการสามสิบสองประการ ใช้เวลาเดินจากลานจอดรถ มายังชั้นเรียน แค่ไม่กี่นาที แต่คุณอลิส ต้องใช้เวลามากกว่าสอง หรือสามเท่าตัว แต่เธอก็ยังสู้
คุณอลิส พิการแท้ๆ ยังทำได้
แล้วคนแขนขาดี ครบสามสิบสองประการอย่างฉัน ทำไม่ได้ ไม่อายคุณอลิศ เหรอ
เพราะอายคุณอลิส ทำให้ฉันเกิดความมานะ
สู้ว้อย !
พักหลังฉันไม่ได้ไปยิมหลายอาทิตย์ ไม่ใช่ขี้เกียจ หรือเลี่ยง แต่ เพราะธุรกิจรัดตัว และมันจะต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ฉันขาดเรียน พอโผล่ไปเรียนอีกครั้ง ครูสอนจะเพิ่มท่าใหม่ เพื่อนร่วมชั้นก็ใหม่ ที่เห็นๆก็ยายฟิลิปปินส์สองคนเพื่อนซี้ ที่เต้นไป มองมาทางฉันยิ้มๆ
ปกติ ฉันไม่ใช่คนคิดอะไรติดลบ แต่มักจะคิดอะไรในแง่ดี เพราะการคิดดี ทำให้จิตใจเป็นสุข แต่ฉันไม่เป็นสุข และคิดไม่ค่อยดีก็เพราะยายสองคนนี่ ที่มองมาแล้วยิ้ม แถมบ่อยครั้งที่ส่งสายตามาแบบท้าทาย เหมือนกับจะบอกว่า แน่เปล่าเรา ถ้าแน่ ก็มาประลองฝีมือกับเราสองคนหน่อยเป็นไร
สายตาพวกหล่อนมันฟ้อง ทำให้ต่อมมโนสาเร่ เอ๊ย มโน ของฉันทำงานอย่างหน่วงหนัก
เป็นได้หรือเปล่า สองคนนั่น พกความแค้นมาจากเวที ประกวดนางสาวจักรวาล
ฟิลลิปินส์ ไทย แข่งกันมาตลอด
ในชุดอาบน้ำ
ราตรี
และชุดประจำชาติ
ใครเหนือกว่า ก็เอาตำแหน่ง และเงินรางวัลไปกิน
แต่ในคลาสซุมบ้า เงินรางวัลไม่มี มงกุฎไม่ได้ เราเดิมพันกันด้วย ศักดิ์และศรี เกียรติภูมิของชาติ เอาวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน ขอลองฝีมือสักตั้ง วัดกันไปเลย ใครจะแกร่ง และถึก เอ๊ย อึดกว่ากัน
ด้วยความคิดที่ว่า ( ถ้าคิดน้อย … ก็ไม่ใช่ฉัน )
พอสาวตากาล็อก ดีดตัวดึ๋งๆ ฉันก็ส่งกลับ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ เหมือนกับเราว่า กำลังแข่งขันปิงปอง ทั้งหยอดหน้าเน็ต แบ็คแฮนด์ โฟร์แฮนด์ พูดถึงปิงปอง ขอให้บอก ฉันถนัดมาก
สมัยเรียน ฉันวิ่งไปวิ่งมา จนทุกคนทึ่ง ไปตามกันๆ แฮ่ๆ วิ่งเก็บลูกข้างสนามให้เพื่อนน่ะค่ะ แบบว่า มีน้ำใจมาแต่เด็กๆ
พูดถึงกำลังใจ ฉันนะเต็มร้อย แต่สังขารนี่ซิ กลับน้อยนิด เป็นรอง มิสฟิลิปปินส์ ทั้งสองท่านนั่น ที่ไม่ว่าจะเต้นกี่ท่า กี่เพลง ก็ดูไม่สะทกสะท้าน สะเทือนถึงหัวใจ แถมหัวเราะร่า ราวกับวิหคเหิรลม ( หัวเราะเยาะ ฉันแหงๆ )
ในขณะที่ มิสไทยแลนด์ อย่างฉัน เต้นไป ลิ้นห้อย ตาลาย ยาดมก็อยู่ในรถ ถ้ามียาหอมสักซอง จะละลาย แล้วกินมันเดี๋ยวนี้ สาวไทยหัวใจแกร่ง แต่สังขารไม่ให้ เริ่มเต้นช้าลงๆทุกทีๆ
เต้นไปเต้นมา คอแห้งผาด เพราะหิวน้ำ ฉันก็ เลย แถแซดๆ ไปคว้าขวดน้ำเย็นที่ตั้งอยู่ที่พื้นใกล้ๆ มากรอกใส่ปาก ตาทั้งสองอันพร่าพราย ภาพตรงที่เห็นหน้า ซับซ้อน แลเห็น ดาวหาง ดาวประจำเมือง ดาวไถ และดาวน้อยใหญ่ ระยิบๆ
ลมตีขึ้นมาเป็นละรอก แล้ว ละลอกเล่า ราวกับคลื่นในมหาสมุทร แอตแลนติก
ดื่มน้ำเสร็จก็ปิดจุกขวดเร็วๆ ยื่นไปจะตั้งที่โต๊ะ เดชะบุญ แค่คิด ไม่ได้ลงมือ เพราะสิ่งที่เห็นว่าเป็นโต๊ะ จริงๆแล้วไม่ใช่ โต๊ะ แต่เป็นก้นยายซาร่า ที่มองมาตาเขียวปัด
ขืนเอาน้ำตั้งลงไปบนนั้น เป็นได้เจอฝ่ามือพิฆาต ดีไม่ดี ยายซาร่าหาว่าฉันไปเหน็บแนมบั้นท้ายหล่อน โกรธขึ้นมา กระโดดทับฉันแบนจะว่าไง
สู้ๆ ฉันร้องบอกตัวเอง หลังจากเอาขวดน้ำไปเก็บที่ข้างฝาด้านนั้น ทันที่เห็นสายตาของ ฟิลปปินส์สองคน ที่มองมายิ้มๆ พลังที่ถดถอย กลับคืนมาอีกครั้ง
หลังจากเพลี้ยงพร้ำให้สองคนนั่นมาหลายท่า ก็มาถึงท่าโปรดของฉัน ซึ่งยังไงก็ไม่มีวันพ่ายแพ้เด็ด จะท่าอะไรละคะ พี่น้อง ถ้าไม่ใช่ท่า
นางแมวยั่วสวาท….. เหมียว ๆๆๆๆ
ที่ฉันชอบท่านี้เพราะมันง่าย และดูดี
สเต็ปแรก ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นหน้าอกไปข้างหน้า เขย่าไหล่ เขย่าหน้าอกแรงๆ เขย่า เรียบร้อย ก็ถอยกลับมายืนกับที่ เขย่าหน้าอกกับไหล่ไปพร้อมๆกัน อีกครั้ง
สเต็ปที่สอง ก็เหมือนกับสเต็ปแรก ต่างกันอยู่หน่อยก็ตรง แทนที่จะก้าวหน้า มาเป็นก้าวถอยหลัง ยื่นหน้าอกไปในอากาศ เขย่าไหล่ เขย่าหน้าอก แรงๆ เขย่า เรียบร้อย ก็ถอยกลับมายืนกับที่ เขย่าหน้าอกกับไหล่ไปพร้อมๆกัน อีกครั้ง และทำอย่างนั้นสลับไปมา กว่าจะจบเพลง
พูดถึงเรื่องเขย่า ขอให้บอก ฉันชำนาญมาก เพราะครั้งที่ยังอยู่แผ่นดินสยาม ติ้ว และเซียมซี เขย่ามาหมดแล้ว เขาว่า เรามักจะทำได้ดี ในสิ่งที่เราถนัด ด้วยเหตุนี้ ฉันเลยเขย่าอย่างไม่คิดชีวิต ทำในสิ่งที่ตัวเอง รัก และถนัดยิ่ง
ในยามนั้น หัวใจของฉันฮึกเหิม รู้สึกราวกับว่า ธงไตรรงค์สะบัดพลิ้วในหัวใจ เพลงชาติไทยกระหื่ม
แควก !
เสียงนั้น ดังแทรกเพลงชาติขึ้นมา แทรกเข้าไปในหัวใจน้อยๆของฉัน ไม่ต้องอาศัยสัมพัสพิเศษ ก็รู้ได้เดี๋ยวนั้น ว่าสายเสื้อชั้นในฉันขาด
พอสายเสื้อชั้นในขาดผลึง ฉันก็สูญเสียความทรงตัว จากที่ไม่เอียงซ้าย ป่ายขวา ตอนนี้เอียงกระเท่ เมื่อกี้ยังเต้นรัว ตอนนี้เต้นไม่ออก แต่จะวิ่งไปตั้งหลักที่ห้องน้ำ ก็ทำไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท เพราะเพื่อนๆกำลังเต้นกันอยู่
มามะ….มาเต้นซุมบ้ากัน
http://pantip.com/topic/30461296/comment1
ฉันไปยิมมาสักปีครึ่งเห็นจะได้ เริ่มแรกก็เรียนโยคะ แต่เรียนแล้วจะหลับ เลยเปลี่ยนจากโยคะ ไปเต้นซุมบ้า เพราะเรื่องโยกย้ายส่ายสะโพก เป็นสิ่งที่ฉันถนัด
พูดแล้ว จะหาว่าคุย สมัยเด็กๆ ฉันเคยได้รับฉายาจากเพื่อนบ้าน ว่าเป็นดาราเท้าไฟ เรื่องของเรื่อง คือเดินๆไป แล้วเซไปเหยียบเอากองไฟที่เพื่อนบ้านจุดไล่ยุง ก็เลยได้ฉายานี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ( จะคุย ทำไมก็ไม่รู้ )
แต่หลังจากไปเต้นซุมบ้ามาได้พัก ดาราเท้าไฟก็หดหู่ใจยิ่ง เพราะทุกครั้งที่โยก และย้าย กระดูกเป็นต้องลั่น กรอบแกรบ จะหลุดเสียให้ได้
ดีว่าเป็นคนรอบคอบ เลยพกพายาหม่อง ยาดมติดตัว พอเกิดอาการปวดหลัง เจ็บไหล่ ก็ควักอาวุธ เอ๊ย ยาหม่องขึ้นมาป้าย ส่วนยาดมนั้นไซร้ จะพึ่งพาก็ตอนที่หมุนไปหมุนมา เร็วๆ แล้วเกิดอาการวิงเวียนศีรษะด้วยเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน ดมนิดๆ เดี๋ยวก็หาย
จะไม่ให้แข้งขา หลังไหล่ปวดยังไงไหวละคุณ ในเมื่อท่วงทำนองเพลงลาติน มันเร็วยังกับรถด่วน สปรินเตอร์สายกทมเชียงใหม่
แถมมาเจอครูฝึก ที่เป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ พอเริ่มต้น แม่เจ้าประคุณ ไม่ฟังอีร้าค้าอีรมเหวี่ยงเอาๆ อย่างกับเก็บกดมาจากไหน
แต่ถึงครูฝึกจะร้อน และแรง อย่างน้อยๆ ก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจนักเรียน โดยเฉพาะ นักเรียนที่อายุ หกสิบปลายๆ เจ็ดสิบต้นๆ เพราะ ครูฝึกตระหนักดี ว่าพวกเขาเหล่านี้ คือของเก่าแก่ หรือแอนติค ที่ต้องถนุถนอม เพราะยิ่งเก่า ยิ่งแก่ ก็ยิ่งมีค่า
แต่บรรดาเพื่อนร่วมชั้น หลายคน คิดต่างกับครู แถมแต่ละท่าน ยังพกพาอีโต้ เอ๊ย อีโก้ มาเต็มๆ เข้ามาชั้นเรียนได้ ก็ไปรวมกันเป็นกระจุกตรงด้านหน้า ใกล้กับครูสอน เต้นไป เหวี่ยงไป ดูรูปลักษณ์ตัวเองในกระจกเงาใบใหญ่ที่พาดยาวตลอดฝาด้านหน้า
แข่งกันเอง
บางที ก็แข่งกับครู
ถ้าใจรัก หุ่นให้ อย่าง พจมาน สว่างวงศ์ เอ๊ย ลูเซีย ฉันก็พอจะเข้าใจ ประทานโทษค่ะ ที่ฉันเรียกหล่อนว่าพจมาน ก็เพราะหล่อนถักเปียสองข้าง ผิวพรรณขาวผ่องป็นยองใย ใบหน้าหวานหรือก็หวานยังกับตาลเฉาะ
แต่ก็แค่ผมเผ้า หน้าตา และผิวพรรณ เท่านั้นแหละค่ะ ที่ลูเซียคล้ายพจมาน เพราะหากพูดถึงนิสัยลูเซีย ละก็ คนละเรื่องกับ พจมานในนิยายลิบลับ
เพราะในนิยาย พจมาน จะอ่อนหวาน เรียบร้อย แต่ ลูเซีย คนนี้บ้าพลัง ขอให้เพลงขึ้น แม่เป็นเหวี่ยงหน้า เหวี่ยงหลัง ในกระโปรง สั้นจู๋ เกือบเห็นแก้มก้น กับเสื้อกล้ามแขนคว้านลึก เอวลอย ทำเอาเพื่อนชายร่วมชั้นในห้อง ที่มีอยู่คนสองท่าน ถ้าไม่เต้นคล่อมจังหวะ ก็ชนกันเอง เพราะท่าโค้งรอดสะพานของหล่อน ( ว๊าย หวาดเสียว )
ลูเซีย เองก็เหมือนจะรู้ตัว ว่ามีคนสนใจ เลยยิ่งวาดลวดลายหนักหน่วง ร้อนถึง ยาย ซาร่า เพื่อนร่วมชั้นซึ่งเป็นสาวผิวดำ หล่อนกลัวจะน้อยหน้า ก็เลยเต้นแข่งกับลูเซีย ชนิดที่ว่า ใครดีใครอยู่ ถ้าเป็นมวย ก็เรียกว่าต่อยข้ามรุ่น เพราะลูเซีย น้ำหนักร้อยกว่านิดๆ แต่ ซาร่า ประทานโทษ สามร้อยอัพ
ใช่แล้วค่ะ คุณฟังไม่ผิด สามร้อยกว่าปอนด์ เฉพาะส่วนสะโพกซาร่าที่ย้วยย้อย ก็ร้อยกว่า ยังไม่รวมแก้มก้นที่ยื่นล้ำออกมา ราวกับโต๊ะเล็กๆ ทำให้ฉันเผลอไผล จะเอาขวดน้ำดื่มไปตั้งเสียหลายครั้ง ตอนที่เต้นเหนื่อยๆแล้วขี้เกียจเอากลับไปวางที่พื้นใกล้ๆ
แต่ซาร่า หาได้ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตนไม่ ขอให้ลูเซีย เหวี่ยง ซาร่าก็เหวี่ยงตาม และเมื่อใด ที่สองคนนี้โคจรมาเต้นใกล้ๆกัน ฟลอร์ของห้องเรียน เป็นต้องส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ราวแผ่นดินไหว ทำเอาฉันอดหวาดหวั่นไม่ได้ ว่าขืนสองคนยังห้ำหั่นกันอยู่อย่างนี้ ดีไม่ดี วันหนึ่งฟลอร์อาจจะยุบ ทำให้ฉัน ไม่ก็เพื่อนร่วมชั้นคนใดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เป็นข่าวพาดหัว
“เป็นไง ที่รัก ซุมบ้าวันนี้” สามีถามทันทีที่ฉันก้าวเข้ามาในบ้าน
“อย่าเพิ่งถาม ขอหายใจก่อน” ฉันบอกแฟน เหวี่ยงกระเป๋าไปทาง ก้มลงถอดรองเท้าผ้าใบ เหวี่ยงไปคนละทางสองทาง ก่อนจะไปนั่งหอบแฮกๆที่บาร์ในห้องครัว ผมเผ้า ที่เซทเข้ารูปก่อนไป ตั้งเด่ ราวกับเพิ่งจะวิ่งหนีผีมาหยกๆ
“ซุมบ้านี่ได้ผลทันตาจริงๆเลยนะ ที่รัก ดูซิ ไปได้ไม่นาน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ “ แฟนพูดจบ ก็ยื่นมือมาจับ กล้ามเนื้อที่รวมกันอยู่เป็นกระจุกที่ท้องฉัน ขยำไปมา สีหน้าท่าทาง ดูมันเขี้ยวยิ่งนัก
“จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ไป มีเรื่อง หนึ่ง… สอง “ ฉันไม่ทันจะเริ่มนัด แฟนก็ร้องบอกยิ้มๆ
“ใจเย็นๆน่า ที่รัก ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ ” หยุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อไปยิ้มๆ
“ไปคลาสโยคะ บ่นว่าจะหลับ ไปเต้นซุมบ้า บอกว่าเหนื่อยจะขาดใจ ถามหน่อยนะที่รัก นอกจากโยคะ กับ ซุมบ้า ยังมีคลาสไหนเหลืออีกบ้าง”
“แชร์เอ็กเซอร์ไซส์ “ ฉันตอบสะบัดๆ พลางนึกไปถึง คลาสเก้าอี้ดนตรี เอ๊ย กายบริหารด้วยเก้าอี้ของบรรดา ผู้อาวุโส หรือ ซีเนียร์ ซิติเซ่น ที่ออกกำลังกายแบบเรียบง่าย ด้วยการนั่งบนเก้าอี้ แล้วหมุนตัวไปมา ยกมือ เหยียดขา เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
“งั้นจะช้าอยู่ทำไม ไปสมัครซะพรุ่งนี้เลยซิ” แฟนผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แนะยิ้มๆ
“ฉันไม่ไปหรอกชั้นนั้น “ ฉันพูดจบก็เบ้ปาก ( ทำยังกับว่า วันหนึ่งจะไม่แก่อย่างนั้น )
“อ้าว ทำไมล่ะ “
“ขืนไป คงได้หลับพอดี ก็นักเรียนแต่ละคน อายุ เจ็ดเจ็ดสิบอัพ และบางคน แปดสิบ กว่าก็มี“
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ในเมื่อคุณเองอายุอานามก็ใกล้ๆพวกเขาเข้าไปทุกที”
“ถ้าไม่อยากเจอกำปั้น ถอยไปไกลๆ “ ฉันไม่ได้ขู่เฉยๆ ยกกำปั้นชูหรา ที่รักหัวเราะคิก ก่อนจะถอยไปตั้งหลักไกลๆ
แรกๆที่ไปเต้นซุมบ้า ฉันก็คึกคัก ฮึกเหิม แต่พอเจอจังหวะยากเย็น ฉันก็ทั้งท้อ และเหนื่อย เริ่มเป๋ และเขว สุดท้าย ก็เลยทำอย่างที่คนสิ้นหวังทุกคนทำกัน คือหาเหตุผลให้ตัวเอง ต่างๆนานา ที่จะไม่ไป
ไป ก็เท่านั้น หุ่นก็ยังบวมๆ อืดๆ ไม่เห็นลดลง สักที
หรือไม่ก็ ซุมบ้า มันของลาตินเขา เราคนไทย มันต้องรำฉุยฉาย หรือ ศรีนวล ถึงจะเข้ากับ ศิลปวัฒนธรรมไทย ว่าไปนั่น
ฉันเกือบจะทำสำเร็จ หลอกตัวเองได้อยู่แล้วเชียว หากไม่ คิดถึงคุณอลิส ขึ้นมา คุณอลิสที่ว่า ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้น
ซุมบ้า
คุณอลิศ เป็นคนพิการ เดินเหินไม่ถนัด แต่ทั้งที่พิการอย่างว่า เธอกลับไม่ย่อท้อ มายิมทุกวัน ไม่สาย ไม่ขาด ตรงเวลาเป๊ะ
และเพราะคุณอลิส นี่เอง ทำให้ฉันฉุกคิด
ขณะที่ฉัน และเพื่อนร่วมชั้น ที่ร่างกายครบอาการสามสิบสองประการ ใช้เวลาเดินจากลานจอดรถ มายังชั้นเรียน แค่ไม่กี่นาที แต่คุณอลิส ต้องใช้เวลามากกว่าสอง หรือสามเท่าตัว แต่เธอก็ยังสู้
คุณอลิส พิการแท้ๆ ยังทำได้
แล้วคนแขนขาดี ครบสามสิบสองประการอย่างฉัน ทำไม่ได้ ไม่อายคุณอลิศ เหรอ
เพราะอายคุณอลิส ทำให้ฉันเกิดความมานะ
สู้ว้อย !
พักหลังฉันไม่ได้ไปยิมหลายอาทิตย์ ไม่ใช่ขี้เกียจ หรือเลี่ยง แต่ เพราะธุรกิจรัดตัว และมันจะต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ฉันขาดเรียน พอโผล่ไปเรียนอีกครั้ง ครูสอนจะเพิ่มท่าใหม่ เพื่อนร่วมชั้นก็ใหม่ ที่เห็นๆก็ยายฟิลิปปินส์สองคนเพื่อนซี้ ที่เต้นไป มองมาทางฉันยิ้มๆ
ปกติ ฉันไม่ใช่คนคิดอะไรติดลบ แต่มักจะคิดอะไรในแง่ดี เพราะการคิดดี ทำให้จิตใจเป็นสุข แต่ฉันไม่เป็นสุข และคิดไม่ค่อยดีก็เพราะยายสองคนนี่ ที่มองมาแล้วยิ้ม แถมบ่อยครั้งที่ส่งสายตามาแบบท้าทาย เหมือนกับจะบอกว่า แน่เปล่าเรา ถ้าแน่ ก็มาประลองฝีมือกับเราสองคนหน่อยเป็นไร
สายตาพวกหล่อนมันฟ้อง ทำให้ต่อมมโนสาเร่ เอ๊ย มโน ของฉันทำงานอย่างหน่วงหนัก
เป็นได้หรือเปล่า สองคนนั่น พกความแค้นมาจากเวที ประกวดนางสาวจักรวาล
ฟิลลิปินส์ ไทย แข่งกันมาตลอด
ในชุดอาบน้ำ
ราตรี
และชุดประจำชาติ
ใครเหนือกว่า ก็เอาตำแหน่ง และเงินรางวัลไปกิน
แต่ในคลาสซุมบ้า เงินรางวัลไม่มี มงกุฎไม่ได้ เราเดิมพันกันด้วย ศักดิ์และศรี เกียรติภูมิของชาติ เอาวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน ขอลองฝีมือสักตั้ง วัดกันไปเลย ใครจะแกร่ง และถึก เอ๊ย อึดกว่ากัน
ด้วยความคิดที่ว่า ( ถ้าคิดน้อย … ก็ไม่ใช่ฉัน )
พอสาวตากาล็อก ดีดตัวดึ๋งๆ ฉันก็ส่งกลับ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ เหมือนกับเราว่า กำลังแข่งขันปิงปอง ทั้งหยอดหน้าเน็ต แบ็คแฮนด์ โฟร์แฮนด์ พูดถึงปิงปอง ขอให้บอก ฉันถนัดมาก
สมัยเรียน ฉันวิ่งไปวิ่งมา จนทุกคนทึ่ง ไปตามกันๆ แฮ่ๆ วิ่งเก็บลูกข้างสนามให้เพื่อนน่ะค่ะ แบบว่า มีน้ำใจมาแต่เด็กๆ
พูดถึงกำลังใจ ฉันนะเต็มร้อย แต่สังขารนี่ซิ กลับน้อยนิด เป็นรอง มิสฟิลิปปินส์ ทั้งสองท่านนั่น ที่ไม่ว่าจะเต้นกี่ท่า กี่เพลง ก็ดูไม่สะทกสะท้าน สะเทือนถึงหัวใจ แถมหัวเราะร่า ราวกับวิหคเหิรลม ( หัวเราะเยาะ ฉันแหงๆ )
ในขณะที่ มิสไทยแลนด์ อย่างฉัน เต้นไป ลิ้นห้อย ตาลาย ยาดมก็อยู่ในรถ ถ้ามียาหอมสักซอง จะละลาย แล้วกินมันเดี๋ยวนี้ สาวไทยหัวใจแกร่ง แต่สังขารไม่ให้ เริ่มเต้นช้าลงๆทุกทีๆ
เต้นไปเต้นมา คอแห้งผาด เพราะหิวน้ำ ฉันก็ เลย แถแซดๆ ไปคว้าขวดน้ำเย็นที่ตั้งอยู่ที่พื้นใกล้ๆ มากรอกใส่ปาก ตาทั้งสองอันพร่าพราย ภาพตรงที่เห็นหน้า ซับซ้อน แลเห็น ดาวหาง ดาวประจำเมือง ดาวไถ และดาวน้อยใหญ่ ระยิบๆ
ลมตีขึ้นมาเป็นละรอก แล้ว ละลอกเล่า ราวกับคลื่นในมหาสมุทร แอตแลนติก
ดื่มน้ำเสร็จก็ปิดจุกขวดเร็วๆ ยื่นไปจะตั้งที่โต๊ะ เดชะบุญ แค่คิด ไม่ได้ลงมือ เพราะสิ่งที่เห็นว่าเป็นโต๊ะ จริงๆแล้วไม่ใช่ โต๊ะ แต่เป็นก้นยายซาร่า ที่มองมาตาเขียวปัด
ขืนเอาน้ำตั้งลงไปบนนั้น เป็นได้เจอฝ่ามือพิฆาต ดีไม่ดี ยายซาร่าหาว่าฉันไปเหน็บแนมบั้นท้ายหล่อน โกรธขึ้นมา กระโดดทับฉันแบนจะว่าไง
สู้ๆ ฉันร้องบอกตัวเอง หลังจากเอาขวดน้ำไปเก็บที่ข้างฝาด้านนั้น ทันที่เห็นสายตาของ ฟิลปปินส์สองคน ที่มองมายิ้มๆ พลังที่ถดถอย กลับคืนมาอีกครั้ง
หลังจากเพลี้ยงพร้ำให้สองคนนั่นมาหลายท่า ก็มาถึงท่าโปรดของฉัน ซึ่งยังไงก็ไม่มีวันพ่ายแพ้เด็ด จะท่าอะไรละคะ พี่น้อง ถ้าไม่ใช่ท่า
นางแมวยั่วสวาท….. เหมียว ๆๆๆๆ
ที่ฉันชอบท่านี้เพราะมันง่าย และดูดี
สเต็ปแรก ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นหน้าอกไปข้างหน้า เขย่าไหล่ เขย่าหน้าอกแรงๆ เขย่า เรียบร้อย ก็ถอยกลับมายืนกับที่ เขย่าหน้าอกกับไหล่ไปพร้อมๆกัน อีกครั้ง
สเต็ปที่สอง ก็เหมือนกับสเต็ปแรก ต่างกันอยู่หน่อยก็ตรง แทนที่จะก้าวหน้า มาเป็นก้าวถอยหลัง ยื่นหน้าอกไปในอากาศ เขย่าไหล่ เขย่าหน้าอก แรงๆ เขย่า เรียบร้อย ก็ถอยกลับมายืนกับที่ เขย่าหน้าอกกับไหล่ไปพร้อมๆกัน อีกครั้ง และทำอย่างนั้นสลับไปมา กว่าจะจบเพลง
พูดถึงเรื่องเขย่า ขอให้บอก ฉันชำนาญมาก เพราะครั้งที่ยังอยู่แผ่นดินสยาม ติ้ว และเซียมซี เขย่ามาหมดแล้ว เขาว่า เรามักจะทำได้ดี ในสิ่งที่เราถนัด ด้วยเหตุนี้ ฉันเลยเขย่าอย่างไม่คิดชีวิต ทำในสิ่งที่ตัวเอง รัก และถนัดยิ่ง
ในยามนั้น หัวใจของฉันฮึกเหิม รู้สึกราวกับว่า ธงไตรรงค์สะบัดพลิ้วในหัวใจ เพลงชาติไทยกระหื่ม
แควก !
เสียงนั้น ดังแทรกเพลงชาติขึ้นมา แทรกเข้าไปในหัวใจน้อยๆของฉัน ไม่ต้องอาศัยสัมพัสพิเศษ ก็รู้ได้เดี๋ยวนั้น ว่าสายเสื้อชั้นในฉันขาด
พอสายเสื้อชั้นในขาดผลึง ฉันก็สูญเสียความทรงตัว จากที่ไม่เอียงซ้าย ป่ายขวา ตอนนี้เอียงกระเท่ เมื่อกี้ยังเต้นรัว ตอนนี้เต้นไม่ออก แต่จะวิ่งไปตั้งหลักที่ห้องน้ำ ก็ทำไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท เพราะเพื่อนๆกำลังเต้นกันอยู่