วันที่ 21 มิถุนายน
นั่งอยู่ดีๆปวดหัวแปล๊บ"อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต" ประมาณ 2 วินาทีแล้วมันก็หายไป
ปกติเป็นคนร่างกายแข็งแรง ไม่เคยนอนโรงพยาบาล เลยไม่ใส่ใจอะไร
วันที่ 24 มิถุนายน
ตัดสินใจไปคลีนิคใกล้ๆที่พัก เพราะหลังจากนั้นปวดหัวถี่ขึ้น (แถมวันที่ 29 ต้องบินไปญี่ปุ่น)
หมอบอกเครียด ให้ยาแก้ ยาแก้เครียด ยาขยายหลอดเลือด มากิน
วันที่ 27 มิถุนายน (ไปหาหมอครั้งที่ 1)
จุดแดงๆขึ้นตามตัว เลยไปโรงพยาบาลประกันสังคมครั้งแรก (หลังจากจ่ายเงินมา 6 เดือน แต่ไม่เคยไปใช้บริการ)
หมอผู้ชายคนนึงจับตรวจเลือด แล้วบอกว่าไม่ได้เป็นไข้เลือดออก ให้พารามากินแก้ปวดหัวแผงนึงเฉยๆ
หมอนัดพบอีกหลังจากนี้ 1 อาทิตย์
(ผมหยุดกินยาคลีนิคเอง เพราะคิดว่าจุดแดงๆมาจากยาคลีนิค แล้วก็จริงๆด้วย พอหยุดยาคลีนิคจุดแดงๆก็หาย)
วันที่ 8 กรกฏาคม (ไปหาหมอครั้งที่ 2)
กลับจากญี่ปุ่นวันที่ 5 ทำงานต่อวันที่ 6-7-8 อาการปวดหัวก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ร้าวไปถึงต้นคอ
และเริ่มมีอาการเวียนหัวทั้งวัน
ไหนๆหมอก็เคยนัดให้มาอีกรอบ ก็เลยไปหาหมอดูอาการอีกครั้งหลังเลิกงาน
คราวนี้เจอหมออีกคน หมอผู้หญิงพูดจาดี
หมอเค้าสั่งยาคลายกล้ามเนื้อ ยาลดปวดอักเสบ ยาลดกรดให้
แล้วก็บอกว่า "หายปวดหัวเมื่อไรหยุดกินได้เลยนะคะ" พอวันที่ 9-10 ก็ไปทำงานตามปกติ
วันที่ 11 กรกฏาคม วันหยุด (ไปหาหมอครั้งที่ 3)
สาเหตุที่ไปติดๆกัน เพราะเนื่องจากอยู่ดีๆก็รู้สึกมือชาเท้าชา ปวดแปล๊บๆตามร่างกาย โดยเฉพาะปลายนิ้วมือ
คลื่นไส้เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอตลอดเวลา ตาพร่าบ่อย
ด้วยความกังวล เพราะผมอยู่คนเดียว เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ก็คงไม่มีใครเห็น
เลยตัดสินใจไปพบหมออีกครั้ง โดยเอายาที่กินอยู่ไปให้หมอดูด้วย
คราวนี้เจอหมอผู้ชายตรวจละเอียดดีมาก พูดจาดีสุดๆ ผมก็ถามไปว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรใช่มั้ยครับ พอดีอยู่คนเดียว
หมอก็บอกว่า ไม่หรอก ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าเป็นอะไรเพิ่มเติม ก็มาบอกหมออีกทีนะ
หมอให้ยาลดวิตกกังวลมากินเสริมกับยาเก่า
วันที่ 15 กรกฏาคม (ไปหาหมอครั้งที่ 4)
อาการปวดหัวเริ่มหาย ปวดคอมากขึ้นร้าวไปถึงกลางหลัง เวียนหัวทั้งวัน เริ่มมีอาการอ้วก 2 ครั้ง (เป็นน้ำ)
ชาตามปลายนิ้วบ่อยกว่าเดิม ตาพร่าน้อยลง แต่บางครั้งรู้สึกว่าแขนขาด้านขวาเบาลง ไม่มีแรง
แต่ตอนนั้นก็คิดแล้วว่าตัวเองใกล้หายละ เพราะรู้สึกดีขึ้นกว่าเก่า แทบไม่ปวดหัวเลย
ประกอบกับยาแก้ปวดก็ใกล้หมดแล้ว (กินได้อีกวันก็หมดละ)
เลยกะจะไปปรึกษาหมอว่าจะยังไงต่อ อาการมันเปลี่ยนไปนิดหน่อย ยาก็จะหมด
อีกอย่างจะไปถามหมอว่า ยาลดวิตกกังวลจะหยุดกินตอนไหน? เพราะเท่าที่รู้มายานี้ห้ามหยุดเอง ให้ปรึกษาแพทย์ก่อน
ในวันนี้เองที่ทำให้ผมเสียความรู้สึกกับหมอมากๆ
ผมไปถึงโรงพยาบาลสองทุ่มครึ่ง
คราวนี้เป็นหมอผู้หญิงอายุราวๆพี่สาวผม .... พูดจาตะคอก เสียงดัง น้ำเสียงแย่
หมอ - "เป็นอะไรมา"
ผมเล่าย้อนก่อนว่าก่อนหน้านี้ปวดหัว แต่ตอนนี้หายแล้ว เปลี่ยนมาปวดคอแทน แล้วก็เล่าอาการที่เป็นอยู่ให้ฟัง
หมอก็จับมือผมไปตรวจๆ แล้วถามว่าทำงานอะไร (น้ำเสียงแย่มาก)
ผมตอบไปปกติ
หมอก็พูดราวกับหงุดหงิดผม "คนไข้กังวลว่าตัวเองเป็นอะไร ถึงมาหาหมอติดๆกันเนี่ย"
(ผมคิดในใจ มาหาทีไรไม่เคยซ้ำคนแล้วนางจะหงุดหงิดทำไม)
ผมบอกว่า "ก็ไม่ได้กังวลว่าเป็นอะไรครับ แต่อยากรู้ว่าเป็นอะไร เพราะอาการมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ"
และพูดต่อไปอีกนิดว่า "พอดีคุยกับแม่มา ว่าตอนนี้ผมเป็นคล้ายๆแม่ แม่เลยอยากให้หมอตรวจดูอีกที"
เท่านั้นแหละ เป็นเรื่องเลย
หมอ - "แม่คุณเป็นอะไรละ เป็นอะไร" (พูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว)
ผม - "กินข้าวแล้วช้อนหล่น มือชาเท้าชา เพราะแม่ผมเคยเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ผมคิดว่าอาการของผมไม่น่าจะใช่ เลยมาหาหมอก่อน"
หมอ - "โอ้ย คุณ โรคนี้มันเป็นกับคนอายุเยอะเท่านั้นแหละ แม่คุณทำมืออย่างงี้ได้มั้ยละ"
ผม - "ได้ครับ" (คิดในใจว่า เออ ก็แม่กุหายแล้วนี่)
หมอ - "คุณคิดว่าคุณเป็นโรคกระดูกทับเส้นหรอไง"
ผม- "ป่าวครับ"
หมอ - "อ้าว พูดกลับไปกลับมา ไหนคุณบอกคุณเป็นเหมือนแม่คุณไง " (ผมคิดในใจ กุบอกแบบนั้นตอนไหน? ไม่ได้พูดชื่อโรคนั้นเลยสักคำ)
ผม - "ผมบอกว่าอาการคล้ายกัน ไม่ได้บอกว่าเป็นเหมือนกัน ผมไม่รู้ก็เลยมาหาหมอ" (ผมเริ่มพูดเสียงดังบ้างละ)
ผมพูดต่อ - "ที่มาเนี่ย หมอคนเก่าเค้าบอกว่าหายปวดหัวเมื่อไรให้หยุดยา เลยจะมาถามหมอว่าปวดคอปวดหลังแทนจะต้องกินต่อมั้ย"
หมอ - "ยาแก้ปวดมันก็แก้ได้ทุกที่แหละคุณ ปวดหัว ปวดคอ ปวดหลัง ได้หมด!"
ผมเงียบไม่พูดอะไรต่อ แต่ในใจโกรธมาก ถ้ากุรู้กุจะมาหาหมอทำไมว่ะ
หลังจากนั้นหมอคนนี้ก็อธิบายอาการผมแบบเหวี่ยงๆเสียงดังใส่ แล้วบอกให้ผมไปนอนบนเตียงรอฉีดยา
พยาบาลก็จะเอายามาฉีดโดยไม่บอกสักคำ ว่ายาอะไร
ผมต้องเอ่ยปากถามเอง "ยาอะไรครับ" พยาบาลถึงจะตอบว่า "ยาแก้ปวด"
พอฉีดยาเสร็จ ผมรีบเดินออกจากห้องตรวจแบบไม่อยากจะขอบคุณหมอคนนี้เลย
(ปกติ ผมยกมือไหว้ขอบคุณหมอตลอด)
เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ทุกคนบอกเหมือนกันว่า "ถ้ามีอาการอีก ไปโรงพยาบาลอื่นเถอะ"
ผมก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เข็ดไปอีกนานเลย ไอที่จะปรึกษาเรื่องนู้นนี่ลืมหมดเพราะโดนหมอเหวี่ยงกระจาย
หมอ ณฐวร.(ชื่อย่อ) โรงพยาบาลแถวแยกคลองตัน ผมจะจำคุณไว้เลย
ปล.ถ้าเป็นปกติเจอแบบนี้ผมสวนกลับต่อหน้าแล้ว แต่ด้วยความไม่สบาย ซึมๆ ขอมาบ่นในเน็ทแทนละกันครับ
[ขอระบาย] เมื่อผมโดนหมอเหวี่ยงใส่
นั่งอยู่ดีๆปวดหัวแปล๊บ"อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต" ประมาณ 2 วินาทีแล้วมันก็หายไป
ปกติเป็นคนร่างกายแข็งแรง ไม่เคยนอนโรงพยาบาล เลยไม่ใส่ใจอะไร
วันที่ 24 มิถุนายน
ตัดสินใจไปคลีนิคใกล้ๆที่พัก เพราะหลังจากนั้นปวดหัวถี่ขึ้น (แถมวันที่ 29 ต้องบินไปญี่ปุ่น)
หมอบอกเครียด ให้ยาแก้ ยาแก้เครียด ยาขยายหลอดเลือด มากิน
วันที่ 27 มิถุนายน (ไปหาหมอครั้งที่ 1)
จุดแดงๆขึ้นตามตัว เลยไปโรงพยาบาลประกันสังคมครั้งแรก (หลังจากจ่ายเงินมา 6 เดือน แต่ไม่เคยไปใช้บริการ)
หมอผู้ชายคนนึงจับตรวจเลือด แล้วบอกว่าไม่ได้เป็นไข้เลือดออก ให้พารามากินแก้ปวดหัวแผงนึงเฉยๆ
หมอนัดพบอีกหลังจากนี้ 1 อาทิตย์
(ผมหยุดกินยาคลีนิคเอง เพราะคิดว่าจุดแดงๆมาจากยาคลีนิค แล้วก็จริงๆด้วย พอหยุดยาคลีนิคจุดแดงๆก็หาย)
วันที่ 8 กรกฏาคม (ไปหาหมอครั้งที่ 2)
กลับจากญี่ปุ่นวันที่ 5 ทำงานต่อวันที่ 6-7-8 อาการปวดหัวก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ร้าวไปถึงต้นคอ
และเริ่มมีอาการเวียนหัวทั้งวัน
ไหนๆหมอก็เคยนัดให้มาอีกรอบ ก็เลยไปหาหมอดูอาการอีกครั้งหลังเลิกงาน
คราวนี้เจอหมออีกคน หมอผู้หญิงพูดจาดี
หมอเค้าสั่งยาคลายกล้ามเนื้อ ยาลดปวดอักเสบ ยาลดกรดให้
แล้วก็บอกว่า "หายปวดหัวเมื่อไรหยุดกินได้เลยนะคะ" พอวันที่ 9-10 ก็ไปทำงานตามปกติ
วันที่ 11 กรกฏาคม วันหยุด (ไปหาหมอครั้งที่ 3)
สาเหตุที่ไปติดๆกัน เพราะเนื่องจากอยู่ดีๆก็รู้สึกมือชาเท้าชา ปวดแปล๊บๆตามร่างกาย โดยเฉพาะปลายนิ้วมือ
คลื่นไส้เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอตลอดเวลา ตาพร่าบ่อย
ด้วยความกังวล เพราะผมอยู่คนเดียว เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ก็คงไม่มีใครเห็น
เลยตัดสินใจไปพบหมออีกครั้ง โดยเอายาที่กินอยู่ไปให้หมอดูด้วย
คราวนี้เจอหมอผู้ชายตรวจละเอียดดีมาก พูดจาดีสุดๆ ผมก็ถามไปว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรใช่มั้ยครับ พอดีอยู่คนเดียว
หมอก็บอกว่า ไม่หรอก ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าเป็นอะไรเพิ่มเติม ก็มาบอกหมออีกทีนะ
หมอให้ยาลดวิตกกังวลมากินเสริมกับยาเก่า
วันที่ 15 กรกฏาคม (ไปหาหมอครั้งที่ 4)
อาการปวดหัวเริ่มหาย ปวดคอมากขึ้นร้าวไปถึงกลางหลัง เวียนหัวทั้งวัน เริ่มมีอาการอ้วก 2 ครั้ง (เป็นน้ำ)
ชาตามปลายนิ้วบ่อยกว่าเดิม ตาพร่าน้อยลง แต่บางครั้งรู้สึกว่าแขนขาด้านขวาเบาลง ไม่มีแรง
แต่ตอนนั้นก็คิดแล้วว่าตัวเองใกล้หายละ เพราะรู้สึกดีขึ้นกว่าเก่า แทบไม่ปวดหัวเลย
ประกอบกับยาแก้ปวดก็ใกล้หมดแล้ว (กินได้อีกวันก็หมดละ)
เลยกะจะไปปรึกษาหมอว่าจะยังไงต่อ อาการมันเปลี่ยนไปนิดหน่อย ยาก็จะหมด
อีกอย่างจะไปถามหมอว่า ยาลดวิตกกังวลจะหยุดกินตอนไหน? เพราะเท่าที่รู้มายานี้ห้ามหยุดเอง ให้ปรึกษาแพทย์ก่อน
ในวันนี้เองที่ทำให้ผมเสียความรู้สึกกับหมอมากๆ
ผมไปถึงโรงพยาบาลสองทุ่มครึ่ง
คราวนี้เป็นหมอผู้หญิงอายุราวๆพี่สาวผม .... พูดจาตะคอก เสียงดัง น้ำเสียงแย่
หมอ - "เป็นอะไรมา"
ผมเล่าย้อนก่อนว่าก่อนหน้านี้ปวดหัว แต่ตอนนี้หายแล้ว เปลี่ยนมาปวดคอแทน แล้วก็เล่าอาการที่เป็นอยู่ให้ฟัง
หมอก็จับมือผมไปตรวจๆ แล้วถามว่าทำงานอะไร (น้ำเสียงแย่มาก)
ผมตอบไปปกติ
หมอก็พูดราวกับหงุดหงิดผม "คนไข้กังวลว่าตัวเองเป็นอะไร ถึงมาหาหมอติดๆกันเนี่ย"
(ผมคิดในใจ มาหาทีไรไม่เคยซ้ำคนแล้วนางจะหงุดหงิดทำไม)
ผมบอกว่า "ก็ไม่ได้กังวลว่าเป็นอะไรครับ แต่อยากรู้ว่าเป็นอะไร เพราะอาการมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ"
และพูดต่อไปอีกนิดว่า "พอดีคุยกับแม่มา ว่าตอนนี้ผมเป็นคล้ายๆแม่ แม่เลยอยากให้หมอตรวจดูอีกที"
เท่านั้นแหละ เป็นเรื่องเลย
หมอ - "แม่คุณเป็นอะไรละ เป็นอะไร" (พูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว)
ผม - "กินข้าวแล้วช้อนหล่น มือชาเท้าชา เพราะแม่ผมเคยเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ผมคิดว่าอาการของผมไม่น่าจะใช่ เลยมาหาหมอก่อน"
หมอ - "โอ้ย คุณ โรคนี้มันเป็นกับคนอายุเยอะเท่านั้นแหละ แม่คุณทำมืออย่างงี้ได้มั้ยละ"
ผม - "ได้ครับ" (คิดในใจว่า เออ ก็แม่กุหายแล้วนี่)
หมอ - "คุณคิดว่าคุณเป็นโรคกระดูกทับเส้นหรอไง"
ผม- "ป่าวครับ"
หมอ - "อ้าว พูดกลับไปกลับมา ไหนคุณบอกคุณเป็นเหมือนแม่คุณไง " (ผมคิดในใจ กุบอกแบบนั้นตอนไหน? ไม่ได้พูดชื่อโรคนั้นเลยสักคำ)
ผม - "ผมบอกว่าอาการคล้ายกัน ไม่ได้บอกว่าเป็นเหมือนกัน ผมไม่รู้ก็เลยมาหาหมอ" (ผมเริ่มพูดเสียงดังบ้างละ)
ผมพูดต่อ - "ที่มาเนี่ย หมอคนเก่าเค้าบอกว่าหายปวดหัวเมื่อไรให้หยุดยา เลยจะมาถามหมอว่าปวดคอปวดหลังแทนจะต้องกินต่อมั้ย"
หมอ - "ยาแก้ปวดมันก็แก้ได้ทุกที่แหละคุณ ปวดหัว ปวดคอ ปวดหลัง ได้หมด!"
ผมเงียบไม่พูดอะไรต่อ แต่ในใจโกรธมาก ถ้ากุรู้กุจะมาหาหมอทำไมว่ะ
หลังจากนั้นหมอคนนี้ก็อธิบายอาการผมแบบเหวี่ยงๆเสียงดังใส่ แล้วบอกให้ผมไปนอนบนเตียงรอฉีดยา
พยาบาลก็จะเอายามาฉีดโดยไม่บอกสักคำ ว่ายาอะไร
ผมต้องเอ่ยปากถามเอง "ยาอะไรครับ" พยาบาลถึงจะตอบว่า "ยาแก้ปวด"
พอฉีดยาเสร็จ ผมรีบเดินออกจากห้องตรวจแบบไม่อยากจะขอบคุณหมอคนนี้เลย
(ปกติ ผมยกมือไหว้ขอบคุณหมอตลอด)
เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ทุกคนบอกเหมือนกันว่า "ถ้ามีอาการอีก ไปโรงพยาบาลอื่นเถอะ"
ผมก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เข็ดไปอีกนานเลย ไอที่จะปรึกษาเรื่องนู้นนี่ลืมหมดเพราะโดนหมอเหวี่ยงกระจาย
หมอ ณฐวร.(ชื่อย่อ) โรงพยาบาลแถวแยกคลองตัน ผมจะจำคุณไว้เลย
ปล.ถ้าเป็นปกติเจอแบบนี้ผมสวนกลับต่อหน้าแล้ว แต่ด้วยความไม่สบาย ซึมๆ ขอมาบ่นในเน็ทแทนละกันครับ