สวัสดีครับชาว Pantip
เข้าเรื่องเลยครับ อาจจะยาวหน่อยนะครับ พิมพ์ทีเดียวให้เสร็จเลย
เมื่อวันก่อน ผมทำงานเสร็จ ก็กลับมา หาซื้อหนมกิน และนั่งเล่นคนเดียวสนามฟุตบอลไกล้บ้าน
แต่....มี ผช แปลกหน้า 3 คนเดินเข้ามาคุยและถามรายละเอียดส่วนตัวของผม
ชื่ออะไร,อายุเท่าไร,เรียนที่ไหน,อยู่ปีไหนแล้ว,คณะอะไร ?
ผมก็ตอบไปด้วยความที่ผมไม่หยิ่ง
และเขาทั้ง 3 ก็บอกผมว่า พวกพี่ๆเป็นชาวคริสเตียนนะ อยากจะแนะนำให้รู้จัก และ ถามผมว่า "เคยมีคนเข้ามาถามอะไรแบบพวกพี่ไหม ?"
ผม : ไม่เคยมีครับ (พร้อมกับอยากฟังว่าพวกพี่ๆเขาจะพูดอะไรต่อ...)
พี่ A (นามสมมุติ)ถามผม : น้อง....(ชื่อผม) นับถือศาสนาอะไร ?
ผม : พุทธครับ แต่ตอนนี้ก็เริ่มๆห่างๆแล้วครับ เพราะเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์มากกว่า
ก็เลยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริส และ พระเจ้า
ผมจะสรุปเรื่องราวให้ฟังนะครับ ผมจำไม่ได้ทั้งหมด มันเยอะ
......ตอนแรกพี่ก็เป็นชาวพุทธนะ แต่อยากให้น้อง(ชื่อผม)ลองรับฟังนิดนึง และขอบคุณมากที่รับฟังพี่ๆ น้อง(ชื่อผม)เชื่อเรื่องพระเจ้าไหม ?
ผม : ไม่ค่อยเชื่อครับ
พวกพี่ๆน่ะ อยากให้น้อง(ชื่อผม) ลองไปที่โบสคริสที่ ซอย....... นะ พอดีพวกพี่ๆมีเพื่อนๆที่เรียนคณะเดียวกับน้อง เวลาน้อง(ชื่อผม)เนี่ย มีอะไรอยากให้ช่วยเหลือ พวกพี่ๆสามารถช่วยเหลือได้ และ พระเจ้าจะช่วยเหลือน้องด้วย
และพี่อีกคนนึง ตั้งให้เป็นชื่อ B เป็นนามสมมุติ ซึ่ง .... นั่งอยู่ข้างๆพี่ A
พี่ B : น้องไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าหรือ ? ที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกอะไรอย่างงี้น่ะ
ผม : อ้อ เคยครับ เรื่องที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกน่ะ กำลังสงสัยพอดี
พี่ B : สงสัยอะไรถามได้เลยนะครับ
ผม : พระเจ้าสร้างโลกจริงๆหรอครับ ?
พี่ B : ใช่ครับ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกๆอย่างในจักรวาลนี้
ผม : เอิ่ม....แล้วพระเจ้ามีวิธีการสร้างยังไงหรอครับ ?
พี่ B : พระเจ้ามีอำนาจในการสร้าง โดยการสั่งสร้างขึ้นมาเลย (ฟังแล้วก็งง)
ผม : จักรวาลนี้เกิดขึ้นได้ เพราะพระเจ้าสร้างหรอครับ ?
พี่ B : ใช่ครับ แม้ระบบสุริยะ หรือดวงอาทิตย์ และโลกที่เราอยู่ มีความห่างไกลกัน ทำให้เราอยู่ได้ เพราะพระเจ้าสร้าง
ผม : แล้วใครเป็นคนสร้างพระเจ้าหรอครับ ?
พี่ B : พระเจ้าก็คือผู้ที่มีอำนาจอันสูงสุด ไม่มีใครสร้างได้ครับ
ผม : ผมไม่เชื่อนะครับ ว่าพระเจ้าจะสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ผมเคยได้ศึกษา
.....ผมเชื่อในหลักการของวิทยาศาสตร์ครับ เรื่องที่พระเจ้าสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมานั้น มันไม่เป็นรูปธรรม การเกิดจักรวาล ที่ผมเคยอ่าน เป็นเพียงทฤษฎีชื่อว่า Bigbang ครับ ก่อนเกิด Bigbang ก็น่าจะมีอนุภาคหลายๆอนุภาค อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ซึ่งอนุภาคนี้มีประจุไฟฟ้าอยู่ในตัว (โปรตรอน p+ นิวตรอน n อิเล็กตรอน e-) ในเมื่อมารวมๆตัวกันมากๆจะเกิดแรงปะทะกัน ทำให้เกิดการระเบิดขึ้น แต่นี่เป็นเพียงทฤษฎีนะครับ เชื่อถือไม่ได้ 100percent หรอกครับ แต่ถ้าอีก 10 - 20 ปีข้างหน้ามีคนค้นพบอะไรที่น่าเชื่อถือได้กว่านี้ ทฤษฎีอื่นก็เข้ามาแทนที่ และ ทฤษฎี Bigbang ก็ตกไป เหมือนกับ การศึกษา เรื่องอะตอมในวิชาเคมีนั่นแหละครับ เมื่อเริ่มแรกมีคนคิดว่า อะตอมแบ่งแยกไม่ได้ แต่ในปัจจุบัน อะตอมแบ่งแยกได้อีกเป็นอนุภาคต่างๆลงไปอีก และ เรื่องที่ว่า พระเจ้าสร้างโลกน่ะ มันเชื่อถือไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานว่า
พระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ? พระเจ้าคือใคร ? พระเจ้ามีวิธีการสร้างอย่างไร ?
ถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง แสดงว่า พระเจ้าเป็นอัจฉริยะมากๆ สร้างธาตุต่างๆ สร้างอากาศ สร้าง Oxigen ให้เราหายใจ สร้าง Aluminium ให้มีสมบัติเป็นโลหะ เพราะฉะนั้นปัจจุบันที่ผมเป็นศาสนาพุทธน่ะ เริ่มมานับถือวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพราะมีหลักเหตุผลที่สามารถพิสูจน์ และ หาคำตอบได้ แต่บางเรื่องก็หาคำตอบไม่ได้ ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรครับ
พี่ A ก็เลยให้พี่ C เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า หลังจากที่พี่ C หันมานับถือศาสนาคริส
(จะเขียนโดยย่อๆนะครับ ผมจำไม่ได้ทั้งหมด)
ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อเหมือนน้อง(ชื่อผม)นั่นแหละ ตอนแรกพี่ก็นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ และก็มี พี่ A และพี่ B มาชวนพี่เข้าโบสท์น่ะ พี่ก็ตกใจนะ ว่า "เอ๊ะ ไอ้นี่มันใครเนี่ย พูดเรื่องอะไร ยิ่งพูดก็ยิ่งสงสัย พี่ก็เลยไปเข้าโบสท์" พี่เคยไม่เชื่อในพระเจ้า แต่ตอนนี้พี่สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า พระเจ้ามีอยู่จริงๆ พระเจ้าทรงช่วยเหลือพี่ทุกๆอย่างในชีวิต พี่เคยเรียน สอบบางวิชา อ่านหนังสือเท่าไร ไปสอบ ยังไงก็ไม่ผ่าน ก็ลงวิชานั้นๆจนปีสุดท้าย คือต้องสอบตัวนี้ให้ผ่านน่ะ เหลือแต่วิชานี้วิชาเดียวเท่านั้น ถึงจะจบ พี่ก็เลยขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า "ขอให้สอบผ่าน" พอถึงวันสอบพี่ก็ไปสอบ จนวันประกาศผลสอบที่ Board ประกาศผล อยู่ดีๆมีอะไรมาดลในใจว่า "จบแน่นอน" พอพี่เดินไปถึงหน้า Board พี่ยังไม่ดูชื่อตัวเองหรอก พี่ก็คุกเข่าหน้า Board นั่น ก้มลงนึกถึงพระเจ้าทำสมาธิ สักพักหนึ่ง ก็มาดูรายชื่อพี่ ปรากฏว่าสอบผ่าน พี่ก็เลยจบ และเริ่มเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงๆ แต่นั่นยังไม่พอหรอก ตอนที่ครอบครัวพี่เป็นหนี้อยู่ ประมาณ.....เกือบล้านได้ เพราะทำธุรกิจขาดทุน พี่ก็นึกถึงพระเจ้า และ 2 อาทิตย์ผ่านไป มีญาติพี่บินมาจากต่างประเทศ และก็เล่าเรื่องให้ฟังเกี่ยวกับภาระหนี้สิน พี่คนที่บินมาจากต่างประเทศก็บอกว่า "อะ เดี๋ยวปลดหนี้ให้แล้วกัน" พี่นี่แบบ รู้สึกว่า พระเจ้าช่วยเราได้ เพราะคำอธิฐานแน่ๆ พระเจ้ามีอยู่จริงๆ....
_____
จากเรื่องราวที่พี่ C เล่ามาข้างต้น ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อน
ที่เพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง...อยู่ ตจว. และมา กทม. จึงโทรหาผมบอกว่า....เฮ้ย (ชื่อผม) Gu มาเที่ยว กทม. นะโว้ยย มาหาป่าว ไม่ได้เจอกันนาน ให้ไปหาที่ 5 แยกปากเกร็ด สถานที่แห่งหนึ่ง มารู้ทีหลังว่าเป็นลัทธิอะไรสักอย่าง "นัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว"
ให้ผมเข้าไปนั่งฟังกับมันด้วย ก็เกี่ยวกับลัทธิหนึ่งของญี่ปุ่น (ผมก็งงนะ ว่าจะให้มาทำไมวะ อยากมาหาเพื่อนไม่ได้อยากมานั่งฟังอะไรนี่)
พอฟังเสร็จก็มีพี่ของเพื่อนผม ซึ่งรู้จักกัน ชื่อพี่ N (นามสมมุติ)
ก็เล่าให้ฟังแนวๆเดียวกับคริสเตียน ที่พี่ C เล่าให้ฟังข้างต้น
พี่เขาก็เล่าให้ฟัง
....ประมาณว่า ชีวิตเคยตกต่ำ พ่อกู้เงินมาให้พี่เรียนต่อมหาลัย เพราะแต่ก่อนพี่ยากจน แต่ไม่นาน พ่อพี่ก็เสียเพราะโรคมะเร็ง
พอพี่ไปรู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ที่มาชวนพี่นับถือศาสนานี้ ตอนแรกพี่ก็คิดว่า "เอ๊ะ ไอ้นี่มันเคร่งศาสนาป่าววะ" หลังๆมาตอนช่วงที่ชีวิตตกต่ำ
ก็เลยหวนนึกถึงคำพูดของพี่คนนั้นที่บอกว่า "เวลาต้องการอะไร อยากได้อะไร ให้ท่อง นัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว และ ขอสิ่งที่เราอยากได้ จะได้ในสิ่งทีเราต้องการ"
ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอท่องตามที่บอก และ ขอให้ปลดหนี้ให้กับพ่อผมด้วย และ ขอให้ได้งานเงินเดือนดีๆ ด้วยความที่พ่อพี่เสียแล้ว ก็เหลือแต่แม่กับพี่แหละ ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ ไม่นานก็มีเพื่อนของพ่อที่รู้จักกัน มาตามหาครอบครัวพี่เพื่อใช้หนี้ เพราะเพื่อนของพ่อพี่ ยืมเงินพ่อไป เมื่อคืนเงินที่เพื่อนพ่อยืมไป ทำให้พี่มีเงินปลดหนี้ได้ พี่ก็เลยเชื่อว่า "นัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว เนี่ยช่วยเหลือพี่ได้
(ผมก็ .... เอ๊ะ ทำไมมันแนวๆยืมเงิน ใช้หนี้ ปลดหนี้ แนวเดียวกันกับคริสเตียนเลยวะ)
(ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไรนะ ที่อยากจะมาชวนคนโน้นคนนี้ให้นับถือ
ผมคิดในใจ "ทุกๆวันนี้ก็ไม่ค่อยได้ไหว้พระ ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนมานานมากเป็น 10 ปีแล้ว ไม่ได้เข้าวัดมาหลายปี ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรที่แย่ลงเลย")
ผมบอก : มันเป็นเรื่องบังเอิญมั้งครับ อยู่ๆจะมีคนเอาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ทันทีได้ไง
พี่ N : มันมีจริงๆนะครับ ลองเชื่อดูสิ ไม่เสียหาย นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว นี่แหละ คือสุดยอดคำอธิฐาน ถึงในชาตินี้ใช้ไม่ได้ผล แต่การสวด นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว ก็มีผลให้ Design ชีวิตในชาติหน้าด้วย เหมือนเราสะสมบารมีเอาไว้เมื่อเราตาย และ ไปเกิดในชาติหน้า (ห๊ะ ? !! ออกแบบชีวิตในชาติหน้าเพราะท่อง นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว เนี่ยน่ะหรอ ?)
ผม : ห๊ะ ? ! ผมผมไม่เชื่อว่า ชาติหน้า หรือ อดีตชาติ มีจริง ผมคิดว่า คนเราเกิดมาครั้งเดียวตายครั้งเดียว
พี่ N : มีสิครับ ลองคิดดูนะ ดูต้นไม้สิ มันมีเกิด มันมีดับ พอต้นไม้มันตายแล้ว ก็เป็นแค่ไม้ธรรมดาที่ฝังอยู่ในดิน ต่อไปหลายปี มันสามารถเกิดใหม่ได้ เหมือนชีวิตคนแหละ เกิดตายเป็น Infinity ไม่สิ้นสุด
ผม : มันคนละอย่างกันครับ ถ้าผมตายไปน่ะ ญาติผมคงเอาไปเผา ก็กลายเป็นก๊าซเป็นขี้เถ้าไป เป็นสสารเหมือนเดิม เพราะสสารไม่หายไปจากโลกนี้ นอกจากจะเปลี่ยนสภาพจากอีกอย่างไปเป็นอีกอย่างเท่านั้น แล้วจะไป Reborn ในท้องแม่ใครได้ยังไง เรื่องวิญญงวิญญาณผมไม่เชื่อหรอก
พี่ N : วิญญาณมีจริงๆนะ พอเราตายไป วิญญาณก็จะไปเกิดใหม่ได้ในคนอื่นๆ ซึ่งมันเกี่ยวกับฟิสิกส์ควอนตัม
ผม : ฟิสิกส์ควอนตัม คือ สิ่งที่เกี่ยวกับอนุภาคที่เล็กระดับอะตอม ถ้าเราตายไปและเผา ก็กลายเป็นก๊าซ แล้ว ก๊าซพวกนั้น มันจะไปพันธะกับท้องใครได้ยังไง เพราะการกำเนิดคน ก็คือการปฏิสนธิ ไม่ใช่การพันธะทางวิญญาณ (แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฟิสิกส์ควอนตัม)
พี่ N : เชื่อไว้เถิด ไม่เสียหาย จะดีกับตนเอง
_____
ต่อเรื่องคริสเตียนกับพี่ A B C
จากนั้น....ผมก็อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือได้มากกว่า เรื่องนรกสวรรค์ ผมก็บอกเขาไปว่า
ผม : ความคิดส่วนตัวผมนะครับ ศาสนามีหลายศาสนา ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกๆคนเป็นคนดี เมื่อลองมองย้อนกลับไปสมัยโบราณ ตอนที่กำเนิดศาสนา ในยุคนั้นคงมีคนฆ่ากันตายเยอะ มีการลักขโมย มีการฆ่าสัตว์เกิดขึ้น ทำให้บุคคลหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่า ต้องสร้างอะไรสักอย่าง ที่ทำให้มนุษย์คิดได้ว่า การฆ่า การลักขโมย เป็นความผิด จึงสร้างเรื่อง บาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ ขึ้นมา เป็นนโยบายของคนในยุคนั้น เพื่อจุดประสงค์ให้ทำแต่ความดี
หลังจากนั้นก็เถียงกันต่อสักพัก ผมก็เลยขอตัวกลับ เพราะมันเริ่มจะดึกแล้ว ถ้าเถียงกันต่อไปก็คงไม่จบ และกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "จะนับถืออะไรไม่สำคัญ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว"
________________________________
อันนี้ คห.ส่วนตัว
ผมไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง ถ้ามีจริงมันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งสิ ถ้าชาวอังกฤษนับถือพุทธแต่ทำบาปไว้ เมื่อตกนรกไป แล้วยมทูตจะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า ? จะมีใครมาแปลให้ไหม ?
ถ้านรกสวรรค์มีจริง ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้สิ หรือไม่ก็อยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะไกลเป็นหลายร้อยหลายล้านปีแสงในอวกาศ เมื่อเราตายไป เราจะเดินทางไปยังนรกได้อย่างไร Teleport ไปอย่างงั้นหรือ ?
ที่ผ่านมาผมเคยเชื่อเรื่องบาปบุญ นรกสวรรค์ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่ได้ศรัทธาอะไรกับศาสนาใดๆ เพราะผมมั่นใจในตนเองมากกว่า อยากเรียนจบได้เกียรตินิยมก็ต้องขยันเรียนสิ อยากรวยก็ต้องทำงานขยันๆในทางที่ถูกสุจริต ไม่ใช่เอาแต่พึ่งสิ่งศักสิทธิ์อ้อนวอนโชคชะตาฟ้าลิขิต พึ่งตนเองดีกว่า ให้คิดไว้เสมอว่า ทำสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ส่งผลต่ออนาคตตามสิ่งที่เรากระทำนั่นแหละ จงมั่นใจในตนเอง อย่าพึ่งใครโดยไม่จำเป็น
ส่วนเรื่อง นรกและสวรรค์ บาปและบุญ ควรเป็นกลอุบาย ที่ควรจะมีในโลกต่อไป เพราะไม่งั้นอาจจะเกิดอาชญากรรมขึ้นมากกว่าเดิม (ก็ในความจริง นรกและสวรรค์ บาปและบุญ ไม่มีจริงแล้วจะทำดีไปเพื่ออะไรกัน !)
มีคนมาชวนคุยเรื่องศาสนา...
เข้าเรื่องเลยครับ อาจจะยาวหน่อยนะครับ พิมพ์ทีเดียวให้เสร็จเลย
เมื่อวันก่อน ผมทำงานเสร็จ ก็กลับมา หาซื้อหนมกิน และนั่งเล่นคนเดียวสนามฟุตบอลไกล้บ้าน
แต่....มี ผช แปลกหน้า 3 คนเดินเข้ามาคุยและถามรายละเอียดส่วนตัวของผม
ชื่ออะไร,อายุเท่าไร,เรียนที่ไหน,อยู่ปีไหนแล้ว,คณะอะไร ?
ผมก็ตอบไปด้วยความที่ผมไม่หยิ่ง
และเขาทั้ง 3 ก็บอกผมว่า พวกพี่ๆเป็นชาวคริสเตียนนะ อยากจะแนะนำให้รู้จัก และ ถามผมว่า "เคยมีคนเข้ามาถามอะไรแบบพวกพี่ไหม ?"
ผม : ไม่เคยมีครับ (พร้อมกับอยากฟังว่าพวกพี่ๆเขาจะพูดอะไรต่อ...)
พี่ A (นามสมมุติ)ถามผม : น้อง....(ชื่อผม) นับถือศาสนาอะไร ?
ผม : พุทธครับ แต่ตอนนี้ก็เริ่มๆห่างๆแล้วครับ เพราะเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์มากกว่า
ก็เลยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริส และ พระเจ้า
ผมจะสรุปเรื่องราวให้ฟังนะครับ ผมจำไม่ได้ทั้งหมด มันเยอะ
......ตอนแรกพี่ก็เป็นชาวพุทธนะ แต่อยากให้น้อง(ชื่อผม)ลองรับฟังนิดนึง และขอบคุณมากที่รับฟังพี่ๆ น้อง(ชื่อผม)เชื่อเรื่องพระเจ้าไหม ?
ผม : ไม่ค่อยเชื่อครับ
พวกพี่ๆน่ะ อยากให้น้อง(ชื่อผม) ลองไปที่โบสคริสที่ ซอย....... นะ พอดีพวกพี่ๆมีเพื่อนๆที่เรียนคณะเดียวกับน้อง เวลาน้อง(ชื่อผม)เนี่ย มีอะไรอยากให้ช่วยเหลือ พวกพี่ๆสามารถช่วยเหลือได้ และ พระเจ้าจะช่วยเหลือน้องด้วย
และพี่อีกคนนึง ตั้งให้เป็นชื่อ B เป็นนามสมมุติ ซึ่ง .... นั่งอยู่ข้างๆพี่ A
พี่ B : น้องไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าหรือ ? ที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกอะไรอย่างงี้น่ะ
ผม : อ้อ เคยครับ เรื่องที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกน่ะ กำลังสงสัยพอดี
พี่ B : สงสัยอะไรถามได้เลยนะครับ
ผม : พระเจ้าสร้างโลกจริงๆหรอครับ ?
พี่ B : ใช่ครับ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกๆอย่างในจักรวาลนี้
ผม : เอิ่ม....แล้วพระเจ้ามีวิธีการสร้างยังไงหรอครับ ?
พี่ B : พระเจ้ามีอำนาจในการสร้าง โดยการสั่งสร้างขึ้นมาเลย (ฟังแล้วก็งง)
ผม : จักรวาลนี้เกิดขึ้นได้ เพราะพระเจ้าสร้างหรอครับ ?
พี่ B : ใช่ครับ แม้ระบบสุริยะ หรือดวงอาทิตย์ และโลกที่เราอยู่ มีความห่างไกลกัน ทำให้เราอยู่ได้ เพราะพระเจ้าสร้าง
ผม : แล้วใครเป็นคนสร้างพระเจ้าหรอครับ ?
พี่ B : พระเจ้าก็คือผู้ที่มีอำนาจอันสูงสุด ไม่มีใครสร้างได้ครับ
ผม : ผมไม่เชื่อนะครับ ว่าพระเจ้าจะสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ผมเคยได้ศึกษา
.....ผมเชื่อในหลักการของวิทยาศาสตร์ครับ เรื่องที่พระเจ้าสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมานั้น มันไม่เป็นรูปธรรม การเกิดจักรวาล ที่ผมเคยอ่าน เป็นเพียงทฤษฎีชื่อว่า Bigbang ครับ ก่อนเกิด Bigbang ก็น่าจะมีอนุภาคหลายๆอนุภาค อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ซึ่งอนุภาคนี้มีประจุไฟฟ้าอยู่ในตัว (โปรตรอน p+ นิวตรอน n อิเล็กตรอน e-) ในเมื่อมารวมๆตัวกันมากๆจะเกิดแรงปะทะกัน ทำให้เกิดการระเบิดขึ้น แต่นี่เป็นเพียงทฤษฎีนะครับ เชื่อถือไม่ได้ 100percent หรอกครับ แต่ถ้าอีก 10 - 20 ปีข้างหน้ามีคนค้นพบอะไรที่น่าเชื่อถือได้กว่านี้ ทฤษฎีอื่นก็เข้ามาแทนที่ และ ทฤษฎี Bigbang ก็ตกไป เหมือนกับ การศึกษา เรื่องอะตอมในวิชาเคมีนั่นแหละครับ เมื่อเริ่มแรกมีคนคิดว่า อะตอมแบ่งแยกไม่ได้ แต่ในปัจจุบัน อะตอมแบ่งแยกได้อีกเป็นอนุภาคต่างๆลงไปอีก และ เรื่องที่ว่า พระเจ้าสร้างโลกน่ะ มันเชื่อถือไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานว่า
พระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ? พระเจ้าคือใคร ? พระเจ้ามีวิธีการสร้างอย่างไร ?
ถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง แสดงว่า พระเจ้าเป็นอัจฉริยะมากๆ สร้างธาตุต่างๆ สร้างอากาศ สร้าง Oxigen ให้เราหายใจ สร้าง Aluminium ให้มีสมบัติเป็นโลหะ เพราะฉะนั้นปัจจุบันที่ผมเป็นศาสนาพุทธน่ะ เริ่มมานับถือวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพราะมีหลักเหตุผลที่สามารถพิสูจน์ และ หาคำตอบได้ แต่บางเรื่องก็หาคำตอบไม่ได้ ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรครับ
พี่ A ก็เลยให้พี่ C เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า หลังจากที่พี่ C หันมานับถือศาสนาคริส
(จะเขียนโดยย่อๆนะครับ ผมจำไม่ได้ทั้งหมด)
ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อเหมือนน้อง(ชื่อผม)นั่นแหละ ตอนแรกพี่ก็นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ และก็มี พี่ A และพี่ B มาชวนพี่เข้าโบสท์น่ะ พี่ก็ตกใจนะ ว่า "เอ๊ะ ไอ้นี่มันใครเนี่ย พูดเรื่องอะไร ยิ่งพูดก็ยิ่งสงสัย พี่ก็เลยไปเข้าโบสท์" พี่เคยไม่เชื่อในพระเจ้า แต่ตอนนี้พี่สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า พระเจ้ามีอยู่จริงๆ พระเจ้าทรงช่วยเหลือพี่ทุกๆอย่างในชีวิต พี่เคยเรียน สอบบางวิชา อ่านหนังสือเท่าไร ไปสอบ ยังไงก็ไม่ผ่าน ก็ลงวิชานั้นๆจนปีสุดท้าย คือต้องสอบตัวนี้ให้ผ่านน่ะ เหลือแต่วิชานี้วิชาเดียวเท่านั้น ถึงจะจบ พี่ก็เลยขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า "ขอให้สอบผ่าน" พอถึงวันสอบพี่ก็ไปสอบ จนวันประกาศผลสอบที่ Board ประกาศผล อยู่ดีๆมีอะไรมาดลในใจว่า "จบแน่นอน" พอพี่เดินไปถึงหน้า Board พี่ยังไม่ดูชื่อตัวเองหรอก พี่ก็คุกเข่าหน้า Board นั่น ก้มลงนึกถึงพระเจ้าทำสมาธิ สักพักหนึ่ง ก็มาดูรายชื่อพี่ ปรากฏว่าสอบผ่าน พี่ก็เลยจบ และเริ่มเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงๆ แต่นั่นยังไม่พอหรอก ตอนที่ครอบครัวพี่เป็นหนี้อยู่ ประมาณ.....เกือบล้านได้ เพราะทำธุรกิจขาดทุน พี่ก็นึกถึงพระเจ้า และ 2 อาทิตย์ผ่านไป มีญาติพี่บินมาจากต่างประเทศ และก็เล่าเรื่องให้ฟังเกี่ยวกับภาระหนี้สิน พี่คนที่บินมาจากต่างประเทศก็บอกว่า "อะ เดี๋ยวปลดหนี้ให้แล้วกัน" พี่นี่แบบ รู้สึกว่า พระเจ้าช่วยเราได้ เพราะคำอธิฐานแน่ๆ พระเจ้ามีอยู่จริงๆ....
_____
จากเรื่องราวที่พี่ C เล่ามาข้างต้น ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อน
ที่เพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง...อยู่ ตจว. และมา กทม. จึงโทรหาผมบอกว่า....เฮ้ย (ชื่อผม) Gu มาเที่ยว กทม. นะโว้ยย มาหาป่าว ไม่ได้เจอกันนาน ให้ไปหาที่ 5 แยกปากเกร็ด สถานที่แห่งหนึ่ง มารู้ทีหลังว่าเป็นลัทธิอะไรสักอย่าง "นัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว"
ให้ผมเข้าไปนั่งฟังกับมันด้วย ก็เกี่ยวกับลัทธิหนึ่งของญี่ปุ่น (ผมก็งงนะ ว่าจะให้มาทำไมวะ อยากมาหาเพื่อนไม่ได้อยากมานั่งฟังอะไรนี่)
พอฟังเสร็จก็มีพี่ของเพื่อนผม ซึ่งรู้จักกัน ชื่อพี่ N (นามสมมุติ)
ก็เล่าให้ฟังแนวๆเดียวกับคริสเตียน ที่พี่ C เล่าให้ฟังข้างต้น
พี่เขาก็เล่าให้ฟัง
....ประมาณว่า ชีวิตเคยตกต่ำ พ่อกู้เงินมาให้พี่เรียนต่อมหาลัย เพราะแต่ก่อนพี่ยากจน แต่ไม่นาน พ่อพี่ก็เสียเพราะโรคมะเร็ง
พอพี่ไปรู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ที่มาชวนพี่นับถือศาสนานี้ ตอนแรกพี่ก็คิดว่า "เอ๊ะ ไอ้นี่มันเคร่งศาสนาป่าววะ" หลังๆมาตอนช่วงที่ชีวิตตกต่ำ
ก็เลยหวนนึกถึงคำพูดของพี่คนนั้นที่บอกว่า "เวลาต้องการอะไร อยากได้อะไร ให้ท่อง นัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว และ ขอสิ่งที่เราอยากได้ จะได้ในสิ่งทีเราต้องการ"
ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอท่องตามที่บอก และ ขอให้ปลดหนี้ให้กับพ่อผมด้วย และ ขอให้ได้งานเงินเดือนดีๆ ด้วยความที่พ่อพี่เสียแล้ว ก็เหลือแต่แม่กับพี่แหละ ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ ไม่นานก็มีเพื่อนของพ่อที่รู้จักกัน มาตามหาครอบครัวพี่เพื่อใช้หนี้ เพราะเพื่อนของพ่อพี่ ยืมเงินพ่อไป เมื่อคืนเงินที่เพื่อนพ่อยืมไป ทำให้พี่มีเงินปลดหนี้ได้ พี่ก็เลยเชื่อว่า "นัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว เนี่ยช่วยเหลือพี่ได้
(ผมก็ .... เอ๊ะ ทำไมมันแนวๆยืมเงิน ใช้หนี้ ปลดหนี้ แนวเดียวกันกับคริสเตียนเลยวะ)
(ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไรนะ ที่อยากจะมาชวนคนโน้นคนนี้ให้นับถือ
ผมคิดในใจ "ทุกๆวันนี้ก็ไม่ค่อยได้ไหว้พระ ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนมานานมากเป็น 10 ปีแล้ว ไม่ได้เข้าวัดมาหลายปี ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรที่แย่ลงเลย")
ผมบอก : มันเป็นเรื่องบังเอิญมั้งครับ อยู่ๆจะมีคนเอาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ทันทีได้ไง
พี่ N : มันมีจริงๆนะครับ ลองเชื่อดูสิ ไม่เสียหาย นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว นี่แหละ คือสุดยอดคำอธิฐาน ถึงในชาตินี้ใช้ไม่ได้ผล แต่การสวด นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว ก็มีผลให้ Design ชีวิตในชาติหน้าด้วย เหมือนเราสะสมบารมีเอาไว้เมื่อเราตาย และ ไปเกิดในชาติหน้า (ห๊ะ ? !! ออกแบบชีวิตในชาติหน้าเพราะท่อง นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว เนี่ยน่ะหรอ ?)
ผม : ห๊ะ ? ! ผมผมไม่เชื่อว่า ชาติหน้า หรือ อดีตชาติ มีจริง ผมคิดว่า คนเราเกิดมาครั้งเดียวตายครั้งเดียว
พี่ N : มีสิครับ ลองคิดดูนะ ดูต้นไม้สิ มันมีเกิด มันมีดับ พอต้นไม้มันตายแล้ว ก็เป็นแค่ไม้ธรรมดาที่ฝังอยู่ในดิน ต่อไปหลายปี มันสามารถเกิดใหม่ได้ เหมือนชีวิตคนแหละ เกิดตายเป็น Infinity ไม่สิ้นสุด
ผม : มันคนละอย่างกันครับ ถ้าผมตายไปน่ะ ญาติผมคงเอาไปเผา ก็กลายเป็นก๊าซเป็นขี้เถ้าไป เป็นสสารเหมือนเดิม เพราะสสารไม่หายไปจากโลกนี้ นอกจากจะเปลี่ยนสภาพจากอีกอย่างไปเป็นอีกอย่างเท่านั้น แล้วจะไป Reborn ในท้องแม่ใครได้ยังไง เรื่องวิญญงวิญญาณผมไม่เชื่อหรอก
พี่ N : วิญญาณมีจริงๆนะ พอเราตายไป วิญญาณก็จะไปเกิดใหม่ได้ในคนอื่นๆ ซึ่งมันเกี่ยวกับฟิสิกส์ควอนตัม
ผม : ฟิสิกส์ควอนตัม คือ สิ่งที่เกี่ยวกับอนุภาคที่เล็กระดับอะตอม ถ้าเราตายไปและเผา ก็กลายเป็นก๊าซ แล้ว ก๊าซพวกนั้น มันจะไปพันธะกับท้องใครได้ยังไง เพราะการกำเนิดคน ก็คือการปฏิสนธิ ไม่ใช่การพันธะทางวิญญาณ (แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฟิสิกส์ควอนตัม)
พี่ N : เชื่อไว้เถิด ไม่เสียหาย จะดีกับตนเอง
_____
ต่อเรื่องคริสเตียนกับพี่ A B C
จากนั้น....ผมก็อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือได้มากกว่า เรื่องนรกสวรรค์ ผมก็บอกเขาไปว่า
ผม : ความคิดส่วนตัวผมนะครับ ศาสนามีหลายศาสนา ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกๆคนเป็นคนดี เมื่อลองมองย้อนกลับไปสมัยโบราณ ตอนที่กำเนิดศาสนา ในยุคนั้นคงมีคนฆ่ากันตายเยอะ มีการลักขโมย มีการฆ่าสัตว์เกิดขึ้น ทำให้บุคคลหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่า ต้องสร้างอะไรสักอย่าง ที่ทำให้มนุษย์คิดได้ว่า การฆ่า การลักขโมย เป็นความผิด จึงสร้างเรื่อง บาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ ขึ้นมา เป็นนโยบายของคนในยุคนั้น เพื่อจุดประสงค์ให้ทำแต่ความดี
หลังจากนั้นก็เถียงกันต่อสักพัก ผมก็เลยขอตัวกลับ เพราะมันเริ่มจะดึกแล้ว ถ้าเถียงกันต่อไปก็คงไม่จบ และกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "จะนับถืออะไรไม่สำคัญ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว"
________________________________
อันนี้ คห.ส่วนตัว
ผมไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง ถ้ามีจริงมันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งสิ ถ้าชาวอังกฤษนับถือพุทธแต่ทำบาปไว้ เมื่อตกนรกไป แล้วยมทูตจะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า ? จะมีใครมาแปลให้ไหม ?
ถ้านรกสวรรค์มีจริง ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้สิ หรือไม่ก็อยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะไกลเป็นหลายร้อยหลายล้านปีแสงในอวกาศ เมื่อเราตายไป เราจะเดินทางไปยังนรกได้อย่างไร Teleport ไปอย่างงั้นหรือ ?
ที่ผ่านมาผมเคยเชื่อเรื่องบาปบุญ นรกสวรรค์ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่ได้ศรัทธาอะไรกับศาสนาใดๆ เพราะผมมั่นใจในตนเองมากกว่า อยากเรียนจบได้เกียรตินิยมก็ต้องขยันเรียนสิ อยากรวยก็ต้องทำงานขยันๆในทางที่ถูกสุจริต ไม่ใช่เอาแต่พึ่งสิ่งศักสิทธิ์อ้อนวอนโชคชะตาฟ้าลิขิต พึ่งตนเองดีกว่า ให้คิดไว้เสมอว่า ทำสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ส่งผลต่ออนาคตตามสิ่งที่เรากระทำนั่นแหละ จงมั่นใจในตนเอง อย่าพึ่งใครโดยไม่จำเป็น
ส่วนเรื่อง นรกและสวรรค์ บาปและบุญ ควรเป็นกลอุบาย ที่ควรจะมีในโลกต่อไป เพราะไม่งั้นอาจจะเกิดอาชญากรรมขึ้นมากกว่าเดิม (ก็ในความจริง นรกและสวรรค์ บาปและบุญ ไม่มีจริงแล้วจะทำดีไปเพื่ออะไรกัน !)