สวัสดีค่ะ พอดีว่า เห็นกระแส "สเต็มเซลล์" กำลังมาแรง ก็เลยหาข้อมูลว่าตกลงมันคืออะไรกันแน่ ? ช่วยอะไร ? มีประโยชน์และโทษไม๊ ?
กว่าจะหาที่เข้าประเด็นจริง ๆ นี้ยากมาก เพราะ เห็นแต่ "สเต็มเซลล์ดีที่สุดช่วยกระชากวัยกลับมาใสอีกครั้ง" อะไรประมาณนี้
แล้วสุดท้ายก็เจอใน "ไทยรัฐออนไลน์" (ข่าวของวันที่ 12 ก.ค. 2556 เวลา 05:00 และ 17 ก.ค. 2556 เวลา 05:00)
งั้นเริ่มข่าวสกู๊ปแรกก่อนแล้วค่อยต่อสกู๊ปที่สองในกระทู้ถัดไปนะคะ (ถ้าลงแล้วจะมาแปะลิงค์ไว้ให้ค่ะเพื่อมีใครสนใจ)
หัวข้อข่าว : "บ่องตง!สเต็มเซลล์หากินกับความไม่เข้าใจ"
เผยแพร่ : 12 ก.ค. 2556 05:00
“หากินกับความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยว กับสเต็มเซลล์” ถือเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนยามนี้
ผศ.นพ.ดร.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้าหน่วยสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัด และ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
อยากฝากข้อมูลเอาไว้ เพื่อปลูกปัญญา... ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
แม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์การแพทย์มีความก้าวหน้าเกี่ยวกับการวิจัยสเต็มเซลล์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจริง
จนทำให้เป็นข่าวไปทั่วโลกและนำสู่ความหวังในการจะหาทางรักษาโรคที่ยังไม่มีทางรักษาหลายๆโรค
แต่ความก้าวหน้านั้นยังไม่พร้อมที่จะนำไปใช้ในผู้ป่วย เพราะ...ยังไม่มีประสิทธิภาพพอและอาจเกิดผลร้ายได้ถ้าไม่ควบคุมให้ดี
ขณะเดียวกันในหลายๆประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มเกิดธุรกิจที่หาประโยชน์จากสเต็มเซลล์โดยอาศัยความดังของสเต็มเซลล์เป็นจุดขาย
ทั้งที่ขาดหลักฐานสนับสนุน อาศัยความเข้าใจที่ผิดของประชาชน ทำให้องค์กรแพทย์และนักวิจัยที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ
เช่น สมาคมการวิจัยสเต็มเซลล์นานาชาติ (International Society for Stem Cell Research หรือ ISSCR)
ต้องออกมาเตือนให้ระวังการหลอกลวงและฉกฉวยโอกาส ประเทศไทยก็มีแพทยสภาที่ตั้งกฎควบคุมและออกมาเตือนเป็นระยะๆ
สเต็มเซลล์สำคัญอย่างไร? ใช้รักษาอย่างไร?
คำตอบมีว่า... “โรคหลายโรคที่รักษาไม่หาย เป็นเพราะเมื่อเซลล์ร่างกายตายไปแล้ว ไม่สามารถสร้างใหม่ได้ ถ้าเราสร้างเซลล์ชนิดที่ตายไปแล้วนำมาปลูกถ่ายได้ก็อาจรักษาโรคได้ บางอวัยวะสเต็มเซลล์ของอวัยวะนั้นไม่ทำงาน การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของอวัยวะนั้นๆ ก็อาจรักษาโรคได้” อย่างไรก็ดี
การปลูกถ่ายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้มีเซลล์ชนิดที่ต้องการ ก็ไม่แน่ว่าจะปลูกเข้าไปแล้วจะรวมตัวกับอวัยวะของเราอย่างดี ในปัจจุบันมีเฉพาะสเต็มเซลล์เลือด
สเต็มเซลล์มีหลายชนิด...แต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
ความจริงเกี่ยวกับข้อมูลข้างต้นมีว่า...จริงๆแล้วในร่างกาย แต่ละอวัยวะมีสเต็มเซลล์ของตัวเอง ใช้สร้างเซลล์ของระบบนั้นๆ
เช่น สเต็มเซลล์เลือดจากไขกระดูก ใช้สร้างเม็ดเลือดชนิดต่างๆ สเต็มเซลล์สมองใช้สร้างเซลล์ประสาทและเซลล์เยื่อหุ้มประสาท เป็นต้น
สเต็มเซลล์เลือดสร้างเซลล์ประสาทหรือกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้
“สเต็มเซลล์ที่สร้างเซลล์ได้ทุกชนิดคือเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน แต่เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนยังมีการทดสอบในผู้ป่วยน้อยกว่า 10 รายทั่วโลก
ยังไม่พร้อมใช้ในทางคลินิกเพื่อการรักษาหรือการบริการ”
คนมักเข้าใจผิดว่า “สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก” เป็น “เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน” จริงๆแล้วไม่ใช่
ถึงแม้ว่าสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกจะเป็นแหล่งของสเต็มเซลล์เลือด แต่ก็ใช้รักษาได้เฉพาะโรคเลือดเท่านั้น
น่าสนใจว่า...แต่ในใบโฆษณาธุรกิจของธนาคารสายสะดือทารกหลายแห่งที่ใส่ว่า ใช้รักษาได้มากกว่า 100 โรคนั้น
ซึ่งรวมถึงโรคพันธุกรรมหรือโรคมะเร็ง และโรคสมอง เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ไปจนถึง ไตวาย เบาหวาน นั้นไม่เป็นความจริง
ต้องย้ำว่า...“สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก” รักษาโรคที่ว่าไม่ได้ สเต็มเซลล์ชนิดที่มีงานวิจัยในโรคกลุ่มที่กล่าวมานั้น
ไม่ใช่สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก
“สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกเป็นการเอาเซลล์ของเราไปรักษาผู้อื่น หรือเอาของผู้อื่นมารักษาเรา
ไม่ใช่ใช้ของตัวเอง เพราะสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกของตัวเองก็จะมีความผิดปกติอยู่ แพทย์ไม่ใช้มารักษาตัวผู้ป่วยเอง”
ถึงตรงนี้ คงต้องยอมรับความจริงที่ว่า...ธุรกิจการค้าอาศัยจุดที่ประชาชนไม่เข้าใจว่าสเต็มเซลล์แต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
และเข้าใจว่าสเต็มเซลล์รักษาได้ทุกโรค มักสกัดเซลล์ที่พอจะมีชื่อว่า “สเต็ม-เซลล์”...แล้วนำมาฉีดให้คนไข้ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร
ทั้งๆที่ไม่มีคุณสมบัติ ที่จะสร้างเซลล์ชนิดที่ต้องการได้หลังปลูกถ่าย ไม่มีหลักฐานสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์
สเต็มเซลล์ชนิดที่แยกมาได้ง่าย...สำหรับธุรกิจเหล่านี้ก็คือ “สเต็มเซลล์เลือด” จากไขกระดูกหรือรก
สเต็มเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เรียกกันว่า mesenchymal stem cells (MSC) ซึ่งได้จากไขมัน ไขกระดูก
ซึ่งสเต็มเซลล์อย่างหลังนี้เพาะเลี้ยงง่าย ไม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการเพาะ แต่พอมีชื่อว่าสเต็มเซลล์ก็สามารถโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อ
ขายบริการได้ราคาดีเป็นล้าน ทั้งที่ต้นทุนไม่มาก บางแห่งต้องการลดต้นทุนลงไปอีกก็ใช้คำว่า “สารสกัดจาก สเต็มเซลล์”
...ทั้งที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร ใส่อะไรลงไปบ้าง
อีกธุรกิจที่เกาะกระแส “สเต็มเซลล์” ก็คือ “เซลล์ซ่อมเซลล์” หรือกระทั่งไปจนถึงการใช้เซลล์จากสัตว์มาฉีดในผู้ป่วย
ซึ่งมีมานานแล้วในบางประเทศแต่ไม่เป็นที่ยอมรับในแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะขาดเหตุผลหลักฐานข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์
และมีผู้ป่วยที่ได้รับอันตรายถึงชีวิต
เนื่องจากแพทยสภาห้ามการฉีดสเต็มเซลล์เข้าในผู้ป่วยนอกจากสเต็มเซลล์เลือดที่ใช้ได้ในโรคเลือด
และที่ทำเป็นโครงการวิจัยที่มีการควบคุมดูแลสถานบริการทางธุรกิจเพื่อการค้าก็อ้างว่า กฎของ แพทยสภาไม่ครอบคลุมถึงเซลล์อื่นๆ
จริงๆการฉีดเซลล์เข้าร่างกายผู้ป่วย ถ้าเกิดอันตรายหรือแม้แต่ไม่ได้ผลจริงตามที่โฆษณา ผู้ป่วยสามารถฟ้องร้องได้
แม้จะเซ็นยินยอมแล้วเพราะผิดหลักการทางการแพทย์
ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวกับ “สเต็มเซลล์” นอกจากใช้หลอกผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังไม่มีทางรักษาแล้ว
ลูกค้ากลุ่มใหญ่อีกกลุ่มของธุรกิจนี้คือเรื่องเสริมความงาม ต้านวัยชรา แม้ไม่มีเหตุผลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับก็ขายได้ดี
โดยอาศัยการโฆษณา การกล่าวอ้างความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้ โดยเฉพาะที่เชื่อว่าดาราใช้แล้วได้ผล
...เป็นที่ทราบกันในทางการแพทย์ว่า มีสารอันตรายหลายชนิดที่ใช้แล้วให้ผลดีในช่วงแรกแต่ให้ผลเสียอย่างมากในระยะยาว
สิ่งที่ใช้ในธุรกิจเชิงการแพทย์พาณิชย์นี้มีหลากหลายมากโดยไม่มีการตรวจสอบว่าใส่สารอันตรายอะไรลงไปบ้าง
ทำให้ อย.มีประกาศห้ามเครื่องสำอางที่ใช้คำว่าสเต็มเซลล์
จบเรื่องราวเกี่ยวกับสเต็มเซลล์เอาไว้ปลูกปัญญากันเพียง เท่านี้...โอกาสหน้าค่อยคุยกันว่า “สเต็มเซลล์”...ฉีดแล้วเสี่ยงเป็นอะไรบ้าง
คุณรู้จัก "สเต็มเซลล์" ดีพอแล้วหรือยัง ?
กว่าจะหาที่เข้าประเด็นจริง ๆ นี้ยากมาก เพราะ เห็นแต่ "สเต็มเซลล์ดีที่สุดช่วยกระชากวัยกลับมาใสอีกครั้ง" อะไรประมาณนี้
แล้วสุดท้ายก็เจอใน "ไทยรัฐออนไลน์" (ข่าวของวันที่ 12 ก.ค. 2556 เวลา 05:00 และ 17 ก.ค. 2556 เวลา 05:00)
งั้นเริ่มข่าวสกู๊ปแรกก่อนแล้วค่อยต่อสกู๊ปที่สองในกระทู้ถัดไปนะคะ (ถ้าลงแล้วจะมาแปะลิงค์ไว้ให้ค่ะเพื่อมีใครสนใจ)
หัวข้อข่าว : "บ่องตง!สเต็มเซลล์หากินกับความไม่เข้าใจ"
เผยแพร่ : 12 ก.ค. 2556 05:00
“หากินกับความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยว กับสเต็มเซลล์” ถือเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนยามนี้
ผศ.นพ.ดร.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้าหน่วยสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัด และ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
อยากฝากข้อมูลเอาไว้ เพื่อปลูกปัญญา... ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
แม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์การแพทย์มีความก้าวหน้าเกี่ยวกับการวิจัยสเต็มเซลล์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจริง
จนทำให้เป็นข่าวไปทั่วโลกและนำสู่ความหวังในการจะหาทางรักษาโรคที่ยังไม่มีทางรักษาหลายๆโรค
แต่ความก้าวหน้านั้นยังไม่พร้อมที่จะนำไปใช้ในผู้ป่วย เพราะ...ยังไม่มีประสิทธิภาพพอและอาจเกิดผลร้ายได้ถ้าไม่ควบคุมให้ดี
ขณะเดียวกันในหลายๆประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มเกิดธุรกิจที่หาประโยชน์จากสเต็มเซลล์โดยอาศัยความดังของสเต็มเซลล์เป็นจุดขาย
ทั้งที่ขาดหลักฐานสนับสนุน อาศัยความเข้าใจที่ผิดของประชาชน ทำให้องค์กรแพทย์และนักวิจัยที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ
เช่น สมาคมการวิจัยสเต็มเซลล์นานาชาติ (International Society for Stem Cell Research หรือ ISSCR)
ต้องออกมาเตือนให้ระวังการหลอกลวงและฉกฉวยโอกาส ประเทศไทยก็มีแพทยสภาที่ตั้งกฎควบคุมและออกมาเตือนเป็นระยะๆ
สเต็มเซลล์สำคัญอย่างไร? ใช้รักษาอย่างไร?
คำตอบมีว่า... “โรคหลายโรคที่รักษาไม่หาย เป็นเพราะเมื่อเซลล์ร่างกายตายไปแล้ว ไม่สามารถสร้างใหม่ได้ ถ้าเราสร้างเซลล์ชนิดที่ตายไปแล้วนำมาปลูกถ่ายได้ก็อาจรักษาโรคได้ บางอวัยวะสเต็มเซลล์ของอวัยวะนั้นไม่ทำงาน การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของอวัยวะนั้นๆ ก็อาจรักษาโรคได้” อย่างไรก็ดี
การปลูกถ่ายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้มีเซลล์ชนิดที่ต้องการ ก็ไม่แน่ว่าจะปลูกเข้าไปแล้วจะรวมตัวกับอวัยวะของเราอย่างดี ในปัจจุบันมีเฉพาะสเต็มเซลล์เลือด
สเต็มเซลล์มีหลายชนิด...แต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
ความจริงเกี่ยวกับข้อมูลข้างต้นมีว่า...จริงๆแล้วในร่างกาย แต่ละอวัยวะมีสเต็มเซลล์ของตัวเอง ใช้สร้างเซลล์ของระบบนั้นๆ
เช่น สเต็มเซลล์เลือดจากไขกระดูก ใช้สร้างเม็ดเลือดชนิดต่างๆ สเต็มเซลล์สมองใช้สร้างเซลล์ประสาทและเซลล์เยื่อหุ้มประสาท เป็นต้น
สเต็มเซลล์เลือดสร้างเซลล์ประสาทหรือกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้
“สเต็มเซลล์ที่สร้างเซลล์ได้ทุกชนิดคือเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน แต่เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนยังมีการทดสอบในผู้ป่วยน้อยกว่า 10 รายทั่วโลก
ยังไม่พร้อมใช้ในทางคลินิกเพื่อการรักษาหรือการบริการ”
คนมักเข้าใจผิดว่า “สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก” เป็น “เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน” จริงๆแล้วไม่ใช่
ถึงแม้ว่าสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกจะเป็นแหล่งของสเต็มเซลล์เลือด แต่ก็ใช้รักษาได้เฉพาะโรคเลือดเท่านั้น
น่าสนใจว่า...แต่ในใบโฆษณาธุรกิจของธนาคารสายสะดือทารกหลายแห่งที่ใส่ว่า ใช้รักษาได้มากกว่า 100 โรคนั้น
ซึ่งรวมถึงโรคพันธุกรรมหรือโรคมะเร็ง และโรคสมอง เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ไปจนถึง ไตวาย เบาหวาน นั้นไม่เป็นความจริง
ต้องย้ำว่า...“สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก” รักษาโรคที่ว่าไม่ได้ สเต็มเซลล์ชนิดที่มีงานวิจัยในโรคกลุ่มที่กล่าวมานั้น
ไม่ใช่สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก
“สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกเป็นการเอาเซลล์ของเราไปรักษาผู้อื่น หรือเอาของผู้อื่นมารักษาเรา
ไม่ใช่ใช้ของตัวเอง เพราะสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกของตัวเองก็จะมีความผิดปกติอยู่ แพทย์ไม่ใช้มารักษาตัวผู้ป่วยเอง”
ถึงตรงนี้ คงต้องยอมรับความจริงที่ว่า...ธุรกิจการค้าอาศัยจุดที่ประชาชนไม่เข้าใจว่าสเต็มเซลล์แต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
และเข้าใจว่าสเต็มเซลล์รักษาได้ทุกโรค มักสกัดเซลล์ที่พอจะมีชื่อว่า “สเต็ม-เซลล์”...แล้วนำมาฉีดให้คนไข้ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร
ทั้งๆที่ไม่มีคุณสมบัติ ที่จะสร้างเซลล์ชนิดที่ต้องการได้หลังปลูกถ่าย ไม่มีหลักฐานสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์
สเต็มเซลล์ชนิดที่แยกมาได้ง่าย...สำหรับธุรกิจเหล่านี้ก็คือ “สเต็มเซลล์เลือด” จากไขกระดูกหรือรก
สเต็มเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เรียกกันว่า mesenchymal stem cells (MSC) ซึ่งได้จากไขมัน ไขกระดูก
ซึ่งสเต็มเซลล์อย่างหลังนี้เพาะเลี้ยงง่าย ไม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการเพาะ แต่พอมีชื่อว่าสเต็มเซลล์ก็สามารถโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อ
ขายบริการได้ราคาดีเป็นล้าน ทั้งที่ต้นทุนไม่มาก บางแห่งต้องการลดต้นทุนลงไปอีกก็ใช้คำว่า “สารสกัดจาก สเต็มเซลล์”
...ทั้งที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร ใส่อะไรลงไปบ้าง
อีกธุรกิจที่เกาะกระแส “สเต็มเซลล์” ก็คือ “เซลล์ซ่อมเซลล์” หรือกระทั่งไปจนถึงการใช้เซลล์จากสัตว์มาฉีดในผู้ป่วย
ซึ่งมีมานานแล้วในบางประเทศแต่ไม่เป็นที่ยอมรับในแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะขาดเหตุผลหลักฐานข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์
และมีผู้ป่วยที่ได้รับอันตรายถึงชีวิต
เนื่องจากแพทยสภาห้ามการฉีดสเต็มเซลล์เข้าในผู้ป่วยนอกจากสเต็มเซลล์เลือดที่ใช้ได้ในโรคเลือด
และที่ทำเป็นโครงการวิจัยที่มีการควบคุมดูแลสถานบริการทางธุรกิจเพื่อการค้าก็อ้างว่า กฎของ แพทยสภาไม่ครอบคลุมถึงเซลล์อื่นๆ
จริงๆการฉีดเซลล์เข้าร่างกายผู้ป่วย ถ้าเกิดอันตรายหรือแม้แต่ไม่ได้ผลจริงตามที่โฆษณา ผู้ป่วยสามารถฟ้องร้องได้
แม้จะเซ็นยินยอมแล้วเพราะผิดหลักการทางการแพทย์
ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวกับ “สเต็มเซลล์” นอกจากใช้หลอกผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังไม่มีทางรักษาแล้ว
ลูกค้ากลุ่มใหญ่อีกกลุ่มของธุรกิจนี้คือเรื่องเสริมความงาม ต้านวัยชรา แม้ไม่มีเหตุผลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับก็ขายได้ดี
โดยอาศัยการโฆษณา การกล่าวอ้างความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้ โดยเฉพาะที่เชื่อว่าดาราใช้แล้วได้ผล
...เป็นที่ทราบกันในทางการแพทย์ว่า มีสารอันตรายหลายชนิดที่ใช้แล้วให้ผลดีในช่วงแรกแต่ให้ผลเสียอย่างมากในระยะยาว
สิ่งที่ใช้ในธุรกิจเชิงการแพทย์พาณิชย์นี้มีหลากหลายมากโดยไม่มีการตรวจสอบว่าใส่สารอันตรายอะไรลงไปบ้าง
ทำให้ อย.มีประกาศห้ามเครื่องสำอางที่ใช้คำว่าสเต็มเซลล์
จบเรื่องราวเกี่ยวกับสเต็มเซลล์เอาไว้ปลูกปัญญากันเพียง เท่านี้...โอกาสหน้าค่อยคุยกันว่า “สเต็มเซลล์”...ฉีดแล้วเสี่ยงเป็นอะไรบ้าง