ลิขิตขัตติยา บทที่ 1

กระทู้สนทนา
ฝากให้อ่าน ติชม เสนอแนะ วิพากษ์วิจารณ์จร้าๆ





ลิขิตขัตติยา บทที่ ๑







บัลลังก์นั้นพราวสีไปด้วยอัญมณีน้ำงาม

ตำแหน่งที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า

ยามแสงอรุณทอทาบลงมายิ่งวาวระยับ

ทว่า...

ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นชรายิ่ง

เกศาสีขาว ยาว แลคล้ายสายป่านปอ ...แห้งแล้ง

มงกุฎทอง แลราวจะหม่นมัวลง เมื่อประดับอยู่เหนือเศียร

ราชาราอาลล์ แก่เกินไปแล้วสำหรับราชการงานเมือง

ทุกสายตาต่างจับจ้อง การเสด็จออกท้องพระโรง ทุกวันนี้ มีแต่ความลุ้นระทึก

หากมิใช่นาง...

จะมอบบัลลังก์ให้ผู้ใด

หรือ...

หากมอบราชบัลลังก์ให้นาง

มีหรือที่... ราชธิดาองค์น้อยนั่น จะรักษาเอาไว้ได้

ราชธิดาองค์เดียว งดงามหมดจด สดใสและเข้มแข็ง

แม้มิมีผู้ใดจะกล้าปรามาสฝีมือและสติปัญญา

แต่กาลเช่นนี้...

ใครเล่าอยากจะอยู่ใต้การปกครองของสตรี

มุขมนตรี อำมาตย์ราชครู ผู้มีหน้าที่เฝ้าตามตำแหน่ง ต่างชำเลืองแล

อีกทาง ที่นครนี้จะมั่งคง

ราชาราอาลล์ต้องเลือก

ใช่!...

เป็นราชาราอาลล์นั่นละที่ต้องเลือก... มิใช่นาง...

ราชาราอาลล์ต้องเลือก

ราชบุตรเขย ผู้จะมาเป็นราชสวามีแห่งนาง

ผู้จะมาคอยช่วยค้ำจุนบัลลังก์แห่งนาครให้มั่นคง

ผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างคนก็ต่างคิด

แต่มิมีผู้ใดกล้าปริปาก

ท่านมหาเสนายังค้อมกายอยู่ด้านซ้าย

ท่านมหาแสนยากรยังค้อมกายอยู่ด้านขวา

ท่านมหาเสนาคุมการคลังและกำลังฝ่ายพลเรือน กรมวังและตำรวจหลวงล้วนอยู่ในกำมือ

ท่านมหาแสนยากรคุมการทหาร หัวเมืองต่างๆ ต่างนบนอบ คลังแสงคลังเสบียงล้วนอยู่ในอาณัติ

ทั้งสองท่านต่างมีบุตรชาย

ทั้งสองท่านต่างย่อมมั่นหมาย

ใครจะค้ำบัลลังก์ได้ดีเท่าบุตรชายตน

และใครจะเป็นเสี้ยนหนามกีดขวางตำแหน่งราชสวามี เท่ากับ...

คนที่ยืนอยู่แทบบาท อีกฟากหนึ่งของราชบัลลังก์ขณะนี้

คมตาสบประสาน แววมาดร้ายมิได้ด้อยไปกว่ากัน

จนราชาผู้ชราภาพยิ่งแล้วเริ่มเคลื่อนไหวนั่นแล

จึงยิ่งค้อมกายให้ต่ำลงกว่าตอนที่ลืมตน

คล้ายไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตา กษัตริย์ชราจึงแลเลย...

ท้องพระโรงตอนกลาง ปูลาดไว้ด้วยพรมกำมะหยี่สีน้ำเงินสดขลิบทอง

ทอดตรงไปยังทางทิศอรุณ

ใครก็รู้...

พรมนี้สำหรับนางเดียวก้าวผ่าน

สำหรับนางเดียวผู้อาจหาญ มิเคยเกรงใคร

นางเดียวกับราชธิดาองค์น้อย ที่เหล่าเสนามาตย์ต่างแลเห็น

การเจริญวัยจนพรั่งพร้อม

ยามยุรยาตรราวราชหงส์

พระวรองค์ราวนางราชสีห์

คมเนตรราวเนตรพญาอินทรี

วงพักตร์ราวพระมหาเทวีจำแลงองค์


บัดนี้นางผู้นั้นก้าวตรงมาตามทาง

ร่างระหง สง่า มิเพียงเฉกเช่นนางกษัตริย์ แต่... ยิ่งกว่า

เนตรชำเลืองซ้ายขวา ใครเล่าจะกล้าต่อตา

จนถึงตำแหน่งอันควร จึงถวายคำนับ

“ภักดีนิรันดร ขอพระองค์ทรงพระปรีดา”

“พ่อจะปรีดาไปได้อย่างไรเอรีย์”

ราชาส่งเสียงแผ่วทักทาย คล้าย... ตำหนิ

“เพคะเสด็จพ่อ”

เอรียาร์ ราชธิดาแห่งราชาราอาลล์แสดงท่าคล้ายไม่เข้าใจ

“เจ้ามิเคยเฝ้าพ่อจากหลังฉาก ฉนวนของนางในเจ้ามิเคยยอมใช้”

คราวนี้คล้ายตัดพ้อ

“พ่อมีลูกสาวคนเดียว ที่ห่วงที่สุดคือเจ้า”

เสียงอืออองึมงำระงมไป องค์หญิงเอรียาร์ยิ่งจับความนั้นได้

“ลูกดูแลตัวเองได้ จะคุ้มกันดูแล ปกป้องราชบัลลังก์เพื่อท่านพ่อตลอดไป”

“พ่อแก่มากแล้ว”

“ท่านยัง...”

“เอรียาร์ ไม่มีใครชนะลิขิตแห่งชีวิตได้นะลูก ลิขิตนั้นคือเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องตาย”

“ท่านยังแข็งแรง”

ราชธิดากล้าขัดคำ

“ฟังพ่อ”

แต่เมื่อราชบิดาปรับน้ำเสียงให้เข้มขึ้น ทุกคน... ก็ต้องรับฟัง

“ราชสาสน์จากซาบาห์ พ่อตัดสินใจแล้ว”

เสียงอึงคนึงดังขึ้นอีกคราว ครั้งนี้มีถ้อยกระซิบถาม ราชทูตจากซาบาห์มาตั้งแต่เมื่อไร ไยเงียบเชียบไม่สมเกียรติแห่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนตะวันตก

ราชาราอาลล์ยกหัตถ์ เป็นสัญญาให้ระงับเสียง

ทั้งท้องพระโรงนิ่งงัน เสียงลมหายใจยังแทบมิมีเล็ดลอด

ราชธิดายังยืนรอคำ

“พ่อจะส่งเจ้าไปเข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าชายแห่งซาบาห์”

คราวนี้เสียงอื้ออึงดังกระหึ่มขึ้นทั้งท้องพระโรง

“ราชสาสน์นั้นผิดราชประเพณี ไม่สมพระเกียรติยศ ไม่แน่อาจมีคนปลอมแปลงมาเพราะประสงค์ร้ายนะพ่ะย่ะค่ะ”

ท่านมหาแสนยากรรีบทัดทาน ขยับกายหันมาคุกเข่าถวายคำนับพร้อมแสดงความคิดเห็น

ท่านมหาเสนาก็ทันกัน

“ไม่เคยมีข่าวคราวจากตำรวจหลวงนายเวร ว่ามีราชทูตคณะใดเดินทางมาจากซาบาห์นะพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงในที่ประชุมเริ่มเซ็งแซ่ ทั้งเห็นด้วยทั้งขัดแย้ง

เอรียาร์ได้แต่สบเนตรกับพระบิดา โดยยังไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำอันใด

ทำไมราชธิดาแห่งมาราลล์ผู้นี้จะไม่รู้

ไม่เคยมีข่าวคราวใดจากซาบาห์ทั้งสิ้น

แน่ใจได้เลยว่าไม่มี...

ระหว่างที่สรรพเสียงยังอึงอล สับสน

องค์หญิงเอรียาร์ ราชธิดาพระองค์เดียวแห่งกษัตริย์ชราราอาลล์ ผู้ครอบครองนครมาราลล์มายาวนาน กลับนิ่งคิด... ตรึกตรอง

เจ็ดทิวามาแล้วที่ท่านพ่อลอบส่งคนออกไปทางทิศซาบาห์

นั่นไง... เลศนัย

แต่ยังไม่มีใครกลับมา

แล้วข่าวนั่นจะมาได้อย่างไร

ราชสาสน์ ใครเล่าเคยเห็น

หรือท่านพ่อจะทรงปด

กษัตริย์หรือจะกล่าวถ้อยคำอันเป็นเท็จ

กษัตริย์หากอสัตย์... จะครองบัลลังก์อยู่กระไรได้

“ท่านพ่อ...”

องค์หญิงแห่งมาราลล์กล่าวออกมาได้เพียงแค่นั้น

ทั้งอยากถาม

ทั้งอยากรู้

ทั้งอยาก... ปฏิเสธ

“พ่อตัดสินใจไปแล้ว วันพรุ่งจักออกเดินทาง นายทหารอารักขา พ่อจัดหาไว้แล้ว”

“ไว้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันนะพ่ะย่ะค่ะพระองค์”

มหาแสนยากรรีบอาสา

“ส่งเสด็จเป็นเรื่องของกรมวัง ตำรวจหลวง เป็นหน้าที่ของเกล้ากระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

มหาเสนาย่อมไม่ยอมน้อยหน้า

“ข้าบอกว่าจัดหาไว้แล้ว”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ เสนา แสนยากร ข้าตัดสินใจไปแล้ว มันจะดีกับทุกฝ่าย”

“ไม่เพคะ ไม่ดีกับใครเลย”

เสียงขององค์หญิงยังสั่นนิดๆ ทั้งที่พยายามควบคุมไว้อย่างที่สุด

“ลูกไม่ปรารถนา”

“ไม่ใช่การตัดสินใจของเจ้าเอรีย์”

“แต่มันเป็นเรื่องของลูก อนาคตของลูกนะเพคะ”

“นั่นละ พ่อถึงต้องตัดสินใจ”

“แทนลูกงั้นรึ”

“พ่อตัดสินใจของพ่อเอง ไม่ได้ตัดสินใจแทนใคร”

“เสด็จพ่อ...”

“เอรียาร์ เจ้าคือสายเลือดกษัตริย์บริสุทธิ์”

“นั่นละ ลูกถึงไม่ยอมให้สิ่งไรมาแปดเปื้อน”

“เจ้าชายแห่งซาบาห์คุณสมบัติครบถ้วน... เอาละ พอแค่นี้”

เสียงแตรดังยาวเป็นสัญญาณ... เสด็จขึ้น


(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่