พอสะโหน นักสืบอิสระ : พินัยกรรมฉบับสีเลือด บทที่ 1

กระทู้สนทนา
รุจรีกุลีกุจอคัดเลือกธีมงานวันเกิดให้คุณพ่อของเธอ พนักงานบริษัทจัดงานอีเวนท์กำลังนำเสนอความเริดหรูและความเป็นเอกลักษณ์ สำหรับลูกค้ากระเป๋าหนักทั้งหลาย รูปแบบงานๆเดียวที่จะถูกขายให้ลูกค้าแค่เจ้าเดียวแล้วจะไม่ถูกนำกลับมาขายใหม่อีกเลย ในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าจะเป็นวันเกิดของพ่อเธอ

'นพดล' เจ้าของธุรกิจเสริมความงามที่มีสาขาทั่วประเทศ รีสอร์ทชื่อดังในเมืองใหญ่หลายที่ ทรัพย์สินของเขายังรวมไปถึงหุ้นของบริษัทใหญ่ๆอีกหลายสิบแห่งที่ถืออยู่ในชื่อของนพดล บ้านพักที่เขาพักมีอาณาเขตพื้นที่กว้างพอๆกับหมู่บ้านย่อมๆ ข้างในมีคลับ สปอร์ทคอมเพล็กซ์ คลินิคเล็กๆพร้อมหมอ โรงภาพยนต์ ห้องสมุด ทะเลสาบ สวนหย่อม ห้องสะสมงานศิลปะ และอีกมากมายที่คนรวยเท่านั้นที่จะมีเป็นของส่วนตัวได้

เสียงโทรศัพท์รุจรีดังขึ้นขัดจังหวะการเลือกดู

"ยัยรุจ! แอบหนีไปเลือกงานวันเกิดให้พ่อคนเดียว หวังเอาใจพ่อเต็มที่เลยสิ"

พรประภาพี่สาวของรุจรีทำเสียงสูงผ่านโทรศัพท์ เมื่อรู้จากเลขาของรุจรีว่าเธอมาเลือกธีมงานวันเกิดให้นพดล พ่อของทั้งสองคน

"พี่ก็ว่าไป น้องโทรหาพี่ตั้งแต่เช้าแล้วว่าจะให้มาช่วยกันเลือก แต่พี่พรไม่ยอมรับสาย พี่เมกับพี่เอกกำลังจะมาช่วยน้องเลือกเหมือนกัน เดี๋ยวคงมาถึง อ่อ! พี่บูนก็จะตามมาด้วยนะ"

รุจรีพูดถึงเมธาวีพี่ชายคนโตสุด เอกพลพี่ชายคนรองและพิบูลย์น้องชายเล็กคนรอง

"เจ้าบูนก็ไปด้วยเหรอ ไอ้น้องคนนี้ถ้าไม่เรื่องหวังเอาใจคุณพ่อมันไม่ยอมโผล่มาให้เห็นหัวหรอก เอ่อๆเดี๋ยวพี่จะไป รอด้วยละกัน แล้วห้ามเลือกก่อนที่พี่จะไปถึงด้วยล่ะ"

รถสปอร์ทหรู Mazda MX5 สีบรอนซ์เทาเข้าจอดเทียบฟุตบาธหน้าประตูทางเข้าบริษัทจัดงาน พรประภารีบเปิดประตูเดินเข้าไป เธอเห็นรุจรีกำลังง่วนกับการเปิดดูเอกสารพร้อมกับเอกพลที่กำลังปรึกษากับรุจรี เอกพลถามความเห็นพี่ชายเมธาวีที่กำลังยุ่งกับการดูกราฟหุ้นบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ส่วนพิบูลย์กำลังคุยโทรศัพท์ง้อแฟ้นสาวเรื่องที่เขาแอบไปกุ๊กกิ๊กกับสาวอื่น

หลังจากที่รุจรี พรประภาและเอกพลตกลงเลือกธีมงานวันเกิดของคุณพ่อ พวกเขาเลือกงานสไตล์ยุโรปยุคฟื้นฟูศิลปะ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้ผู้เป็นพ่อ เมธาวีและพิบูลย์เห็นด้วยแม้เขาทั้งสองยังไม่รู้เลยว่าธีมงานที่เลือกคืออะไร

.....

ประตูรั้วเหล็กหนาสูงเกือบ 3 เมตรค่อยๆเปิดออกด้วยแรงดึงไฮดรอลิค รถมอเตอร์ไซค์ Ducati 1199 Panigale R จอดรอให้ประตูเปิดกว้างพอ ก่อนที่เจ้าบิ๊กไบค์คันนั้นจะพุ่งหลบหายเข้าไป

"เจ้าบูน! มาช้าตามเคยเลยนะ รู้ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อเรียกพบพวกเราทั้ง 5 คน เห็นบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุย รีบเข้าไปได้แล้ว"

พรประภามายืนรอน้องชายพิบูลย์ที่หน้าคฤหาสของนพดล ทั้งสองเดินผ่านห้องรับแขกที่กว้างใหญ่ประดับไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หลุย โครมไฟระย้าจากอิตาลีส่องแสงประกายสะท้อนบนพื้นหินอ่อนที่นำเข้ามาจากประเทศเดียวกัน ทั้งสองเปิดประตูเข้าไปในห้องก็เห็นรุจรี เมธาวีและเอกพลนั่งคุยถึงเรื่องสุขภาพกับผู้เป็นพ่อ พิบูลย์ยกมือไหว้นพดล

"สวัสดีครับคุณพ่อ"

"ไงไอ่บูน ไม่ได้เจอกันนานสบายดีมั้ย"

นพดลผู้พ่อแกล้งหยอกประชดพิบูลย์ลูกชายคนเล็ก

"โธ่!พ่อ ผมต้องเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อลงสนามแข่งรถ เดี๋ยวเดือนหน้าก็จะมีแข่งที่มาเลเซีย ถ้าผมติด 1 ใน 3 ของสนามได้ ผมจะได้ค่าสปอนเซอร์อีกหลายล้านบาทเลยนะครับ ช่วงนี้ต้องเก็บตัวฝึกซ้อมเยอะหน่อย"

"เอ้อๆ เอาเถอะ ถ้าแกเจอทางที่ชอบและทำมันได้ดีด้วยพ่อก็ดีใจ"

พิบูลย์ยิ้มออกเมื่อรู้ว่าพ่อหยอกเขาเล่น

"เอาล่ะ! ทุกคนตั้งใจฟังให้ดีนะ อีกไม่กี่วันนี้พ่อก็จะอายุ 60 แล้ว มันถึงเวลาที่คนแก่คนหนึ่งควรจะเกษียณเพื่อหยุดพักผ่อน ได้ทำกิจกรรมที่ชอบ และควรจะปล่อยให้ลูกหลานรุ่นต่อไปก้าวขึ้นมาสืบทอดกิจการ"

นพดลพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทำให้ลูกๆทั้งห้า ตื่นเต้นอะไรมากจนกระทั่งเขาพูดว่า

"ในงานวันเกิดของพ่อที่จะถึงนี้ พ่อจะประกาศล้างมือจากธุรกิจทุกอย่างโดยจะให้พวกแกแค่หนึ่งคนเท่านั้นที่จะมารับตำแหน่งผู้บริหารทั้งหมดแทนพ่อ และเมื่อพ่อตายไปหุ้นจากทุกบริษัทรวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ ของสะสมศิลปะทั้งหมดจะตกเป็นของคนๆนั่นแต่เพียงผู้เดียว"

นพดลประกาศต่อหน้าลูกๆทั้งห้า สายตาของใครหลายคนในนี้มองหน้ากัน มีเพียงแต่รุจรีและพิบูลย์ที่ยังคงทำหน้านิ่งไม่สนใจใคร

"แล้วคุณพ่อจะยกตำแหน่งผู้บริหารให้ใครล่ะครับ"

เมธาวีกำลังจะเคาะซื้อหุ้นผ่านสมาร์ทโฟนต้องหยุดชะงัก และถามผู้พ่อทันทีถึงทายาททางธุรกิจ เขานึกถึงอำนาจและทรัพย์สินถ้าเขาได้สิทธิ์นั้นมาครอบครอง ผลกำไรที่คิดว่าจะได้จากหุ้นที่กำลังจะเคาะซื้อนั้นจิ๊บจ๊อยไปทันที

"เดี๋ยววันงานพ่อจะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้กัน"

นพดลต่อสายโทรศัพท์ออกไปยังนอกห้อง เพื่อเรียกใครบางคนเข้ามาพบ

"นี่คือคุณแสวง ทนายความของพ่อผู้ถือพินัยกรรมที่ถูกเขียนไว้แล้ว พินัยกรรมยังอยู่ใช่มั้ยคุณแสวง?"

"ใช่ครับท่าน มันอยู่ในตู้เซฟที่บริษัทของผม"

แสวง ทนายความอายุ 52 ปี เขาเป็นทนายความประจำตระกูลของครอบครัวนี้มานานแล้ว และยังมีหน้าที่ในการจัดหาทนายความสำหรับงานธุรกิจต่างๆของนพดลด้วย ทายาทคนต่อไปที่จะมาแทนตำแหน่งของนพดลก็จะกลายเป็นหัวหน้าของแสวงด้วย

"ทุกท่านครับ อย่างที่คุณนพดลได้แจ้งความประสงค์ให้ทุกท่านฟังไปแล้ว สำหรับทายาททางธุรกิจจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่จะได้กรรมสิทธิ์ทางธุรกิจทุกอย่างของคุณนพดลไป และนอกนั้น หากทายาทคนไหนที่เป็นกรรมการของบริษัท คนผู้นั้นก็ยังคงเป็นกรรมการต่อไปโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับหุ้นของคุณนพดล ส่วนท่านไหนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจก็จะไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆต่อบริษัท ส่วนทรัพย์สินส่วนตัวที่ใครครอบครองอยู่ ก็ถือว่าใหผู้นั้นเป็นเจ้าของต่อไป อ่อ! เรื่องสุดท้าย สำหรับทรัพย์สมบัติส่วนตัวของคุณนพดลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ที่ดิน บ้าน รถยนต์ ของสะสมทุกชิ้นที่เป็นชื่อของคุณนพดล จะตกเป็นของทายาททางธุรกิจทันทีเมื่อคุณนพดลเสียชีวิตลงไปด้วย"

พี่น้องทั้งห้าต่างตกตะลึงต่อการตัดสินใจของคุณพ่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่แบ่งๆให้เท่าๆกันไปเลย แต่ไม่มีใครกล้าถามถึงเหตุผลในข้อนี้ของนพดล

...

"คุณพ่อพูดแบบนั้นจริงเหรอคะ"

วัลพา ภรรยาของเมธาวีเอ่ยถามย้ำ เมื่อสามีเพิ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อสักครู่ให้เธอฟัง

"ใช่ พ่อพูดแบบนั้น แล้วยังพาแสวงที่เป็นทนายประจำบ้านเรามาอธิบายรายละเอียดตามที่พี่เพิ่งบอกไปน่ะ"

"อืม... แหมๆ วันคิดว่ายังไงๆที่ต้องเป็นทายาทที่จะมาสืบทอดตำแหน่งของคุณพ่ออยู่แล้วล่ะ พี่เป็นถึงกรรมการในบริษัท รู้เรื่องทางธุรกิจทุกอย่างแถมยังเป็นลูกชายคนโตของตระกูลด้วย คงเป็นใครไปไม่ได้หรอก พ่อนักบริหารหน้าใหม่"

วัลพามั่นใจว่าสามีของเธอต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกอย่างแน่นอน พลันนอนคิดฝันหวานว่าเธอเองจะตกถังข้าวสารใบใหญ่ รวมถึงลูกชายวัย 20 ปีของเธอที่กำลังเรียน MBA อยู่ที่มหาลัยในเมืองฮุสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

"ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจริงๆ และถ้าพ่อไม่เพี้ยนจัด พี่คิดว่ายังไงพ่อต้องมอบตำแหน่งนี้ให้พี่แน่นอน ถ้าดูคนอื่นๆ เจ้าเอกมันก็เป็นอาจารย์ในรั้วมหาลัย เป็นนักวิชาการคงไม่มาสนใจธุรกิจหรอกมั้ง พรมีธุรกิจร้านเพชรพลอยหลายสาขาทั่วประเทศ นั่นก็มีธุรกิจของตัวเองไปแล้ว ไอ้บูนมันก็ไปทางนักกีฬาแข่งรถมอเตร์ไซค์ของมัน ส่วนยัยรุจนั่นก็เป็นคนดูแลเรื่องรีสอร์ททั้งหมดของพ่อ เป็นสถาปนิกออกแบบบ้าน"

เมธาวีพูดจบก็กดปุ่มปิดสมารท์โฟนและวางไว้ข้างเตียง ก่อนจะถอดแว่นสายตาวางไว้ข้างสมาร์ทโฟนด้วย

"นอนเถอะจ้ะที่รัก ว่าที่คุณนายต่อไปต้องคอยดูแลสามีให้ดีหน่อยนะ ต่อไปงานคงหนักขึ้น"

เมธาวีและวัลพานอนหลับตาลง

อีกด้านหนึ่งของพี่น้องทั้ง 5 พิบูลย์กำลังนั่งเช็คสภาพรถ Honda CBR600 และทำการจูนเครื่องยนต์ใหม่ให้ได้ประสิทธิภาพแรงบิดสูงสุด พิบูลย์กำลังจะมีแข่งในรายการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ Road Racing Championship 600cc ที่ประเทศมาเลเซียในปลายเดือนหน้านี้

"ไอ่บูน ไม่สนใจตำแหน่งทายาทธุรกิจของพ่อเหรอ ใครๆก็ใฝ่ฝันถึงอำนาจและเงินจำนวนมหาศาล"

ดิเรกช่างเครื่องเพื่อนสนิทของพิบูลย์เอ่ยถามระหว่างประกอบเฟรมเครื่องยนต์

"ไม่หรอก กูไม่รู้เรื่องทางธุรกิจอะไรเลย พี่ๆเก่งกว่ากูเยอะแยะพ่อคงไม่ยกธุรกิจให้กูหรอก"

พิบูลย์พูดตอบ แต่สายตาเขามองไปที่กราฟอัตราการเร่งเครื่องยนต์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

"ถ้าพ่อกูหน้ามืดยกให้กูจริงๆนะ กูจะปฏิเสธไปเลย"

ทั้งคู่หยุดคุยกัน ต่างคนต่างยุ่งกับหน้าที่ของตัวเอง

...

หน้าโรงแรมระดับ 7 ดาวใจกลางเหมืองหลวง วันนี้เป็นเหมือนกับว่างานของนพดลเหมาโรงแรมทั้งหลัง เพราะรถยนต์หรูหลายคันต่างจอดเทียบหน้าประตูใหญ่ของโรงแรมไม่ขาดสาย แต่ละคันมาจอดส่งผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆมากมาย หากวันนี้เกิดคราวซวยตึกโรงแรมถล่ม ตลาดหุ้นไทยดัชนีรวมคงลดลงหลายจุด เพราะผู้กุมบังเยิ้มยนธุรกิจมากมายต้องมาตายไป

"ขอบคุณๆทุกท่าน เชิญเข้าไปนั่งข้างในได้เลยครับ เดี๋ยวซักครู่ผมจะตามไปนั่งคุยที่โต๊ะ"

นพดลต้อนรับแขกเหรื่อมากมาย แขกเดินเข้าประตูไปก็เจอพนักงานหลายคนมาคอยต้อนรับ และเชิญให้ไปนั่งตามโต๊ะที่จัดเตรียมใว้ให้ตามรายชื่อ สักพักเมื่อถึงเวลา แขกเหรื่อนั่งตามโต๊ะและกินดื่มกันพอสมควรแล้ว นพดลเดินขึ่นไปบนเวทีที่การแสดงดนตรีเพิ่งจบลง

ชลดา หัวหน้างานของบริษัทจัดงานวันเกิดให้นพดล ผู้ช่ำชองและมีไหวพริบปฏิพานดีเยี่ยม ยื่นไมค์โครโฟนไร้สายให้กับนพดล ก่อนจะโค้งคำนับและเดินถอยออกไป

"สวัสดีทุกท่านอีกครั้ง และก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณสำหรับทุกท่านที่มาเป็นเกียรติแก่กระผมในงานวันเกิด ในปีนี้ผมก็อายุครบ 60 ปีแล้ว หากเป็นคนทั่วไปก็ถึงคราวที่ควรจะเกษียณตัวเองได้แล้ว เพื่อให้คนรุ่นใหม่ๆได้ก้าวขึ้นมาสานต่อธุรกิจต่อไป ในปีนี้!"

นพดลขึ้นเสียงดังในประโยคพูดสุดท้าย ในห้องบอลรูมที่ราคาแพงที่สุดของโรงแรม บรรยากาศเงียบงันถึงคำพูดที่เป็นปริศนาของนพดล

"ผมจะวางมือจากธุรกิจของผมทุกอย่างจะไม่เกี่ยวข้อง ไม่เป็นกรรมการและจะไม่ถือหุ้นในบริษัทใดๆ ผมจะยกตำแหน่งผู้บริหารทั้งหมดให้กับทายาทของผมเพียงคนเดียวเท่านั้น รวมทั้งหุ้นในทุกบริษัทที่ผมถืออยู่และสมบัติส่วนตัวทุกอย่างที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผม จะยกให้กับทายาททางธุรกิจคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว และที่ผมเชิญทุกท่านมาในงานที่ก็เพือเป็นสักขีพยานในคำพูดของผมในวันนี้"

ความเงียบยังคงปลกคุลมบรรยากาศในห้องกว้าง คนทุกคนต่างจ้องไปที่หน้านพดลไม่ละสายตา พี่น้องทั้งห้าที่ถูกจัดมาให้นั่งโต๊ะกลมเดียวกันต่างไม่กล้าสบสายตาซึ่งกันและกัน

"และทายาทที่จะสืบต่อตำแหน่งทางธุรกิจของผมคือ รุจรีลูกสาวคนเล็กสุดของผม"

เสียงตบมือดังลั่น เสียงประกาศิตของนพดลเมื่อสักครู่ เปลี่ยนให้รุจรีจากหญิงสาวนักออกแบบธรรมดา กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลใหญ่ในแวดวงธุรกิจและการเงินในประเทศไทย ในโต๊ะของรุจรีที่มีพี่น้องอีก 4 คนนั่งข้างๆ มีเพียงพิบูลย์คนเดียวที่ลุกมาโอบไหล่และขอจับมือเพื่อแสดงความยินดี เมธาวีเพียงแต่หันมาสบตาและแสยะยิ้มให้เล็กน้อย เอกพลและพรประภาหันมายิ้มให้รุจรีด้วยสีหน้าเต็มใจ

ชลดาก้าวเข้ามาเคียงข้างนพดลอีกครั้ง ก่อนจะพูดเสียงออกไมค์โครโฟนอีกตัวที่เธอถือออกมา

"และต่อไปนี้ ขอเชิญคุณรุจรีขึ้นมาบนเวทีเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณนพดลด้วยค่ะ"

รุจรียังคงอ้าปากค้างไม่เชื่อหูตัวเอง เธอยังคงนั่งนิ่งไ่ม่ขยับตัวจนพิบูลย์ต้องมาเรียกให้ขึ้นไปบนเวที

"่เอ่อๆ คือว่า.. ยังไงก็ขอขอบคุณๆพ่อ.. สำหรับ.."

ปกติเธอเป็นคนพูดเก่ง แต่วันนี้รุจรีไม่

"ไม่ต้องพูดแล้ว ต่อไปนี้ผมขอฝากลูกสาวของผม ทายาททางธุรกิจให้ทุกท่านช่วยสั่งสอนด้วยนะครับ"

นพดลรู้ว่ารุจรียังไม่หายตกใจ จึงช่วยพูดให้ ระหว่างที่นพดลกำลังพูดแนะนำตัวรุจรีบนเวที พนักงานในชุดเครื่องแบบของโรงแรมคนหนึ่ง ถือถาดพร้อมแก้วแชมเปญเดินออกมาจากหลังเวที เขาเดินผ่านหน้าชลดาไปทำให้ชลดาแปลกใจว่าในสคริปไม่มีแชมเปญ เธอดูสคริปในมือแต่ไม่พบแชมเปญอีกจึงพยายามเดินไปกระซิบถามพนักงานคนนั้น ที่กำลังยืนรอนพดลพูดให้จบ

"ขอโทษค่ะ ในสคริปไม่มีแชมเปญ"

"ครับคุณผู้หญิง นี่คือของขวัญแสดงความยืนดีจากทางโรงแรมครับ"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่