อยากบอกเล่าเรื่องราววิ่งมาราธอน(42.195 กม.) ครั้งที่ 8 ของผมที่บึงบอระเพ็ด



เรื่องเล่าอาจจะยาวนิดนึงไม่ค่อยอะไรครับแค่อยากเล่าเฉยๆ

เป็นมาราธอนที่มีเรื่องเล่าที่น่าจดจำที่แตกต่างไปมาราธอนอื่นๆ เริ่มตั้งแต่การเดินทางจาก กทม. ต้องยอมรับก่อนว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นไปโดยไม่เชิงจะตั้งใจไปซักเท่าไหร่ เนื่องจากใกล้จะถึงพัทยามาราธอนในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ด้วยความที่เคยวิ่ง 2 มาราธอนใน 1 เดือนมาแล้วจึงมีความคิดว่าน่าจะไปลองเปลี่ยนบรรยากาศซ้อมยาวดูซักครั้ง ผลก็คือเป็นการซ้อมยาวที่ยากลำบากเลยที่เดียว

    เริ่มจาก ตั้งแต่ออกเดินทาง (เราจะไม่พาดพิงเพื่อนร่วมเดินทางนะครับเนื่องจากไม่มีบทบาทอะไรเลยในการ เดินทางครั้งนี้) แค่ออกจาก กทม.ได้ก็หลงทางเลยครับ ขึ้นทางด่วนที่ยมราชหวังว่าจะออกทางสายเอเชียมุ่งตรงสู่นครสวรรค์อย่างรวด เร็ว แต่อนิจจาพอถึงแยกบางปะอินก็ขับรถผ่านเข้าช่องที่ป้ายบอกทางสีเขียวเขียนบอก ว่า “อยุธยา” ผ่านเข้าปุ๊บก็เอะใจนิดนึงว่าแยกนี้เวลาเข้าสายเอเชียมันต้องเข้าโค้งซ้าย ยาวๆ นิหว่า แต่นี่มันไม่มีโค้งเลยขึ้นสะพานไปตรงๆ พอลงสะพานปั๊บมันมีทางคู่ขนานซ้ายมือ คือว่าสายเอเชียมันจะไม่มีทางคู่ขนานขับเนียนๆ ไปจนเลยหนองแค

ถึง แยกหินกองจึงตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้า อ.ภาชีเพื่อลัดไปสู่สายเอเชียดังเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจไว้ เหลียวเห็นป้ายบอกทางสีขาว(ผมเรียกว่าป้ายบอกทางบ้านนอก : ในเมืองมันต้องสีเขียว) บอกว่า ภาชี 17 กม. ท่าเรือ 20 กว่าๆ กม. ท่าหลวงราวๆ 30 กม. ไม่มีป้ายบอกไปสายเอเชีย ด้วยประสบการณ์ที่ไม่เคยมาเส้นนี้เลยจึงดุ่มๆ สุ่มไปเรื่อยๆ รู้แต่ว่าสายเอเชียมันต้องไปข้างหน้านี่แหละแต่ไกลแค่ไหนนี่ไม่รู้ ถนนก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกจริงๆ แบบไปตรงๆ เลยไม่ซ้ายไม่ขวา ไปจนถึงทางแยกอะไรไม่รู้เลย อ.ภาชีมาได้สักพักทางขวาบอกว่าไป อ.ท่าเรือ ทางซ้ายบอกไป อ.ท่าหลวง อ.อุทัย โป๊ะเช๊ะ อ.อุทัยจำได้เราเคยมานิหว่าเห็นดังนั้นจึงมุ่งหน้าสู่ อ.อุทัยทันที

    ไม่ นานก็มา อ.อุทัย ผ่านหน้านิคมโรจนะ 2 ที่สร้างกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กแข็งแรงเป็นปราการป้องกันน้ำท่วมเสร็จเรียบ ร้อยสงสัยว่าจะไม่ได้ใช้งานเนื่องจากนโยบายจัดการน้ำกำลังจะถูกเปลี่ยนเขาคง จะไม่ยอมให้ปล่อยน้ำให้เข้ามาท่วมอีก ที่สุดก็เข้าสายเอเชียได้ดั่งใจหมายหลังเสียเวลาหลงทางไปเกือบๆ ชั่วโมง

บน ถนนสายเอเชียก็มุ่งหน้าสู่อยุธยาเป็นจังหวัดแรก คือเราไปอยุธยาจริงๆ นะครับไปจนถึงวงเวียนตรงอุทยานประวัติศาสตร์เลยครับ แล้วมันก็ไม่มีป้ายบอกเลยว่าทางไหนไปสิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ อืมมมม…หลงอีกแล้วหรือนี่ อิตอนแรกก่อนเข้ามาก็เห็นป้ายบอกทางนะว่าไปนครสวรรค์แต่ไม่ได้ดูว่าลูกศรมัน ชี้ให้เข้าช่องไหน จึงต้องวนรอบวงเวียน 1 รอบเพื่อเป็นพิธีบวงสรวงแด่สมเด็จพระเอกทศรถแล้วย้อนออกไปทางเดิม ออกมาคราวนี้ไม่หลงอีกแน่เพราะจำได้ว่ามันต้องวิ่งตรงอย่างเดียว แล้วมันก็ตรงจริงๆ

    จนเข้าเขตนครสวรรค์รู้สึกลั้ลลา อย่างบอกไม่ถูก ถึงแยก อ.ท่าตะโก ข้างหน้าไฟแดงจึงชะลอรถปรากฎมีเสียงดังแปลกๆ มาจากหลังรถ ตะหงิดๆ อยู่ในใจว่าเราไปเกี่ยวอะไรมาตอนไหน พอออกรถก็มีเสียงดังซักพักเสียงก็หายไป จนถึงแยกค่ายจิระประวัติเสียงดังเริ่มขึ้นอีกเมื่อเท้าแตะเบรกจึงตั้งข้อ สงสัยไปที่ระบบเบรกแน่ๆ เราแวะจอดรถข้างทางทันทีเพื่อตรวจสอบ(ตอนนั้นบ่าย 3 กว่าๆ แล้ว) ให้ผู้ร่วมเดินทาง(ที่ไม่รู้อะไรเลย) ลงมาช่วยเข็นดูหน่อยปรากฏว่ามีเสียงดังที่ล้อหลังด้านคนขับเหมือนๆ กับว่าดิสก์เบรกกับจานเบรกมันเสียดสีกันและมีคราบเขม่าจากการเสียดสีออกมา ให้เห็นชัดเจน

คิดในใจจะทำไงดี รถยังพอขับได้เหลือระยะทางอีกราวๆ 10 กว่า กม.แต่ก็กลัวผ้าเบรกจะไหม้หรือเปล่าถ้าฝืนไปต่อ ถ้าจะเข้าอู่ก็กลัวว่าจะไว้ใจได้มั๊ยโดนฟันหัวแบะนี่งบบานปลายไม่รู้ตัว ตัดสินใจฝืนไปอีกนิดไปช้าหน่อยไปสมัครให้เรียบร้อย กินให้อิ่ม นอนให้พอ วิ่งให้สบายใจก่อนแล้วคิดหาทางแก้ไข

    มาถึงบึงบอระเพ็ด แล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ในใจก็ยิ้มแหยๆ ไม่มีความสุขเลยซักนิด คิดนู่นคิดนี่จิตใจอยู่ที่รถอย่างเดียว ไหนๆ ก็มาถึงแล้วก็สมัครวิ่งระยะเต็มตามที่ตั้งใจ กินข้าวแป๊บๆ มันไม่อิ่มนะครับแต่กินไม่ลง จากนั้นก็ไปหาที่นอนที่อาบน้ำทางผู้จัดเปิดหอประชุมใหญ่ให้เป็นที่นอนแต่เรา เลิอกกางเต๊นที่หน้าหอประชุม(รู้ทีหลังว่าเลือกผิด) ห้องน้ำโอ่โถงกว้างใหญ่มีห้องอาบน้ำห้องเดียวที่เหลือเป็นห้องส้วม คิวยาวเหยียด เราเป็นคนที่ไม่ชอบรออะไรนานๆ พอเห็นคิวมันยาวเราก็เข้าห้องส้วมเลยใช้ที่ฉีดก้นนะแหละเป็นฝักบัวน้ำแรง เร็ว ไม่ต้องรอ เห็นม่ะพอออกมาปุ๊บก็มีคนเอาอย่างปั๊บ ไปแบบนนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก

ถึงเวลาจะต้องรีบนอนแล้ว เหนื่อยมาทั้งวันหากนอนไม่พอก็จะไปมีปัญหาตอนวิ่งอีกเราไม่รู้ว่าเรานอนหลับ มั๊ยทั้งร้อนทั้งยุงเข้ามาในเต๊น(คิดในใจทำไมไม่ไปนอนในหอประชุม) มือก็ถือผ้าขาวม้าคอยปัดยุงอยู่ตลอดเวลา เราไม่รู้ตัวจริงๆ นะครับว่าเราผลอยหลับไปบ้างหรือเปล่าน่าจะมีเป็นช่วงๆ แต่จะหลับสั้นๆ ไม่ได้หลับลึกแบบยาวๆ จนกระทั่งมีเสียงเต๊นข้างๆ ตื่นเราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีสามตอนนี้ยังไม่ปลุกแสดงว่ามันยังไม่ถึงตีสามจะ นอนต่อมันคงไม่หลับแล้วไม่รู้สึกว่ายุงกัดแล้วสงสัยมันคงแอบดูดตอนที่เรา หลับจนอิ่มหมีพีมันก็นไปทุกตัวแล้ว แล้วนาฬิกาก็ปลุกมีเวลาครึ่ง ชม.ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว เก็บเต๊น

    มาราธอนปล่อยตัว ตีสี่ แต่นแต๊นนนนนนนน ไปถึงจุดปล่อยตัวเหลือเวลาอีก 10 นาที แค่ยืดก็ไม่พอแล้ว วอร์มอัพไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่ติดตัวไปครั้งนี้มีแต่ปาท่องโก๋ 2 ตัว (เมื่อวานกินข้าวไม่อิ่ม เช้านี้ได้กินน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋ 2-3 ตัว) พาวเวอร์ บาร์ พาวเวอร์ กู ไม่มีทั้งนั้น

เริ่มปล่อยตัวก็ค่อยๆ ไป คนวิ่งไม่มาก คร่าวๆ ไม่น่าเกินร้อยสบายละหวานหมูทางข้างหน้าเปิดไฟสว่างไสวพอออกนอกเขตบึงเท่า นั้นแหละ….มืดตึ๊บบบบ….ต้องขอเกาะคนข้างหน้าอย่างเดียวภาวนาว่าอย่าพา กันหลงทางก็พอ ยิ่งวิ่งนานไปคนข้างหน้าก็ยิ่งห่างไปเรื่อยๆ เง้ออออ ทำไมไม่รอกันมั่ง ถึงโค้งตัวเอสสองตัวห่างๆ กัน อันโค้งเฉยๆ ไม่เท่าไหร่แต่นี่มันเอียงด้วย เอียงราวๆ ซัก 30 องศาแบบยาวๆ เลย วิ่งตรงๆ ไม่ได้ต้องเอี้ยวตัวเองเอียงขาให้สัมพันธ์กับแรง G นี่ใช้แรงตามหลักพลศาสตร์อวกาศเลยนะ แต่โค้งมันยาวมากทำให้ต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นเกือบๆ เท่า 4G เลย นี่พึงจะ 10 กว่า กม.เองนะทำสะโพกเดี้ยงไปแล้ว

    พยายามมองข้างทางเป็น ระยะว่าจุดไหนเป็นร้านค้าขากลับมาถ้าไม่ไหวจะได้แวะหาน้ำหาท่า เลยโค้งมา 2-3 กม.จะมีตลาด(คาดว่าเป็นตลาดสด) มีทั้ง 7-11 และโลตัสเอ็กซ์เพรสกะว่าขากลับคงได้ใช้บริการแน่ๆ วันนี้พกเงินมาเป็นร้อยกินไม่อั้น

เลย กม.ที่ 16 หลังจากรับน้ำกินปาท่องโก๋ชิ้นแรกเรียบร้อยก็วิ่งอย่างสบายเฉิบ กม.ที่ 18 ไม่มีจุดให้น้ำ อดทนวิ่งต่อไป กม.ที่ 20 ไม่มีจุดให้น้ำ เริ่มไม่ไหว จนจุดกลับ 21 กม.กว่าๆ ถึงมีน้ำให้กิน จุดนี้รู้โดยอัตโนมัติว่าต้องกินให้เยอะเพื่อ 5 กม.ข้างหน้าจะไม่มีน้ำให้กินและไม่มีหมู่บ้าน กลับมาใกล้ถึง 7-11 ก็งัดปาท่องโก๋ออกมากินชิ้นสุดท้ายจาก 2 ชิ้นที่ห่อมา (พูดเหมือนห่อมาเยอะ) แล้วแวะซื้อกาแฟกระป๋องกบนมกล่องแล้วอัดทั้งสองอย่างเข้าปากในเวลาไล่เลี่ย กัน

    วิ่งมาซักพักใกล้ถึงโค้งเจ้าเวหา ตะคริวก็มาเต็มสองขาเลย อืมมมม คิดในใจทำไมไม่ให้เลยโค้ง 30 นี่ไปก่อนว้าาาาาา จำใจต้องหยุดเดิน 100-200 เมตรแล้วค่อยๆ วิ่งเหยาะแหยะไปจนเลยโค้ง…..มันใช้เวลามากเลยนะวิ่งทางตรงตะคริวยังขึ้น แต่นี่ต้องเอียงอีก 30 องศา อ้ากกกกกกกกก  คนที่เราแซงเค้าามาเริ่มทะยอยแซงกลับไปทีละคนสองคน….ได้แต่มองตามตาปริบๆ ฮือๆ คิดในใจถ้าเป็นตะคริวน้าไม่ได้แอ้มพ้มร็อกฝากไว้ก่อนเถอะงานนี้ยอมแพ้

ตลอด ระยะทาง 9 กม.สุดท้ายวิ่งแทบไม่ได้เลยต้องเดินมาตลอดจนเหลือ 2 กม.สุดท้ายกัดฟันวิ่งสร้างภาพหน่อยวิ่งผ่านกล้องพี่สมชายด้วยอาการหน้าชื่น ตาบานแต่ในใจสุดทรมานที่สุด และแล้วก็เข้าเส้นชัยด้วยเวลาเกิน 5 ชม.ได้ซ้อมยาวววววว สมใจอยาก เป็นธรรมดามาทีหลังของกินย่อมหมด และมันหมดจริงเหลือข้าวไข่เจียวแต่ต้องยืนรอให้พี่เค้าเจียวไข่ให้ พี่ครับวิ่งมานานแล้วมันเหนื่อยมากต้องมายืนรอพี่เจียวไข่นานอีก ผมวิ่งช้าแล้วพี่จะเจียวไข่ให้ช้าอีกเพื่ออะไร รู้มั๊ยว่าหิวจะตายเลี้ยวววว รอไข่เจียวเกือบ 10 นาทีนี่วิ่งต่อได้ 2 กม.เลยนะ…ขี้โม้ไปอีก

    เดิน กินข้าวไข่เจียวมาจนถึงที่พักนี่ก็สายแล้วรีบอาบน้ำ(ลวกๆ) แต่งตัวแล้วรีบกลับเลยดีกว่า ออกรถมายังไม่ถึงทางแยกเข้าเมืองนครสวรรค์ รู้สึกรถอาการไม่ดีไม่ฝืนกลับดีกว่ามองหาอู่ข้างทางที่เปิดบริการ(วัน อาทิตย์) บังเอิญเจอ A.C.T (Auto Car & tile) หน้าห้างแมคโคร ไม่ได้เป็นลูกค้าของอู่แต่ขอให้ช่างตรวจดูให้ชัดว่ามีอะไรจะต้องเปลี่ยน ช่างตรวจดูซักพักก็มารายงานว่า ผ้าเบรกด้านในหมดเกลี้ยงเหลือแต่แผ่นเหล็กที่เสียงดังตอนเบรคคือเสียงแผ่น เหล็กเสียดสีกับจานเบรค สาเหตุที่ผ้าเบรคหมดด้านเดียวเนื่องจากคาลิปเปอร์มันล็อคไม่ขยับทำให้ลูกสูบ เบรคด้านในไม่ทำงานผ้าเบรคด้านในไม่คลายออกเมื่อเท้าถอนเบรคมันกินจนหมด เกลี้ยงแสดงว่ามันล็อคมานานแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวเมื่อคิดย้อนหลังไปตายละ เราตลอดเวลาที่ผ่านมาเรานั่งอยู่ความเสี่ยงตลอดเวลาเลยหรือนี่เป็นความโชคดี ที่แวะให้ช่างดูก่อนไม่ฝืนกลับ กทม.ทั้งที่มีปัญหาอย่างนั้น เสียค่าซ่อมเบรคใหม่+ค่าเจียจาน+ค่าแรงไป 2 พันบาทถ้วนเป็นการจ่ายเพื่อซื้อชีวิตกันเลยทีเดียว

หลังจาก ทำการซ่อมเบรคเสร็จเรียบร้อยก็บึ่งกลับ กทม.ทันที ยอมรับว่าขับสบายใจปลอดภัยกว่าเดิมมาก มากจนต้องหลงทางก่อนเข้าปทุมธานีอีกจนได้คราวนี้เห็นป้ายบอกทางไปบางปะอิน เราก็ขึ้นเลย (ที่จริงจะไปเข้าทางด่วนกาญจนาภิเษกบางปะอิน-แจ้งวัฒนะ) คิดว่ามันจะพาเราไปทางที่เราคิดเอาไว้ปรากฏว่าไม่ มันมาออกเส้นบางปะอิน บางไทร ผ่านศูนย์ศิลปาชีพ เข้า อ.สามโคก ปทุมธานี ในใจก็คิดอีกว่าไม่ได้ตั้งใจมาผิดเส้นทางนะแต่ไหนๆ ก็มาแล้วศึกษาเส้นทางใหม่ๆ ดูบ้างจะเป็นไร (ยังไม่ยอมรับผิด) สุดท้ายก็ต้องวกหาทางลัดไปหาทางด่วนกาญจนาภิเษกบางปะอิน-แจ้งวัฒนะอยู่ดี

    แล้วเรากลับสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย

ทุกเหตุการณ์คือสิ่งที่ควรจดจำ
บางเหตุการณ์คือสิ่งที่ควรระวัง
บางเหตุการณ์คือสิ่งที่ควรแก้ไข

พบกันอีกครั้ง ณ พัทยามาราธอน 27 ก.ค.2557

เขียน ณ 8 ก.ค.2557
กาย บูรพาไม่แพ้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่