ปูเป้แต่งงานกับเอก ก่อนแต่งงานเอกเป็นคนเรียบร้อยสุภาพ เรียนดี รูปหล่อ เรียกว่า เป็นชายในฝันของเธอ
แต่พอปูเป้ท้องเขาเริ่มกลับบ้านดึก ชอบกินดื่มกับเพื่อนฝูง สามีภรรยาเริ่มมีปากเสียงกัน จนทะเลาะกันบ่อย ๆ
ต่อมา สามีเริ่มใช้กำลัง ตอนนั้นปูเป้กำลังท้องอยู่ เอกผลักปูเป้จนล้มลง หนักเข้าปูเป้ก็ทนไม่ไหว
เพราะสามีทั้งด่าว่า ตบตี เธอคิดว่าหากมีลูกด้วยกันสองคน ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ก็กลับแย่ลง
ปูเป้ตัดสินใจพาลูกหนี อยู่ไปก็ไม่มีความสุข ตอนที่จะออกจากบ้าน แม่ของเอกมาเห็นพอดีจึงห้ามไว้
ก่อนหน้านี้คงห้ามหลายครั้งแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ปูเป้ยืนยันจะออกไปให้ได้ แม่ของเอกบอกว่าอยากให้ปูเป้เข้าใจเขาบ้าง
แล้วก็เล่าว่าเอกเป็นคนมีปม ตอนเด็ก ๆ พ่อเขาตบตีแม่เป็นประจำ ภาพร้าย ๆ จึงฝังลึกในใจของเขา
ทำให้เขากลายเป็นเช่นนั้นเมื่อโตขึ้น
พอปูเป้ได้ฟังเช่นนั้นก็นึกถึงลูก เพราะลูกก็มีอาการคล้ายเอก ตอนเด็ก ๆ
เวลาเอกซ้อมปูเป้ ลูกทั้งสองจะหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว
กลางคืนก็นอนละเมอร้องไห้บ่อย ๆ สะดุ้งฝันร้าย
ไม่ใช่แค่นั้น เวลาไปโรงเรียน ลูกก็ก้าวร้าวกับเพื่อน ชกต่อยเป็นประจำ เธอเห็นเลยว่า นี่เป็นวงจรอุบาทว์
แต่อาตมาเรียกว่า มันเป็นการถ่ายทอดสู่กัน
ความรุนแรงของพ่อเอกที่ถ่ายทอดมาที่เอก
แล้วความรุนแรงของเอกก็ถ่ายทอดมาที่ลูกทั้งสอง
ปูเป้เข้าใจแล้วว่าทำถึงเกิดพฤติกรรมแบบนี้ในบ้านของเธอ
เธออยากจะแก้ปัญหานี้ อยากจะตัดวงจรแห่งความรุนแรงให้สิ้นสุดลง
เธอก็เลยตัดสินใจไม่ออกจากบ้าน เธอลองปฏิบัติตัวใหม่กับเอก
เวลาเขาพูดไม่ดีพยายามนิ่ง ไม่โต้แย้ง พยายามทำดีกับเขา อดทนอดกลั้นกับเขา
ต่อมาเธอสังเกตว่าเอกเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ใจเย็นลง
ในที่สุดก็กลับมาใส่ใจดูแลครอบครัว ไม่ใช้ความรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน…
ในแง่หนึ่งเอกคือผู้กระทำ แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็คือผู้ถูกกระทำมาก่อน
เขามีปม เขามีบาดแผลจากพฤติกรรมของพ่อ ในที่สุดความรักของปูเป้ก็ช่วยเยียวยาเอกได้
♥ ... เกลียดพ่อแม่ ... ♥
คนเราต่างมีปฏิกิริยาต่อกัน ต่างเป็นผลของกันและกัน
พ่อแม่ที่เจอลูกที่หน้าบูดบึ้ง พ่อแม่ก็จะขึ้งกับลูก
แต่ถ้าพ่อแม่เจอลูกยิ้มให้ อ่อนโยนกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะเริ่มดีกับลูก
ความรู้สึกด้านดีในใจพ่อแม่ก็จะเกิดขึ้น และอยากทำความดีกับลูก
ลูกบางคนอาจจะยังไม่มีปัญญาหรือความเข้าใจขนาดนั้น
ก็อาจจะเริ่มจากการยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นจริง
ยอมรับว่าเราโกรธ เราเกลียดพ่อแม่ ยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน
ตรงนี้แหละที่จะทำให้เกิดสติขึ้นมา คือการเห็นตัวเองอย่างที่เป็นโดยไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว
แล้วก็ไม่กดข่มความรู้สึก แม้จะมีความรู้สึกแย่ ๆ ก็เห็นมัน ยอมรับมัน ไม่ปฏิเสธมัน
ถ้าทำเองไม่ได้ก็ต้องให้คนอื่นช่วยเป็นกระจกสะท้อนให้เห็น
เช่น มีเพื่อนฟังเขาระบาย แล้วก็พูดสะท้อนให้เขาฟังว่าได้ยินมาอย่างไร
อย่างที่เขาเรียกว่า paraphrase
บางคนใช้วิธีเขียนบันทึกความรู้สึก เหมือนเขียนไดอารี่ ก็ช่วยได้มาก
ทำให้ได้ทบทวนความรู้สึกของตน เพราะถ้าเราไปกดไว้มันจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
♥ ... เมตตา เยียวยาตนเอง ... ♥
เราต้องรู้จักให้อภัยตัวเองด้วยนะ…
คนเรามักจะตีค่าตัวเองตามที่คนอื่นเขากระทำกับเรา
ถ้าพ่อแม่ไม่รัก เราก็จะรู้สึกว่าเราไม่สมควรกับความรัก เราเป็นคนไม่ดี เห็นตัวเองไม่มีค่า ก็เลยเกลียดตัวเอง
อย่างที่อาตมาบอกว่า เราต้องรักเจ้าตัวน้อย (ตัวเราในวัยเด็ก) ต้องเมตตาเจ้าตัวน้อย
ขณะเดียวกันเราก็ต้องน้อมรับว่า เรามีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ คือ ความรู้สึกเกลียดพ่อแม่ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นคนไม่ดี
เมื่อยอมรับได้แล้ว กระบวนการเยียวยาจึงจะตามมา
เช่น ให้อภัยแม่หรือให้อภัยตัวเอง รักตัวเอง
เวลาทบทวนความรู้สึกเหล่านี้ อย่ามองว่านั่นคือเรา แต่มองว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดในใจเรา
หรือจะมองว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในใจเรา จะเรียกว่า เจ้าตัวน้อยก็ได้
มีวิธีการหนึ่ง คือ การเชิญเจ้าตัวน้อยที่น่าสงสารมานั่งอยู่ข้างหน้าเรา แล้วนั่งคุยกับเขา
เล่าความในใจให้เขาฟัง ขณะเดียวกันก็ฟังเขาระบายความรู้สึกเจ็บปวด
หากรู้สึกอยากโอบกอดเจ้าตัวน้อย ก็โอบกอดในจินตนาการ พร้อมกับให้กำลังใจเขาด้วย
นี้คือการให้ความรัก ความเมตตาแก่ตนเอง
ความรักช่วยเยียวยาได้ทุกอย่าง เมื่อทำได้อย่างนี้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น
พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
https://th-th.facebook.com/visalo
อยู่อย่างเหนือทุกข์
♥ ... เข้าใจ ให้อภัย เยียวยา ปัญหาในครอบครัว ... ♥
แต่พอปูเป้ท้องเขาเริ่มกลับบ้านดึก ชอบกินดื่มกับเพื่อนฝูง สามีภรรยาเริ่มมีปากเสียงกัน จนทะเลาะกันบ่อย ๆ
ต่อมา สามีเริ่มใช้กำลัง ตอนนั้นปูเป้กำลังท้องอยู่ เอกผลักปูเป้จนล้มลง หนักเข้าปูเป้ก็ทนไม่ไหว
เพราะสามีทั้งด่าว่า ตบตี เธอคิดว่าหากมีลูกด้วยกันสองคน ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ก็กลับแย่ลง
ปูเป้ตัดสินใจพาลูกหนี อยู่ไปก็ไม่มีความสุข ตอนที่จะออกจากบ้าน แม่ของเอกมาเห็นพอดีจึงห้ามไว้
ก่อนหน้านี้คงห้ามหลายครั้งแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ปูเป้ยืนยันจะออกไปให้ได้ แม่ของเอกบอกว่าอยากให้ปูเป้เข้าใจเขาบ้าง
แล้วก็เล่าว่าเอกเป็นคนมีปม ตอนเด็ก ๆ พ่อเขาตบตีแม่เป็นประจำ ภาพร้าย ๆ จึงฝังลึกในใจของเขา
ทำให้เขากลายเป็นเช่นนั้นเมื่อโตขึ้น
พอปูเป้ได้ฟังเช่นนั้นก็นึกถึงลูก เพราะลูกก็มีอาการคล้ายเอก ตอนเด็ก ๆ
เวลาเอกซ้อมปูเป้ ลูกทั้งสองจะหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว
กลางคืนก็นอนละเมอร้องไห้บ่อย ๆ สะดุ้งฝันร้าย
ไม่ใช่แค่นั้น เวลาไปโรงเรียน ลูกก็ก้าวร้าวกับเพื่อน ชกต่อยเป็นประจำ เธอเห็นเลยว่า นี่เป็นวงจรอุบาทว์
แต่อาตมาเรียกว่า มันเป็นการถ่ายทอดสู่กัน
ความรุนแรงของพ่อเอกที่ถ่ายทอดมาที่เอก
แล้วความรุนแรงของเอกก็ถ่ายทอดมาที่ลูกทั้งสอง
ปูเป้เข้าใจแล้วว่าทำถึงเกิดพฤติกรรมแบบนี้ในบ้านของเธอ
เธออยากจะแก้ปัญหานี้ อยากจะตัดวงจรแห่งความรุนแรงให้สิ้นสุดลง
เธอก็เลยตัดสินใจไม่ออกจากบ้าน เธอลองปฏิบัติตัวใหม่กับเอก
เวลาเขาพูดไม่ดีพยายามนิ่ง ไม่โต้แย้ง พยายามทำดีกับเขา อดทนอดกลั้นกับเขา
ต่อมาเธอสังเกตว่าเอกเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ใจเย็นลง
ในที่สุดก็กลับมาใส่ใจดูแลครอบครัว ไม่ใช้ความรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน…
ในแง่หนึ่งเอกคือผู้กระทำ แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็คือผู้ถูกกระทำมาก่อน
เขามีปม เขามีบาดแผลจากพฤติกรรมของพ่อ ในที่สุดความรักของปูเป้ก็ช่วยเยียวยาเอกได้
♥ ... เกลียดพ่อแม่ ... ♥
คนเราต่างมีปฏิกิริยาต่อกัน ต่างเป็นผลของกันและกัน
พ่อแม่ที่เจอลูกที่หน้าบูดบึ้ง พ่อแม่ก็จะขึ้งกับลูก
แต่ถ้าพ่อแม่เจอลูกยิ้มให้ อ่อนโยนกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะเริ่มดีกับลูก
ความรู้สึกด้านดีในใจพ่อแม่ก็จะเกิดขึ้น และอยากทำความดีกับลูก
ลูกบางคนอาจจะยังไม่มีปัญญาหรือความเข้าใจขนาดนั้น
ก็อาจจะเริ่มจากการยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นจริง
ยอมรับว่าเราโกรธ เราเกลียดพ่อแม่ ยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน
ตรงนี้แหละที่จะทำให้เกิดสติขึ้นมา คือการเห็นตัวเองอย่างที่เป็นโดยไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว
แล้วก็ไม่กดข่มความรู้สึก แม้จะมีความรู้สึกแย่ ๆ ก็เห็นมัน ยอมรับมัน ไม่ปฏิเสธมัน
ถ้าทำเองไม่ได้ก็ต้องให้คนอื่นช่วยเป็นกระจกสะท้อนให้เห็น
เช่น มีเพื่อนฟังเขาระบาย แล้วก็พูดสะท้อนให้เขาฟังว่าได้ยินมาอย่างไร
อย่างที่เขาเรียกว่า paraphrase
บางคนใช้วิธีเขียนบันทึกความรู้สึก เหมือนเขียนไดอารี่ ก็ช่วยได้มาก
ทำให้ได้ทบทวนความรู้สึกของตน เพราะถ้าเราไปกดไว้มันจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
♥ ... เมตตา เยียวยาตนเอง ... ♥
เราต้องรู้จักให้อภัยตัวเองด้วยนะ…
คนเรามักจะตีค่าตัวเองตามที่คนอื่นเขากระทำกับเรา
ถ้าพ่อแม่ไม่รัก เราก็จะรู้สึกว่าเราไม่สมควรกับความรัก เราเป็นคนไม่ดี เห็นตัวเองไม่มีค่า ก็เลยเกลียดตัวเอง
อย่างที่อาตมาบอกว่า เราต้องรักเจ้าตัวน้อย (ตัวเราในวัยเด็ก) ต้องเมตตาเจ้าตัวน้อย
ขณะเดียวกันเราก็ต้องน้อมรับว่า เรามีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ คือ ความรู้สึกเกลียดพ่อแม่ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นคนไม่ดี
เมื่อยอมรับได้แล้ว กระบวนการเยียวยาจึงจะตามมา
เช่น ให้อภัยแม่หรือให้อภัยตัวเอง รักตัวเอง
เวลาทบทวนความรู้สึกเหล่านี้ อย่ามองว่านั่นคือเรา แต่มองว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดในใจเรา
หรือจะมองว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในใจเรา จะเรียกว่า เจ้าตัวน้อยก็ได้
มีวิธีการหนึ่ง คือ การเชิญเจ้าตัวน้อยที่น่าสงสารมานั่งอยู่ข้างหน้าเรา แล้วนั่งคุยกับเขา
เล่าความในใจให้เขาฟัง ขณะเดียวกันก็ฟังเขาระบายความรู้สึกเจ็บปวด
หากรู้สึกอยากโอบกอดเจ้าตัวน้อย ก็โอบกอดในจินตนาการ พร้อมกับให้กำลังใจเขาด้วย
นี้คือการให้ความรัก ความเมตตาแก่ตนเอง
ความรักช่วยเยียวยาได้ทุกอย่าง เมื่อทำได้อย่างนี้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น
พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
https://th-th.facebook.com/visalo
อยู่อย่างเหนือทุกข์