เชื่อว่าสมัยเรียนอยู่มัธยมหลายๆ คนคงมีความอยากรู้อยากรู้อยากลองเป็นพิเศษไปซะทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องผี หรือเรื่องลี้ลับต่างๆ ผมเองในสมัย10 กว่าปีที่แล้ว ตอนเป็นนักเรียนกางเกงขาสั้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ ก็ชอบเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะที่ผมเท่านั้นที่ชอบ เพื่อนในกลุ่มอีก 7 คนก็ชื่นชอบมากมักจะฟังรายผีจากวิทยุอยู่เป็นประจำเสมอ
ในวันวันศุกร์ของทุกสัปดาห์หลังเลิกเรียนเพื่อนๆ กลุ่มของผมจะรีบกลับบ้าน ส่วนใครอยู่หอพักก็รีบกลับหอ เอากระเป๋าหนังสือไปเก็บ พร้อมกับเปลี่ยนเครื่องแบบนักเรียนออก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังบ้านของไอ้สองกันตลอด เรียกว่าเป็นฐานบัญชาการของพวกเราจะทำอะไรก็สะดวก เพราะบ้านหลังนี้มันอยู่คนเดียว โดยที่พ่อแม่ของมันทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ
สุดสัปดาห์ในครั้งนั้นกิจกรมก็ไม่ต่างจากครั้งอื่นๆ คือพวกเราทุกคนจะออกไปหาข้าวกินกัน ขี่มอไซค์ เที่ยวกันตามประสาเด็กๆ ต่างจังหวัด เมื่อพวกเรากินข้าวจนอิ่มแล้ว ก็มักจะขี่รถเล่นรอบตัวจังหวัดไปเรื่อยๆ เพื่อหามุมนั่งคุยเล่นถึงราวที่พวกเราได้เจอกันครั้งแรกแซวกันเอง อำกันเอง แบบตลกขำขัน จนที่คนในกลุ่มยกเว้นคนที่ถูกอำ หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน เรียกว่าเวลาแห่งนั้นเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุขเลยก็ว่าได้
แต่ช่วงเวลาที่พวกเราหัวเราะกันอยู่นั้น ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ไอ้เซ้งซึ่งเป็นตัวป่วนและห้าวที่สุดในกลุ่ม ก็พูดขึ้นมาว่า “เห้ยกูว่าพวกเราขี่มอไซค์ไปดูบ้านทรงไทยร้างกันไหมอยากรู้ว่าจะมีผีหรือเปล่า” ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของเราไปชิดซ้ายเข้าซอยไปอีกหน่อยก็เจอแล้ว ทุกคนได้ยินอย่างนั้น จึงมองหน้ากันอย่างรู้ใจเป็นนัยว่าทุกคนพร้อมที่จะไปดู ด้วยความคึกคะนองของวัยในตอนนั้นของทุกคนจึงไม่มีใครคัดค้านออกมา เมื่อสิ้นเสียงของไอ้เซ้งลง พวกเราจากจึงสตาร์ทเครื่อง 2 ล้อคู่ใจ โดยนั่งซ้อนท้ายกันไป 4 คัน 8 คน มุ่งหน้าไปยังบ้านที่พูดถึงกัน
ตลอดทางที่พวกเราขี่รถมาแสงไฟสลัวๆ สีส้มคอยให้ความสว่างไม่นานพวกเราก็มาถึงซอยทางเข้าบ้านหลังที่ว่า ซึ่งที่หน้าปากซอยนั้นมีศาลเจ้าเล็กๆ เปิดไฟหลอดนีออนสว่างไสวทำให้มองเห็นคน ใส่ชุดขาวนั่งอยู่ด้านใน จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในซอย เร่งเครื่องอย่างช้าๆ ยิ่งขี่รถเข้าไปลึกเท่าไร ก็ยิ่งมืดลงทุกทีกระทั่งแสงไฟจากการไฟฟ้าหมดลงไป เหลือไว้แค่ไฟที่หน้ารถของพวกเรา ทั้ง 4 คัน ที่ยังคงส่องแสงนำทาง บรรยากาศในขณะนั้นวังเวง 2 ข้างทางไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง มีเพียงแค่ป่ารกร้างขึ้นปกคลุมหนาทึบ อากาศก็เย็นลงกว่าตอนแรกที่เข้ามาอย่างเห็นได้ชัด ไร้เสียงการสนทนาของพวกเรา มีเพียงเสียงจากท่อของเจ้า 2 ล้อที่ขี่มาเท่านั้น
พอเข้ามาในซอยได้ประมาณ 3 กม. ก็มาถึงที่หมายซึ่งอยู่ด้านขวา เครื่องรถก็ถูกดับลงอย่างพร้อมเพียง ไฟหน้ารถก็ดับลงไปด้วย บรรยากาศในตอนนั้นมืดลงไปอีก แต่ก็ยังพอมองเห็นบ้านทรงไทย 2 ชั้น มีใต้ถุน หลังไม่เล็กไม่ใหญ่ อายุน่าจะหลาย 10 ปีเห็นจะได้ แต่รกร้างถูกปกคลุมไปด้วยพวกเถาวัลย์เลื้อยทั่วบ้าน ไร้เสียงผู้คน มีเสียงของเจ้าจั๊กจั่นเท่านั้นที่เปล่งออกมาตัดกับความเงียบ ทำให้บรรยากาศวังเวงลงลงเข้าไปอีก ตัวผมเองตอนนั้นรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูก เหงื่อออกมาเต็มฝ่ามือ ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้นได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นพวกเราก็เริ่มบทสนทนาอีกครั้งหลังจากที่เงียบกันมาตลอด
http://tiewkrungthep.weebly.com/3617362935913621362936043627362336563634359135863634.html
ลองของมองลอดหว่างขา
ในวันวันศุกร์ของทุกสัปดาห์หลังเลิกเรียนเพื่อนๆ กลุ่มของผมจะรีบกลับบ้าน ส่วนใครอยู่หอพักก็รีบกลับหอ เอากระเป๋าหนังสือไปเก็บ พร้อมกับเปลี่ยนเครื่องแบบนักเรียนออก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังบ้านของไอ้สองกันตลอด เรียกว่าเป็นฐานบัญชาการของพวกเราจะทำอะไรก็สะดวก เพราะบ้านหลังนี้มันอยู่คนเดียว โดยที่พ่อแม่ของมันทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ
สุดสัปดาห์ในครั้งนั้นกิจกรมก็ไม่ต่างจากครั้งอื่นๆ คือพวกเราทุกคนจะออกไปหาข้าวกินกัน ขี่มอไซค์ เที่ยวกันตามประสาเด็กๆ ต่างจังหวัด เมื่อพวกเรากินข้าวจนอิ่มแล้ว ก็มักจะขี่รถเล่นรอบตัวจังหวัดไปเรื่อยๆ เพื่อหามุมนั่งคุยเล่นถึงราวที่พวกเราได้เจอกันครั้งแรกแซวกันเอง อำกันเอง แบบตลกขำขัน จนที่คนในกลุ่มยกเว้นคนที่ถูกอำ หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน เรียกว่าเวลาแห่งนั้นเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุขเลยก็ว่าได้
แต่ช่วงเวลาที่พวกเราหัวเราะกันอยู่นั้น ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ไอ้เซ้งซึ่งเป็นตัวป่วนและห้าวที่สุดในกลุ่ม ก็พูดขึ้นมาว่า “เห้ยกูว่าพวกเราขี่มอไซค์ไปดูบ้านทรงไทยร้างกันไหมอยากรู้ว่าจะมีผีหรือเปล่า” ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของเราไปชิดซ้ายเข้าซอยไปอีกหน่อยก็เจอแล้ว ทุกคนได้ยินอย่างนั้น จึงมองหน้ากันอย่างรู้ใจเป็นนัยว่าทุกคนพร้อมที่จะไปดู ด้วยความคึกคะนองของวัยในตอนนั้นของทุกคนจึงไม่มีใครคัดค้านออกมา เมื่อสิ้นเสียงของไอ้เซ้งลง พวกเราจากจึงสตาร์ทเครื่อง 2 ล้อคู่ใจ โดยนั่งซ้อนท้ายกันไป 4 คัน 8 คน มุ่งหน้าไปยังบ้านที่พูดถึงกัน
ตลอดทางที่พวกเราขี่รถมาแสงไฟสลัวๆ สีส้มคอยให้ความสว่างไม่นานพวกเราก็มาถึงซอยทางเข้าบ้านหลังที่ว่า ซึ่งที่หน้าปากซอยนั้นมีศาลเจ้าเล็กๆ เปิดไฟหลอดนีออนสว่างไสวทำให้มองเห็นคน ใส่ชุดขาวนั่งอยู่ด้านใน จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในซอย เร่งเครื่องอย่างช้าๆ ยิ่งขี่รถเข้าไปลึกเท่าไร ก็ยิ่งมืดลงทุกทีกระทั่งแสงไฟจากการไฟฟ้าหมดลงไป เหลือไว้แค่ไฟที่หน้ารถของพวกเรา ทั้ง 4 คัน ที่ยังคงส่องแสงนำทาง บรรยากาศในขณะนั้นวังเวง 2 ข้างทางไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง มีเพียงแค่ป่ารกร้างขึ้นปกคลุมหนาทึบ อากาศก็เย็นลงกว่าตอนแรกที่เข้ามาอย่างเห็นได้ชัด ไร้เสียงการสนทนาของพวกเรา มีเพียงเสียงจากท่อของเจ้า 2 ล้อที่ขี่มาเท่านั้น
พอเข้ามาในซอยได้ประมาณ 3 กม. ก็มาถึงที่หมายซึ่งอยู่ด้านขวา เครื่องรถก็ถูกดับลงอย่างพร้อมเพียง ไฟหน้ารถก็ดับลงไปด้วย บรรยากาศในตอนนั้นมืดลงไปอีก แต่ก็ยังพอมองเห็นบ้านทรงไทย 2 ชั้น มีใต้ถุน หลังไม่เล็กไม่ใหญ่ อายุน่าจะหลาย 10 ปีเห็นจะได้ แต่รกร้างถูกปกคลุมไปด้วยพวกเถาวัลย์เลื้อยทั่วบ้าน ไร้เสียงผู้คน มีเสียงของเจ้าจั๊กจั่นเท่านั้นที่เปล่งออกมาตัดกับความเงียบ ทำให้บรรยากาศวังเวงลงลงเข้าไปอีก ตัวผมเองตอนนั้นรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูก เหงื่อออกมาเต็มฝ่ามือ ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้นได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นพวกเราก็เริ่มบทสนทนาอีกครั้งหลังจากที่เงียบกันมาตลอด
http://tiewkrungthep.weebly.com/3617362935913621362936043627362336563634359135863634.html