เนื่องจากกระทู้เดิมตกไวมาก ขออนุญาตขึ้นกระทู้ใหม่นะครับ
เขียนได้น้อยกว่าที่คิดแฮะ งานยุ่งมากเลยครับ > <
คำนำสั้น ๆ
เนื้อหาทั้งหมด ผมเขียนจากประสบการณ์จริงในชีวิตเกือบจะ 100%
โดยจะเป็นการเล่าถึงชีวิตการลาออกจากงานประจำ
เพื่อมุ่งสู่การเป็นฟรีแลนซ์ของผม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันครับ
(ที่ก็ยังเป็นฟรีแลนซ์อยู่) ชอบไม่ชอบอย่างไร ติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ
เนื้อหาในกระทู้ที่ผ่านมา
- การลาออกและชีวิตฟรีแลนซ์ครั้งแรก
- [ข้อคิด] ก่อนจะตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์
- งานประจำและการลาออกครั้งที่สอง
- เป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวอีกครั้ง
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิต
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีสวัสดิการ
ฟรีแลนซ์ อาชีพอิสระ ที่ไร้ซึ่งอิสระ
ประเด็นนี้เป็นเรื่องคล้าย ๆ กับเวลาเราไปทานอาหารกับเพื่อน แล้วเมนูที่เพื่อนสั่ง
มีแนวโน้มจะน่ากินกว่าเมนูที่เราสั่งอยู่บ่อยครั้ง เช่นเดียวกันครับ พนักงานประจำ
มักจะอิจฉาคนที่เป็นฟรีแลนซ์ ตื่นสายก็ได้ ไม่อยากทำงานก็ไม่ต้องทำ ไม่มีเจ้านายมาคอยกวนใจ ฯลฯ
อันที่จริงแล้ว แค่คืนแรกหลังจากที่ลาออกจากงานประจำมา สิ่งแรกที่หลาย ๆ คนจะสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว
คือความไม่มั่นใจว่าเราจะอยู่รอดยังไงครับ พนักงานประจำสามารถใช้ชีวิตยังไงก็ได้ตามใจชอบ
เพราะทุกคนมีความมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่ปลายเดือนก็ต้นเดือน เงินเดือนจะต้องออก จะต้องถูกโอนเข้าบัญชี
แต่ทันทีที่คุณลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ หากคุณไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองกองไว้ให้ใช้
คุณจะสัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งนี้ทันทีครับ นั่นคือ “ไม่มีเงินเดือนอีกแล้ว” ดังนั้น การตื่นสายก็ดี ไม่อยากทำงาน
ไม่มีเจ้านาย ฯลฯ มันไม่สำคัญแล้วครับ ที่สำคัญเพียงอย่างเดียวคือ “งาน... งานอยู่ไหน”
ทุกคนที่เป็นฟรีแลนซ์แล้วอยู่รอดได้ จะมีลักษณะอย่างหนึ่งที่คล้ายกัน คือกลายเป็นหมาล่าเนื้อ หิวงาน
และคว้างานทันทีที่สามารถทำได้ “เพราะไม่มีเงินเดือน”
สิ่งที่จะเกิดขึ้น มักจะเป็นแบบนี้ครับ คือยามที่ไม่มีงาน คุณก็ต้องนอนแห้ง นอนนึกว่า
“จะเอาอะไรกินดีเนี่ย ช่วยด้วย ใครก็ได้ของานที” และยามที่งานมันถาโถมเข้ามา คุณจะไม่มีเวลาตั้งตัว
ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด
พอจะเห็นภาพไหมครับ ว่าการเป็นฟรีแลนซ์นั้น สมดุลในชีวิตอาจจะพังลงง่าย ๆ
เพื่อนฝูงก็อาจจะหายหน้าหายตาไป เพราะเวลาว่างจะไม่ตรงกับคนปกติ ใครที่เคยมองว่า ฟรีแลนซ์
อยากจะว่างเมื่อไหร่ก็ว่างได้นั้น ผิดถนัดเลยนะครับ ฟรีแลนซ์ จะว่างก็คือตอนที่ไม่มีงาน ซึ่งไม่มีงานก็แปลว่าไม่มีเงิน
แปลว่าต้องประหยัด ก็ไม่ค่อยอยากจะออกไปไหนนัก
ถ้ายกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของผมเองนะครับ ผมเคยซื้อดีลที่พักเอาไว้ กะว่าจะพาแฟนไปเที่ยว
ผ่านไปหกเดือน จนดีลมันจะหมดอายุ ผมก็ยังไม่ว่างพาแฟนไป จนกระทั่งสุดท้าย แก้ปัญหาด้วยการ...
หอบงานไปทำด้วย เพราะเสียดายดีล หรือผมเคยแม้กระทั่ง กำลังเดินเที่ยวอยู่กับแฟนที่สวนสัตว์เชียงใหม่
แล้วลูกค้าโทรมาตามให้แก้งาน ก็ต้องรีบบึ่งกลับโรงแรม เพื่อจะไปแก้งานให้ลูกค้า
พร้อมกับนั่งง้อแฟนที่หน้าหงิกงออยู่หลายชม.หลังจากนั้น
ดังนั้น คนที่จะเป็นฟรีแลนซ์ได้ดี จะต้องมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ และความอดทนสูงมาก
เพราะการจัดสมดุลชีวิตในสายอาชีพนี้ ทำได้ค่อนข้างยาก ต้องพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
และแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี เราจะไม่มีเพื่อนร่วมงานไว้คอยปรึกษา
ไม่มีเจ้านายหรือรุ่นพี่ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้เราได้ เราต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเราเอง
และความผิดพลาดย่อมหมายถึงการไม่ได้ค่าจ้าง หรือบางครั้งอาจเลวร้ายถึงเสียค่าปรับ
รวมทั้งเสียเครดิตในอนาคตอีกด้วย ถามว่าลูกค้าโทรมา ไม่อยากรับได้ไหม ได้ครับ ลูกค้าก็ไม่จ่ายเงิน และเสียลูกค้าไง
สรุปแล้วอิสระจริงไหมครับ ต้องลองถามตัวเองดูว่า อิสระแบบไม่มีรายได้เอาไหมล่ะครับ
ฟรีแลนซ์ปีสอง: ฟรีแลนซ์ อาชีพอิสระ ที่ไร้ซึ่งอิสระ
เขียนได้น้อยกว่าที่คิดแฮะ งานยุ่งมากเลยครับ > <
คำนำสั้น ๆ
เนื้อหาทั้งหมด ผมเขียนจากประสบการณ์จริงในชีวิตเกือบจะ 100%
โดยจะเป็นการเล่าถึงชีวิตการลาออกจากงานประจำ
เพื่อมุ่งสู่การเป็นฟรีแลนซ์ของผม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันครับ
(ที่ก็ยังเป็นฟรีแลนซ์อยู่) ชอบไม่ชอบอย่างไร ติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ
เนื้อหาในกระทู้ที่ผ่านมา
- การลาออกและชีวิตฟรีแลนซ์ครั้งแรก
- [ข้อคิด] ก่อนจะตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์
- งานประจำและการลาออกครั้งที่สอง
- เป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวอีกครั้ง
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิต
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีสวัสดิการ
ฟรีแลนซ์ อาชีพอิสระ ที่ไร้ซึ่งอิสระ
ประเด็นนี้เป็นเรื่องคล้าย ๆ กับเวลาเราไปทานอาหารกับเพื่อน แล้วเมนูที่เพื่อนสั่ง
มีแนวโน้มจะน่ากินกว่าเมนูที่เราสั่งอยู่บ่อยครั้ง เช่นเดียวกันครับ พนักงานประจำ
มักจะอิจฉาคนที่เป็นฟรีแลนซ์ ตื่นสายก็ได้ ไม่อยากทำงานก็ไม่ต้องทำ ไม่มีเจ้านายมาคอยกวนใจ ฯลฯ
อันที่จริงแล้ว แค่คืนแรกหลังจากที่ลาออกจากงานประจำมา สิ่งแรกที่หลาย ๆ คนจะสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว
คือความไม่มั่นใจว่าเราจะอยู่รอดยังไงครับ พนักงานประจำสามารถใช้ชีวิตยังไงก็ได้ตามใจชอบ
เพราะทุกคนมีความมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่ปลายเดือนก็ต้นเดือน เงินเดือนจะต้องออก จะต้องถูกโอนเข้าบัญชี
แต่ทันทีที่คุณลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ หากคุณไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองกองไว้ให้ใช้
คุณจะสัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งนี้ทันทีครับ นั่นคือ “ไม่มีเงินเดือนอีกแล้ว” ดังนั้น การตื่นสายก็ดี ไม่อยากทำงาน
ไม่มีเจ้านาย ฯลฯ มันไม่สำคัญแล้วครับ ที่สำคัญเพียงอย่างเดียวคือ “งาน... งานอยู่ไหน”
ทุกคนที่เป็นฟรีแลนซ์แล้วอยู่รอดได้ จะมีลักษณะอย่างหนึ่งที่คล้ายกัน คือกลายเป็นหมาล่าเนื้อ หิวงาน
และคว้างานทันทีที่สามารถทำได้ “เพราะไม่มีเงินเดือน”
สิ่งที่จะเกิดขึ้น มักจะเป็นแบบนี้ครับ คือยามที่ไม่มีงาน คุณก็ต้องนอนแห้ง นอนนึกว่า
“จะเอาอะไรกินดีเนี่ย ช่วยด้วย ใครก็ได้ของานที” และยามที่งานมันถาโถมเข้ามา คุณจะไม่มีเวลาตั้งตัว
ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด
พอจะเห็นภาพไหมครับ ว่าการเป็นฟรีแลนซ์นั้น สมดุลในชีวิตอาจจะพังลงง่าย ๆ
เพื่อนฝูงก็อาจจะหายหน้าหายตาไป เพราะเวลาว่างจะไม่ตรงกับคนปกติ ใครที่เคยมองว่า ฟรีแลนซ์
อยากจะว่างเมื่อไหร่ก็ว่างได้นั้น ผิดถนัดเลยนะครับ ฟรีแลนซ์ จะว่างก็คือตอนที่ไม่มีงาน ซึ่งไม่มีงานก็แปลว่าไม่มีเงิน
แปลว่าต้องประหยัด ก็ไม่ค่อยอยากจะออกไปไหนนัก
ถ้ายกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของผมเองนะครับ ผมเคยซื้อดีลที่พักเอาไว้ กะว่าจะพาแฟนไปเที่ยว
ผ่านไปหกเดือน จนดีลมันจะหมดอายุ ผมก็ยังไม่ว่างพาแฟนไป จนกระทั่งสุดท้าย แก้ปัญหาด้วยการ...
หอบงานไปทำด้วย เพราะเสียดายดีล หรือผมเคยแม้กระทั่ง กำลังเดินเที่ยวอยู่กับแฟนที่สวนสัตว์เชียงใหม่
แล้วลูกค้าโทรมาตามให้แก้งาน ก็ต้องรีบบึ่งกลับโรงแรม เพื่อจะไปแก้งานให้ลูกค้า
พร้อมกับนั่งง้อแฟนที่หน้าหงิกงออยู่หลายชม.หลังจากนั้น
ดังนั้น คนที่จะเป็นฟรีแลนซ์ได้ดี จะต้องมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ และความอดทนสูงมาก
เพราะการจัดสมดุลชีวิตในสายอาชีพนี้ ทำได้ค่อนข้างยาก ต้องพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
และแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี เราจะไม่มีเพื่อนร่วมงานไว้คอยปรึกษา
ไม่มีเจ้านายหรือรุ่นพี่ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้เราได้ เราต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเราเอง
และความผิดพลาดย่อมหมายถึงการไม่ได้ค่าจ้าง หรือบางครั้งอาจเลวร้ายถึงเสียค่าปรับ
รวมทั้งเสียเครดิตในอนาคตอีกด้วย ถามว่าลูกค้าโทรมา ไม่อยากรับได้ไหม ได้ครับ ลูกค้าก็ไม่จ่ายเงิน และเสียลูกค้าไง
สรุปแล้วอิสระจริงไหมครับ ต้องลองถามตัวเองดูว่า อิสระแบบไม่มีรายได้เอาไหมล่ะครับ