ฟรีแลนซ์ปีสอง (แอบรับน้องปีหนึ่ง)

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ อย่าเพิ่งตกใจกับชื่อกระทู้นะครับ
ไม่ใช่นิยาย และไม่ได้แท็กผิดห้องครับ

คือจริง ๆ ผมอยากเขียนเป็นหนังสือ แต่คิดไปคิดมา
ถ้ามันไม่น่าสนใจก็คงไม่มีสำนักพิมพ์เหลียวแล
เลยเอามาให้เพื่อน ๆ ใน Pantip ช่วยกันอ่านแทนก็แล้วกันครับ

เนื้อหาทั้งหมด ผมเขียนจากประสบการณ์จริงในชีวิตเกือบจะ 100%
โดยจะเป็นการเล่าถึงชีวิตการลาออกจากงานประจำ
เพื่อมุ่งสู่การเป็นฟรีแลนซ์ของผม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันครับ
(ที่ก็ยังเป็นฟรีแลนซ์อยู่)
ชอบไม่ชอบอย่างไร ติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ



การลาออกและชีวิตฟรีแลนซ์ครั้งแรก

ย้อนกลับไป 7 ปีก่อนหน้านี้ ผมก็เป็นพนักงานประจำ เงินเดือนหมื่นต้น ๆ
ไม่ต่างจากเด็กเพิ่งจบใหม่ทั่วไปหลาย ๆ คนเลยสักนิดครับ
ด้วยความที่ผมเป็นเด็กหัวแข็ง ผมไม่ชอบอยู่กับที่บ้าน
ดังนั้น หลังจากที่ผมเรียนจบและได้งาน ผมจึงเช่าหออยู่ต่อทันที
และเริ่มต้นชีวิตการเป็นมนุษย์เงินเดือนนับตั้งแต่บัดนั้น

แน่นอนว่าผมไม่สามารถเก็บเงินได้เลย ไหนจะค่าหอ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ต
ค่าเดินทาง ค่าพาแฟนไปกินข้าว ดูหนัง เมื่อเริ่มมองเห็นอนาคตทางการเงินอันริบหรี่
ผมจึงเริ่มมองหารายได้เสริมครับ

ในแวดวงเพื่อนฝูงของผม มีงานที่สามารถรับมาทำที่บ้านได้อยู่
และผมเองก็มีความสามารถพอที่จะรับมันมาทำได้ (ขออนุญาตไม่ระบุนะครับว่างานอะไร
เพื่อจะได้ไม่เผลอลงรายละเอียดลึกไปในวงการของผมมากเกินไป)

นับจากตอนนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกรักไอ้เจ้างานพิเศษนี้มากกว่างานประจำของผมอีกครับ
ยิ่งทำผมก็ยิ่งชอบ เพราะเป็นงานที่ผมสามารถทำที่บ้านได้ อยู่กับตัวเองคนเดียว
ไม่ต้องมีเพื่อนร่วมงานนั่งนินทา ไม่มีเจ้านายมาคอยกำกับ
ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าไปตอกบัตรด้วย

ที่สำคัญ และสำคัญ และสำคัญที่สุด คือรายได้ของมันจัดว่าดีถึงดีมากทีเดียวครับ
ผมสามารถหารายได้เสริมจากงานที่ว่านี้ได้เดือนละหลายพันบาท
ทำให้หมดปัญหาเรื่องการเงินไปเลย ผมมีเงินซื้อมือถือใหม่ มีเงินพาแฟนไปเที่ยวทะเล
(ไม่ได้คิดถึงอนาคตเอาเสียเลย)

และที่สำคัญกว่า งานนี้ก็มีมาให้ผมทำเรื่อย ๆ แบบไม่ขาดสายเสียด้วย
โดยระบบการทำงานก็ง่าย ๆ ครับ คือผมติดต่อกับลูกค้าผ่าน MSN
(เป็นโปรแกรมสื่อสารยอดฮิตในยุคนั้น เทียบได้กับ Line สมัยนี้นั่นแหละครับ)
เสร็จแล้วก็รับไฟล์งานมาทางอีเมล พอทำงานเสร็จก็ส่งไฟล์กลับไป
จากนั้นก็รอรับเงินภายในไม่เกิน 30 วันหลังจากส่งงาน

หลังจากที่ผมทำงานประจำควบคู่กับไปงานพิเศษนี้ได้ครบหนึ่งปี
ประจวบเหมาะกับที่ผมมีปัญหากับที่ทำงานของผม
และผมลองบวกลบคูณหารดูแล้วว่า  “ถ้า” ผมทำงานพิเศษนี้แบบเต็มเวลา
คือไม่ได้ทำเป็นงานพิเศษ แต่ทำเป็นงานประจำ
ผมน่าจะหาเงินได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละสองหมื่นบาท
ซึ่งถือว่าเยอะกว่าเงินเดือนผมจริง ๆ เสียอีก

ด้วยความไม่คิดหน้าคิดหลัง บวกกับอีโก้ของผมในตอนนั้น
ผมจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำอย่างกะทันหัน
ซ้ำร้ายกว่านั้น เพราะผมผิดสัญญาที่เซ็นไว้กับบริษัท
ผมจึงจำเป็นต้องเสียค่าปรับจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเงินเก็บทั้งหมด
ที่ผมมีในตอนนั้น (ถือว่าเยอะมากสำหรับตัวผมในตอนนั้น)

แต่แน่นอนว่าตัวผมในตอนนั้นไม่ได้แคร์เลย
ผมเชื่อว่าผมมีอนาคตที่ดีกว่ารออยู่ อนาคตที่ผมจะเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่เจ้านายของผม

ในเดือนแรกที่ผมลาออกมานั้น ผมมีงานก้อนโตที่มีมูลค่าหมื่นกว่าบาทอยู่
ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าผมจะต้องอยู่รอดได้แน่ ผมจึงยืมเงินจากเพื่อนสนิทจำนวนหนึ่ง
และจากแฟนอีกจำนวนหนึ่ง มาใช้จ่ายในเดือนนั้น ผมทำงานอย่างมีความสุข
ได้ตื่นสาย ควบคุมเวลาทำงานเอง ได้มีเวลาอยู่กับแฟนมากขึ้น ผมมีความสุขมากทีเดียว

ทว่าหลังจากผมส่งงานงวดแรกไปครบเดือน ลูกค้าของผมกลับนิ่งเงียบ
ไม่มีเงินโอนมาเหมือนอย่างเคย เมื่อทวงถามไป เขาก็บอกกับผมว่า
“เดี๋ยวจ่ายให้ ยังเก็บเงินลูกค้าไม่ได้” ด้วยความที่ผมทำงานกับเขามานานมาก
และด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เราค่อนข้างสนิทกัน ผมจึงไม่ได้เอะใจอะไรในเรื่องนี้

แต่ที่แย่ก็คือ หลังจากหมดงานก้อนโตที่ว่านี้ ผมก็ไม่ได้รับงานจากลูกค้าคนนี้อีกเลย
เรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้ผมร้อนใจ หลังจากพยายามหางานเพิ่ม
โดยใช้ชื่อเสียงที่พอมีอยู่บ้างในวงการที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก
ผมก็ได้งานจากลูกค้ารายใหญ่อีกรายหนึ่ง ซึ่งงานนี้ถือว่ายากและท้าทายกว่าเดิมพอสมควร
และมาพร้อมกับอัตราค่าจ้างที่สูงจนผมยิ้มได้

ผมผ่านการทดสอบและได้งานมาทำอย่างรวดเร็ว พร้อมคำชมว่าผมมีฝีมือดีกว่าอีกหลาย ๆ คนมาก
ผมยังคงนั่งทำงานในระบบเดิมต่อไป คือการคุยงานทาง MSN รับงานทางอีเมล
ไม่มีการเซ็นสัญญาจ้างใด ๆ ทั้งหมดใช้ใจคุยกันล้วน ๆ โดยผมเห็นว่าลูกค้ารายที่สองนี้
เป็นรายใหญ่ในวงการ ไม่น่าจะโกงผมแน่ ๆ

เวลาล่วงเลยไปนับจากวันแรกที่ผมลาออกก็สองเดือนเต็ม
ผมก็ได้รับเงินค่าจ้างจากลูกค้าคนแรกที่ผมสนิท พร้อมกับข่าวร้าย ซึ่งก็คือเขาจะปิดกิจการแล้ว
เพราะธุรกิจซบเซามาก เขาอยู่ไม่ได้จริง ๆ แม้ข่าวนี้จะทำให้ผมใจหายอยู่บ้าง
แต่ผมก็ยังอุ่นใจเพราะได้ร่วมงานกับลูกค้ารายใหญ่ แถมได้ค่าแรงแพงกว่าอีกต่างหาก

หลังจากทำงานส่งให้กับลูกค้าคนใหม่ไปจนครบกำหนดชำระเงิน สิ่งที่ผมได้รับคือ ความว่างเปล่า
ผมพยายามทวงถามในแบบที่ไม่ดูน่าเกลียดเกินไปด้วยความเกรงใจ
สุดท้ายผมก็ได้รับค่าจ้างมาหลังจากเลยกำหนดไปถึงหนึ่งสัปดาห์
ในขณะที่ผมยังคงรับงานจากลูกค้ารายนี้ต่อไป

ผ่านไปทั้งหมดห้าเดือน หลังจากที่ผมลาออกจากงานประจำ
ผมต้องประสบปัญหาการจ่ายเงินช้าแทบทุกเดือน และความล่าช้านี้ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
จากหนึ่งสัปดาห์เป็นสองสัปดาห์ นั่นทำให้การเงินของผมย่ำแย่มาก
ผมเป็นหนี้แฟนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเริ่มทวงเงินลูกค้าของผมแบบไม่เกรงใจ
จนกระทั่งลูกค้าของผมไม่ยอมออนไลน์ MSN และไม่ยอมรับโทรศัพท์

ย่างเข้าสู่เดือนที่หก ผมได้รับค่าจ้างครึ่งหนึ่ง พร้อมกับข่าวที่ไม่ค่อยดี คือ
“ธุรกิจอยู่ในช่วงขาลง ขอปรับลดค่าแรงลง” ประกอบกับพี่ชายของผม
ชวนผมไปทำงานประจำที่บริษัทของเขา เพราะมีตำแหน่งว่างงานพอดี
ผมจึงตัดสินใจไม่รับงานต่อและยอมแพ้ให้กับหนทางสายฟรีแลนซ์ของผม

เชื่อไหมครับ กว่าผมจะได้ค่าจ้างที่ค้างอีกครึ่งหนึ่ง ผมต้องบุกไปทวงถึงหน้าร้าน
บุกไปทวงต่อหน้าลูกค้า แถมผมยังมาทราบทีหลังจากเพื่อนของผมด้วยว่า
ลูกค้าคนแรกของผมที่ผมเล่าให้ฟังว่าสนิทกัน เขาเบี้ยวค่าจ้างทุกคนเลย
ก่อนจะปิดร้านหนี ผมโชคดีขนาดไหนที่เขาไม่เบี้ยว

สรุปผลการเป็นฟรีแลนซ์ครั้งแรกในชีวิตของผม คือ
"ล้มเหลวไม่เป็นท่า แถมเป็นหนี้แฟนอีกต่างหาก"


[ข้อคิด] ก่อนจะตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์

หลังจากที่ได้พูดถึงจุดเริ่มต้นการเป็นฟรีแลนซ์ของผม
ที่มาพร้อมกับความล้มเหลวไปในบทที่แล้ว ผมจึงอยากขออนุญาตสรุปเป็นข้อคิดที่สำคัญ
ฝากให้เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ที่กำลังคิดอยากเป็นฟรีแลนซ์ลองพิจารณาดูก่อนนะครับ

ก่อนอื่น ผมอยากให้เข้าใจก่อนว่า การจะเป็นฟรีแลนซ์ให้อยู่รอดได้จนถึงระดับที่ “คุ้มค่า”
ที่เราจะเลือกทำแทนงานประจำนั้น มีเงื่อนไขอยู่ค่อนข้างมาก
และต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบมาก ส่วนใหญ่ที่บุ่มบ่ามออกมาวัดดวง
กะตายเอาดาบหน้าโดยไม่วางแผนศึกษาข้อมูลก่อน มักจะลงเอยไม่ต่างจากตัวผมดังที่เล่าไปก่อนหน้านี้

ใครที่ยอมแพ้ ก็ต้องกลับไปทำงานประจำ (แบบผม) ใครที่ไม่ยอมแพ้ ก็เรียนรู้จากความผิดพลาด
ตั้งหลักได้ก็มีครับ (ก็ผมอีกนั่นแหละ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังหลังจากนี้นะครับ)

ข้อแรก เรารู้จักอุตสาหกรรมที่เราจะเป็นฟรีแลนซ์ดีพอรึยัง อุตสาหกรรมนี้
มีที่ว่างให้เราเข้าไปจับจองมากแค่ไหน ถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ คือเราจะมีงานสม่ำเสมอพอที่จะอยู่รอดได้รึเปล่า
เรามีคู่แข่งขันมากน้อยแค่ไหน ตัวอุตสาหกรรมเอง เป็นอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนหรือเปล่า

จากที่ผมได้เล่าไปในบทก่อนหน้า จะเห็นได้ว่าผมเลือกที่จะทำงานในอุตสาหกรรมที่กำลังจะตาย
ผมลาออกจากงานประจำมาในช่วงที่เป็นขาลงสุด ๆ ของวงการพอดี โดยที่ผมไม่ได้รู้ตัวเลย
เพราะผมสนใจแค่งานที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่ได้คิดที่จะแสวงหาความรู้อะไรเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ผมจะล้มเหลวอย่างรวดเร็วขนาดนั้น

ข้อสอง เรามีสิ่งที่เรียกว่าคอนเนคชันหรือสายสัมพันธ์ดีพอรึยัง เพราะการเป็นฟรีแลนซ์นั้น
ต้องอาศัยเครดิตหรือความน่าเชื่อถือที่ค่อนข้างสูง ถ้าเราไม่มีคอนเนคชัน
แถมยังเป็นหน้าใหม่ในกลุ่มฟรีแลนซ์ โอกาสที่จะได้งานนั้นจะต่ำถึงต่ำมาก แม้แต่จุดเริ่มต้นของผมเอง
(ที่ลงเอยด้วยความล้มเหลว) ก็เริ่มจากเพื่อนผมที่ทำอยู่ในวงการก่อนแล้ว

เพราะแทบจะทุก ๆ อุตสาหกรรม จะต้องมีฟรีแลนซ์รุ่นพี่ที่มีชื่อเสียงในวงการครองตลาด
หากเราเป็นหน้าใหม่เข้ามาโดยไม่รู้จักใครเลย เราจะต้องใช้เวลาตั้งตัวและสั่งสมชื่อเสียง
กับเครดิตนานกว่าคนอื่นมาก ๆ

หากผมไม่มีเพื่อนอยู่ในวงการ ผมก็อาจจะไม่ได้งานทำเลย หรืออาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ามีงานประเภทนี้อยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เราจำเป็นต้องมีคอนเนคชันที่หลากหลาย หรือพูดง่าย ๆ คือ
เราจำเป็นต้องรับงานจากหลาย ๆ แหล่งด้วยครับ จะเห็นได้จากการที่ผมจำเป็นต้องหาลูกค้ารายที่สอง
หลังจากที่รายแรกนั้นไม่มีงานให้ผมทำ ตรงส่วนนี้แหละครับ ที่ขาดไม่ได้สำหรับฟรีแลนซ์
เพราะเราไม่สามารถผูกขาดกับลูกค้ารายเดียวได้ เพราะเขาจะให้งานเราทำ เมื่อมีงานเท่านั้น
ถ้าเรายึดติดอยู่กับลูกค้าเพียงคนเดียว แม้เราจะมีความสัมพันธ์อันดีงามกับลูกค้าเพียงใด
เมื่อไม่มีงาน เราก็มีโอกาสอดตายสูงครับ

ข้อสาม เรามีวินัยทางการเงิน และมีเงินทุนสำรองมากแค่ไหน เราทราบรายจ่ายต่อเดือนของเราหรือไม่
เพราะขึ้นชื่อว่าฟรีแลนซ์ สิ่งหนึ่งที่แน่นอน ก็คือรายได้ที่ไม่แน่นอน เวลาเราเป็นฟรีแลนซ์
กว่าลูกค้าจะจ่ายเงิน บางครั้งต้องรอหลังจากงานเสร็จไปแล้วสองสามเดือน บางทีก็นานกว่านั้น

แล้วระหว่างนั้นเราจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่าย หากเราไม่สำรองเงินไว้ ดังนั้น
สิ่งแรกสุดสำหรับใครก็ตามที่คิดจะลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ผมแนะนำจากใจเลยว่า
ให้สรุปรายจ่ายประจำเดือนของเรา แล้วสำรองเงินเก็บไว้ให้มากพอใช้จ่ายอย่างน้อย 3 เดือน
ถ้าจะให้ดีก็ 6 เดือนครับ แล้วเราจะไม่เครียดมากเกินไปหลังจากลาออกจากงานประจำ
อย่าทำเหมือนผมที่บุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลัง

ผมได้เรียนรู้ทั้งหมดนี้มาอย่างโหดร้ายกับตัวเอง ดังที่ทุกท่านได้อ่านมาแล้วจากบทที่แล้ว
ผมเลือกลาออกจากงานประจำ มาทำฟรีแลนซ์ โดยที่ไม่ได้เผื่อเงินไว้เลยสักบาท
สุดท้ายก็ต้องขอยืมเงินจากคนรอบตัว เพื่อเอาตัวรอดในระหว่างรอเงินค่าจ้างงวดแรก
คอนเนคชันอะไรผมก็ไม่มี ลูกค้าผมมีอยู่คนเดียว พองานหมด ผมก็ต้องวิ่งหาลูกค้ารายใหม่แบบกะทันหัน

ซึ่งในความเป็นจริง การฝากชีวิตการเป็นฟรีแลนซ์ไว้กับลูกค้าที่เราไม่เคยร่วมงานด้วยมาก่อน
เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างมากนะครับ เพราะเรามีโอกาสถูกโกงได้ทุกเมื่อ
และไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าเราจะมีงานทำต่อเนื่อง
ส่วนเรื่องวินัยทางการเงินก็อย่างที่รู้ ๆ กันครับ ตัวผมในตอนนั้นจัดได้ว่าแย่มาก เป็นหนี้ก้อนโตอีกต่างหาก



พื้นที่หมดซะแล้ว ยังไงรบกวนติชมด้วยนะครับ
สำหรับบทอื่น ๆ ที่จะทยอยเอามาแปะเพิ่ม (ถ้ายังมีคนสนใจอ่าน)
จะมีหัวข้อตามนี้ครับ

- งานประจำและการลาออกครั้งที่สอง
- เป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวอีกครั้ง
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิต
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีสวัสดิการ
- ฟรีแลนซ์ อาชีพอิสระ ที่ไร้ซึ่งอิสระ
- สิ่งที่แน่นอนในชีวิตได้แก่ความตายและ “ภาษี”
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีรถ
- ลูกค้าที่รัก
- ฟรีแลนซ์กับความมั่นคง
- ฟรีแลนซ์ กับความก้าวหน้า
- เมื่อฟรีแลนซ์อยากแต่งงาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่