เป็น single mom 9 เดือน ทำใจยอมรับ และปรับโหมดใหม่เดินหน้าเต็มที่

ท้าวความตรงนี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


หลังจากที่ตัดสินใจหย่ากับเขา ก็บอกเขาว่าอยากหย่า เขาไม่ยอมไปหย่าดีๆ ก็เลยบังคับไปหย่า และจากกันไม่ดี
--คนที่เดินออกมาก่อน คนที่บอกว่าเลิกก่อน ไม่ใช่คนที่ไม่เจ็บปวดนะคะ--


9 เดือนนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง ปรับตัวยังไง?

ตอนนั้นเราอยู่หอด้วยกันค่ะ ลูกอยู่กับยายที่ต่างจังหวัด  พอทำเรื่องหย่าแล้ว ฉันก็ถามเขาว่า พี่จะไปหรือให้ฉันไป เขาบอกพี่จะอยู่  เงินกองกลางนี้ ทองกองกลางนี้ แบ่งกันเลยไหม เขาบอกแบ่ง ก็เลยแบ่ง..และฉันจึงต้องออกมาค่ะ วันที่เขาไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ฉันจึงเก็บข้าวของออกมาย้ายไปหอใหม่ทันที โดยไม่ได้ลาอะไร

เดือนแรก ฉันอ่อนแอค่ะ ไม่ได้เข้มแข็งอะไรมากหรอก คิดสงสารเขา สงสารตัวเองด้วย แต่คิดว่า อะไรมันผ่านไปแล้ว ตัดสินใจไปแล้ว ฉันจะไม่หวนคืน ประจวบกับช่วงที่แยกออกมา งานชุกมาก ต้องทำงานประจำวันธรรมดา และวันหยุดต้องออกต่างจังหวัด แทบไม่ได้พักเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะฉันได้ไปพบปะพูดคุยกับพี่ๆน้องๆที่ทำงานด้วยกัน และรู้สึกว่า เรื่องของฉันคนเดียวมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ...แต่เวลากลับมาห้อง อยู่คนเดียว ก็เหงาอยู่ ร้องไห้ไหมร้องค่ะ ก็ตัดใจทำสมาธิแล้วอ่นหนังสือบ้าง โทรหาลูก หาอะไรทำบ้าง

เดือนสอง สาม สี่ งานเริ่มซา จึงคิดว่า ตัวเองควรหางานอย่างอื่นเพิ่มเพราะเดือนแรกที่หย่ามา เขาก็ไม่ส่งเงินมาให้เราแล้ว คิดว่าเดือนถัดๆไปก็คงจะไม่มี จึงต้องหารายได้เพิ่ม  ที่จริงมีงานขายของทางเน็ตอยู่แล้ว แต่ไม่ได้จริงจัง ไม่ได้ทุ่มเท แต่พอคิดว่าต้องทำเงินเพิ่มมากๆ ก็ต้องทำอย่างจริงจังเสียที  เวลาช่วงนี้ จึงทุ่มเทในช่วงกลางคืนปรับปรุงเพจขายของ ทำรูปภาพสวยๆ (แต่ของจริง ไม่แต่งสีเว่อร์) และประกาศในเว็บประกาศฟรีต่างๆ  ...ตอนอยู่ห้องคนเดียว แทบไม่หลับไม่นอน เพราะมัวเร่งทำภาพเพื่อจะขายของ ไม่มีเวลาเหงา เศร้าซึม บางทีก็ลืมโทรหาลุก (ตอนนั้นลูกยังไม่พูด โทรไปก็ได้ยินแค่เสียงเค้าหัวเราะ โทรไปฟังแม่เล่าวีรกรรมน่ารักๆซนๆของหลาน)

เดือนห้า หก เจ็ด  ฉันวุ่นอยู่กับการขายของในตอนกลางคืนและเสาร์อาทิตย์ และรับจ๊อบทำรายงาน เรื่องค่าใช้จ่ายมีพอที่จะให้ลูกกินแต่ละเดือน แต่ก็คิดว่าต้องเก็บด้วย ก็ว่าจะหางานทำอีก  
ตอนนั้นได้ถามตัวเองว่าไหวไหม เหนื่อยไหม คำตอบที่ให้ตัวเองอย่างซื่อสัตย์ คือ ไม่เหนื่อยกายเลย ยังมีพลังกายอีกมาก ส่วนใจก็ไม่เหนื่อย ไม่กังวลอะไร สามารถทำได้เต็มที่ ไม่ต้องรอการตัดสินใจร่วมกับใคร คิดแล้วโม้กับแม่ พ่อ พี่ชาย ว่าหนูจะทำอย่างนี้ๆนะ เขาก็อืมๆๆแล้วเราก็ลงมือทำเลย
--- สามคนนี้แหละ (+อีก1ตัวเล็กที่พูดยังไม่รู้เรื่อง แค่ได้ยินเสียงหัวเราะก็รู้สึกมีพลังขึ้นเยอะ) ที่เป็นกำลังให้เราทั้งทางตรงและทางอ้อม---
โดยส่วนตัว เรื่องเงินไม่มีปัญหา เพราะพ่อแม่ทำงานได้อยู่ เงินเก็บก็มีบ้าง ทำนามีข้าวกิน ปลูกผักมีผักกิน สุขภาพก็ยังแข็งแรง วิ่งจับหลานได้ทัน และพี่ชายก็ทำงานเลี้ยงตัวเองได้ แบ่งให้พ่อแม่ทุกเดือน และตัวฉันเองก็มีเงินเก็บ ไม่ค่อยใช้เงิน เก็บอย่างเดียวทีธนาคารแบบบทื่อๆ ไม่หุ้น ไม่ซื้อกองทุน ไม่ฝากเอาดอกอะไร และงานฉันเองก็มีเบี้ยงเลี้ยงไปทำงานนอกสถานทีอ่ยู่บ่อยๆ ส่วนตัวเล็ก กินแค่นม ข้าว มีของเล่นตามประสา ไม่กินขนมเขาไม่ชอบ ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องเงิน

เดือนที่ผ่านมา เจ้านายและกรรมการทุกคนในองค์กรรู้ว่าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และฉันก็ทำงานคนเดียวในองค์กร (มีกรรมการ 10 คนและคนทำงานจริงๆ 1 คน) ตอนนั้นอารมณ์นี้เลย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ และกรรมการท่านหนึ่งใช้ไลน์ติดต่องานกันประจำ ท่านก็บอกว่า นี่เขายังขายเสื้อผ้าเด็กระหว่างทำงานด้วย กรรมการคนอื่นจะว่ายังไง กรรมการท่านอื่นก็ถามกรรมการท่านนั้นว่า แล้วงานเสร็จเรียบร้อยไหม กรรมการก็ตอบว่า ใช่ เรียบร้อย งบก็เรียบร้อย งานก็เรียบร้อย ...มติที่ประชุมจึงลงความเห็นเพิ่มเติมว่า ให้ขายของได้ แต่งานต้องทำให้เสร็จ วันนั้นน้ำตาคลอ แทบจะโบยบินด้วยความดีใจ

...ความรู้สึกช่วงนี้ ตอนนี้ เรื่องงาน สบายใจมากๆๆๆ ไม่มีปัญหาเลย เราทำงานประจำเสร็จ ครบ ขายของก็สนุก
...เรื่องลูกก็สบายใจมากๆๆๆ เพราะเขาพูดไม่เก่งมาจนถึง 3.4 ปี แค่ได้เป็นคำๆ อยู่ดีๆ เดือนที่ผ่านมา เขามาเป็นประโยคยาวๆ เล่าโม้หลายอย่าง ทั้งๆที่ฉันเองโทรหาลูกทุกคืน เขาก็ไม่พูดด้วย พอวันนึง เขาเล่าหมดเลย วันนี้ไปทำอะไรที่ไหนยังไง ทำไข่เจียวเองด้วย เลอะเทอะหมด ครูสอนอะไร ร้องเพลง หนูเต้นอย่างนี้ ที่โรงเรียนมีใคร เป็นยังไงบ้าง คนนั้นดื้อ ไม่เก่ง หนูเก่งจะร้องเพลงกอไก่ให้ฟัง ฉันงี้ดีใจน้ำตาไหลเลย ได้ฟังเขาโม้เป็นชั่วโมง รู้สึกมีความสุขมาก แม่ยังบอกว่า เสียดายเนอะ ที่พ่อเขาไม่ได้ยินลูกตัวเองพูดเก่งขนาดนี้ (ก่อนหน้านี้ลุกไม่ยอมพูด) เพราะตอนนี้พ่อเขาไม่ติดต่อมาอีกเลย ฉันก็บอกแม่ว่า เขาอาจจะเกรงใจแม่น่ะ ที่ไม่ดูแลครอบครัวก็เลยไม่กล้าโทรมาหาลูกอีกต่อไป แต่ลูกชายรู้ค่ะว่าเขาคือพ่อ เพราะเพิ่งหย่ากันเมื่อเขาได้ 2.8ปีนี่เอง เขารู้ว่าใครคือพ่อแม่ ย่าปู่ แต่เขาก็ไม่ถามถึงเพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว..... (เป็นความแปลกมากถึงมากที่สุดที่อยู่ดีๆ เขาก็พูดๆๆๆ (ปัจจุบันก็พูดๆๆๆ) )
...เรื่องความรู้สึกตัวเองต่อเขา ค่อนข้างชัดเจนค่ะว่า สงสารเขาอยู่ เพราะตั้งแต่แยกทางกันมา ฉันเป็นคนปรับตัวเร็ว เดินหน้าเต็มที่ สวยขึ้น (คิดเองนะ) อ้วนขึ้น นอนหลับง่ายขึ้น ขณะที่เขายังจมอยู่กับตัวเอง เห็นโทรมลงไปทุกวัน (เมื่อก่อนเราจะเป็นคนดูแลเรื่องผมเผ้า แต่งกาย คอยจัดหาอะไรบำรุงให้เขา) และตอนนี้ก็เห็นใจเขาอยู่ค่ะว่า ช่วงบอลโลก เขาจะกลับไป loop เดิม ก็คอยไลน์บอกน้องชายเขาว่าให้ดูแลพี่บ้างนะ เคยเจ๊งมาแล้ว ครอบครัวก็ไม่มีแล้ว ก็ควรจะปรับปรุงตัวเอง
...แต่ความรู้สึกตัวเองต่อตัวเอง รู้สึกโล่งใจค่ะ รู้สึกภูมิใจที่เลี้ยงลูกได้ เลี้ยงพ่อแม่ได้ อยู่คนเดียวก็ไม่ได้เหงาหรอก มีอะไรทำมากมาย ขอแค่ลงมือทำอย่างที่คิด เอาเวลาที่จะชิงคิดถึงอดีตไปทำอย่างอื่นให้หมด และให้เกิดประโยชน์ด้วย และให้กำลังใจตัวเองด้วยแบบอย่างจากแม่ คือ แม่มีลูกสองคนตอนอายุ 19 21 ปี สามารถเลี้ยงลูกได้เติบใหญ่มาจนตอนนี้ แล้วยังลำบากเลี้ยงหลานอีก งานในไร่ในนาก็ทำ ...สำหรับตัวเองแล้ว ความลำบากใจในการเป็น single mom ไม่มีเลย เพราะเราดูแลตัวเองได้ เราเข้าใจความต้องการของตัวเอง และไม่ได้แคร์ความคิดและปากชาวบ้านด้วย แม่และพ่อก็ไม่ได้แคร์เช่นกัน

ขอเป็นกำลังใจให้ single mom ใหม่
ขอเพียงเราค่อยๆตั้งหลัก ยืนได้ และเดินหน้าค่ะ มองหลังได้แต่เอาเปนประสบการณ์
ขอให้ตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง เพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ที่เรารัก
ขอให้พึ่งพาตัวเองให้ได้ เพราะการพึ่งตนเองได้ แม้จะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่ได้ล้มไปกับใคร เซไปกับใคร
ขอให้คิดเสมอว่า เราทำได้ถ้าเรายังมีสมอง มีสองแขนสองขาครบ เราก็ทำได้ค่ะ

สู้ๆนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่