KT กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 มิถุนายน 2557 13:31
ธุรกิจ
วันที่ 30 มิถุนายน 2557 13:31
'ทนง'ชำแหละบินไทยขาดทุน
"ทนง พิทยะ" ชำแหละบินไทยขาดทุน ชี้บริหารการเงิน-ซื้อเครื่องบิน-แผนตลาด ผิดพลาด
สายการบินชั้นนำของเมืองไทยอย่าง บริษัท การบินไทย จำกัด (มาชน) ในอดีตเคยวาดลวดลายโชว์ผลประกอบการกวาด "กำไรสุทธิ" หลัก "หมื่นล้านบาท"...แต่มาวันนี้ฐานะการเงิน "ย่ำแย่" ถึงขีดสุดมีผลดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง
ล่าสุดไตรมาสแรกปี 2557 ขาดทุนสุทธิอีกกว่า 2.6 พันล้านบาท ถึงขนาดที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ต้องจัดชั้นให้ "การบินไทย" อยู่ในขั้น "วิกฤติ" พร้อมเสนอให้เร่งควบคุมค่าใช้จ่าย บริหารต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ "การบินไทย" จึงตกเป็น 1 ในรัฐวิสาหกิจ "เป้าหมาย" ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อย (คสช.) ที่จะปรับโครงสร้างองค์กร ตามแผนปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ..คำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับองค์กรขนาดใหญ่อย่าง "การบินไทย" ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายการบิน "เบอร์1" ของเมืองไทย
เรื่องนี้ "ทนง พิทยะ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยนั่งเป็น "ประธานบอร์ด" การบินไทย เมื่อปี 2546 มองว่า สาเหตุการขาดทุนของการบินไทยเป็นเพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดใน 3 ด้าน คือ การบริหารต้นทุนการเงินที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ การจัดซื้อเครื่องบินที่ไม่เหมาะสม และการทำการตลาดที่ยังไม่โดนกลุ่มเป้าหมาย
เรื่องการบริหารต้นทุนการเงิน "ทนง" ย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก หากจะทำให้การบินไทยกลับมามีกำไร ต้องลดต้นทุนการเงินลงให้ได้ อย่างสมัยที่เขานั่งเป็นประธานบอร์ดอยู่ เขาสั่งให้เลิกระบบเช่าซื้อเครื่องบิน(ลิสซิ่ง) ทั้งหมด เพราะมองว่ามันเป็นบ่อเกิดแห่งการคอร์รัปชัน เนื่องจากมีการตั้งบริษัทตัวแทน (นอมินี) ขึ้นมาคิดค่าที่ปรึกษาต่างๆ นานา มีการบิดเบือนบัญชีให้เสมือนกับว่าทรัพย์สินเหล่านี้ไม่ใช่ของการบินไทย
"มันเหมือนกับเป็นการไปซื้อเครื่องบินแล้วไปผ่อนให้คนอื่น คนอื่นเป็นผู้ซื้อแต่เราผ่อนให้ ตลกมั๊ย ผมจึงเปลี่ยนมาให้เป็นเครื่องของการบินไทยทั้งหมด ยกเลิกลิสซิ่ง ซึ่งการบินไทยเครดิตดีมาก กู้เงินได้ราคาถูก อัตราดอกเบี้ยก็ได้ ไลบอร์ บวกแค่ 0.1% คิดเป็นเงินเยนติดลบด้วย เท่ากับดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ในบางช่วง เลยทำให้ต้นทุนการเงินลดลง"
ทนง ยังบอกด้วยว่า สมัยที่เขานั่งเป็นประธานบอร์ด การบินไทย สามารถลดต้นทุนการเงินลงได้ประมาณ 5% จากยอดขายที่ราวๆ 1.7 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นต้นทุนที่ลดลงประมาณ 8 พันล้านบาท
ส่วนเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินที่เหมาะสมนั้น เขายกตัวอย่าง เช่น สายการบินไทยสมายล์ ที่เปิดเส้นทางบินตรง "กรุงเทพ-มาเก๊า" แต่กลับไปซื้อเครื่องบินลำเล็ก ไม่เหมาะกับเส้นทางและปริมาณคน
การตลาดเน้นระบบตั๋วราคาเดียว
สำหรับการทำการตลาดนั้น ทนง บอกว่า ปัจจุบันการบินไทยยังใช้ระบบราคาเดียว (ONE PRICE) แตกต่างจากสายการบินอื่นอีกหลายๆ แห่งที่ใช้วิธีขายตั๋วในราคาถูกก่อน โดยเฉพาะตั๋วที่จองล่วงหน้าหลายๆ เดือน แล้วค่อยๆ ลดหลั่นราคาลงมา ตามระยะเวลา
การบินไทยเป็นแบบ ONE PRICE ใน 6 ระดับราคา โดยขึ้นกับแต่ละบริษัทเอเจนซี่ทัวร์ หากเป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่ซื้อที่นั่งเยอะๆ ราคาก็จะถูกลงมา บริษัทขนาดกลางก็อีกราคา แต่สำหรับบุคคลธรรมดาที่จองชั้นประหยัด(อีโคโนมี) จะค่อนข้างแพง ที่ผ่านมาการบินไทยจึงอยู่กับทัวร์ ไม่ได้อยู่กับการเดินทางระหว่างประเทศที่เป็นสากล
นอกจากนี้ การบินไทยยังเป็นสายการบินเดียวในโลกที่ขายตั๋วเครื่องบินผ่านอินเทอร์เน็ตในราคาที่แพงกว่าตั๋วของบริษัททัวร์
"กลยุทธ์เขาอาจถูกต้องในสมัยก่อน เพราะคนไทยตอนนั้นยังไม่มีอะไรทำ มีแต่นักท่องเที่ยว แต่ตอนนี้รูปแบบมันเปลี่ยนไปแล้ว คนไทยออกไปทำธุรกิจกับต่างประเทศมากขึ้น ขนาดเศรษฐกิจของเราใหญ่กว่าสิงคโปร์ แต่ระบบขายตั๋วยังเหมือนเดิม ผมเสียดายผมอยู่มา 4 ปี ถ้าไม่ถูกเรียกไปเป็นรัฐมนตรี ผมคงลุยด้านมาร์เก็ตติ้งต่อ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากสุด"
ซื้อแอร์บัสต้นตอขาดเรื้อรัง
ส่วน "ข้อครหา" เรื่อง การจัดซื้อเครื่องบิน "แอร์บัส เอ 340-500" จำนวน 4 ลำ มูลค่าเกือบแสนล้านบาท เพื่อบินตรงในเส้นทาง "กรุงเทพ-นิวยอร์ก" จนกลายมาเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทำให้ "การบินไทย" ขาดทุนเรื้อรังอย่างทุกวันนี้นั้น
ทนง ชี้แจงว่า มันเป็นเรื่อง "กลยุทธ์" ซึ่งเรื่องกลยุทธ์นั้น หากจะผิดพลาด หรือไม่ผิดพลาดมันไม่ทำให้การบินไทยขาดทุนหนักขนาดนั้น ความจริงแล้ว แอร์บัส เอ 340-500 ซื้อมาเพื่อที่จะแข่งกับ สิงคโปร์แอร์ไลน์ เพราะตอนนั้นสิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดเส้นทางใหม่บินตรงไปนิวยอร์ก และการบินไทยเองก็มองว่า กรุงเทพฯ ควรเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งเอเชีย เราจึงสั่งซื้อเครื่อง แอร์บัส เอ 340-500 บินตรงไปนิวยอร์กแข่งกับสิงคโปร์
ทนง ย้ำว่า เรื่องกลยุทธ์ในขณะนั้น ทุกคนเห็นด้วยว่า ควรผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางธุรกิจให้ได้ พอทำเสร็จเขาได้ให้นโยบายเรื่องการตลาดไว้ โดยบอกว่าการบินไทยจะใช้คำว่าเส้นทาง "กรุงเทพ-นิวยอร์ก" อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้คำว่า "อาเซียน-นิวยอร์ก" เพราะจะสามารถดันราคาตั๋วขึ้นได้ ขณะเดียวกันต้องมีตั๋วชั้นอีโคโนมีให้น้อยที่สุด โดยปรับเป็น ตั๋วชั้นธุรกิจ (บิสิเนสคลาส) หรือไม่ก็เป็น เดอะลุกซ์ อีโคโนมี่
"เชื่อมั๊ย เขาไปใช้ตั๋วกรุงเทพ-นิวยอร์ก และเขาก็พยายามขายตั๋วให้เต็ม ซึ่งก็เต็มทุกเที่ยว แต่ก็ขาดทุนทุกเที่ยว เพราะว่าขายตั๋วราคาถูกกว่าสิงคโปร์แอร์ไลน์ในเส้นทางเดียวกัน 30-50% ผมบอกได้เลยว่า ทำไมคนไม่คิดถึงเส้นทาง กรุงเทพ-แอลเอ ที่ใช้เครื่องบิน โบอิ้ง 747 บิน เพราะคนไทยใช้เยอะ ขาดทุนช่างมัน แต่พอคุณคิดจะแข่งกับโลก บอกว่าผมซื้อเครื่องผิด อย่างนี้แฟร์หรือไม่"
แนะยกระดับบิน"อาเซียน-นิวยอร์ก"
ส่วนเรื่องราคาตั๋ว ทนง มั่นใจว่า หากปรับเป็น "อาเซียน-นิวยอร์ก" จะสามารถขึ้นราคาได้ เพราะลูกค้าสามารถบินจากฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย แล้วมาต่อเครื่องที่เมืองไทยได้ แต่ขณะนี้การบินไทยยังอิงอยู่กับกลุ่ม 5 เสือ แล้วขายแต่ตั๋วชั้นอีโคโนมี่เป็นหลัก
ทนง บอกว่า การบินไทยแตกต่างจากสิงคโปร์แอร์ไลน์ตรงที่ สิงคโปร์เน้นขายตั๋วบิสิเนสคลาสก่อน เมื่อขายจนคุ้มทุนแล้ว ตั๋วที่เหลือจึงปรับมาขายอีโคโนมี่คลาส ในขณะที่การบินไทยเน้นขายอีโคโนมี่คลาสก่อนเพื่อให้คุ้มทุน ที่เหลือค่อยไปขาย บิสิเนสคลาส เมื่อสิงคโปร์ขายตั๋วบิสิเนสคลาสเต็มเมื่อไหร่ เขาก็สามารถลดราคาตั๋วอีโคโนมี่คลาสมาแข่งกับการบินไทยได้สบาย
"อธิบายง่ายๆ คือ เราต้องการให้การบินไทยเป็นโรงแรม 5 ดาว แต่คุณอยากลดตัวลงมาเป็นโรงแรม 2 ดาว ไปแข่งกับแอร์เอเชีย อย่างนี้คิดว่าถูกหรือไม่ สำหรับการบินไทย"
ทุกเที่ยวที่บินไม่จำเป็นต้องกำไร
เขาย้ำว่า ทุกเที่ยวที่การบินไทยบินไม่จำเป็นต้องมีกำไร อย่างสิงคโปร์แอร์ไลน์เอง ก็ไม่ได้กำไรในทุกเที่ยวบิน บางเที่ยวบินควรต้องมีไว้เพื่อสู้กับคนอื่น เพราะเราต้องการให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ดังนั้นบางเรื่องจำเป็นต้องยอม ซึ่งอันนี้คือนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น
"ผมต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ผมรักการบินไทย สมัยผมอยู่เราทำกำไรได้หมื่นกว่าล้านบาท พนักงานได้โบนัส ทุกคนแฮปปี้ พอผมออกมาก็ใส่ไฟผม หาว่าซื้อเครื่องบินผิด ไอ้คนที่ใส่ไฟผมก็รู้ว่าจริงๆ ที่ต้องซื้อเพื่อประโยชน์ทางการบินของไทย เพราะอยู่ดีๆ ประธานจะไปสั่งซื้อเครื่องบินคนเดียวมันไม่ได้ ผมเพียงแต่บอกว่านโยบายควรเป็นอย่างนี้"
ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์ของบอร์ดการบินไทย ทนง ยืนยันว่า "ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่ทำให้การบินไทยขาดทุน เพราะสิทธิประโยชน์ที่ได้ น้อยกว่า ปตท. หรือ ธนาคารกรุงไทย ด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่ให้บินฟรีนั้น ขอถามกลับว่าแต่ละปี กรรมการ จะได้บินปีละกี่วัน ซึ่งต้องบอกว่าน้อยมาก"
ธุรกิจ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 13:31 'ทนง'ชำแหละบินไทยขาดทุน
วันที่ 30 มิถุนายน 2557 13:31
ธุรกิจ
วันที่ 30 มิถุนายน 2557 13:31
'ทนง'ชำแหละบินไทยขาดทุน
"ทนง พิทยะ" ชำแหละบินไทยขาดทุน ชี้บริหารการเงิน-ซื้อเครื่องบิน-แผนตลาด ผิดพลาด
สายการบินชั้นนำของเมืองไทยอย่าง บริษัท การบินไทย จำกัด (มาชน) ในอดีตเคยวาดลวดลายโชว์ผลประกอบการกวาด "กำไรสุทธิ" หลัก "หมื่นล้านบาท"...แต่มาวันนี้ฐานะการเงิน "ย่ำแย่" ถึงขีดสุดมีผลดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง
ล่าสุดไตรมาสแรกปี 2557 ขาดทุนสุทธิอีกกว่า 2.6 พันล้านบาท ถึงขนาดที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ต้องจัดชั้นให้ "การบินไทย" อยู่ในขั้น "วิกฤติ" พร้อมเสนอให้เร่งควบคุมค่าใช้จ่าย บริหารต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ "การบินไทย" จึงตกเป็น 1 ในรัฐวิสาหกิจ "เป้าหมาย" ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อย (คสช.) ที่จะปรับโครงสร้างองค์กร ตามแผนปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ..คำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับองค์กรขนาดใหญ่อย่าง "การบินไทย" ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายการบิน "เบอร์1" ของเมืองไทย
เรื่องนี้ "ทนง พิทยะ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยนั่งเป็น "ประธานบอร์ด" การบินไทย เมื่อปี 2546 มองว่า สาเหตุการขาดทุนของการบินไทยเป็นเพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดใน 3 ด้าน คือ การบริหารต้นทุนการเงินที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ การจัดซื้อเครื่องบินที่ไม่เหมาะสม และการทำการตลาดที่ยังไม่โดนกลุ่มเป้าหมาย
เรื่องการบริหารต้นทุนการเงิน "ทนง" ย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก หากจะทำให้การบินไทยกลับมามีกำไร ต้องลดต้นทุนการเงินลงให้ได้ อย่างสมัยที่เขานั่งเป็นประธานบอร์ดอยู่ เขาสั่งให้เลิกระบบเช่าซื้อเครื่องบิน(ลิสซิ่ง) ทั้งหมด เพราะมองว่ามันเป็นบ่อเกิดแห่งการคอร์รัปชัน เนื่องจากมีการตั้งบริษัทตัวแทน (นอมินี) ขึ้นมาคิดค่าที่ปรึกษาต่างๆ นานา มีการบิดเบือนบัญชีให้เสมือนกับว่าทรัพย์สินเหล่านี้ไม่ใช่ของการบินไทย
"มันเหมือนกับเป็นการไปซื้อเครื่องบินแล้วไปผ่อนให้คนอื่น คนอื่นเป็นผู้ซื้อแต่เราผ่อนให้ ตลกมั๊ย ผมจึงเปลี่ยนมาให้เป็นเครื่องของการบินไทยทั้งหมด ยกเลิกลิสซิ่ง ซึ่งการบินไทยเครดิตดีมาก กู้เงินได้ราคาถูก อัตราดอกเบี้ยก็ได้ ไลบอร์ บวกแค่ 0.1% คิดเป็นเงินเยนติดลบด้วย เท่ากับดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ในบางช่วง เลยทำให้ต้นทุนการเงินลดลง"
ทนง ยังบอกด้วยว่า สมัยที่เขานั่งเป็นประธานบอร์ด การบินไทย สามารถลดต้นทุนการเงินลงได้ประมาณ 5% จากยอดขายที่ราวๆ 1.7 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นต้นทุนที่ลดลงประมาณ 8 พันล้านบาท
ส่วนเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินที่เหมาะสมนั้น เขายกตัวอย่าง เช่น สายการบินไทยสมายล์ ที่เปิดเส้นทางบินตรง "กรุงเทพ-มาเก๊า" แต่กลับไปซื้อเครื่องบินลำเล็ก ไม่เหมาะกับเส้นทางและปริมาณคน
การตลาดเน้นระบบตั๋วราคาเดียว
สำหรับการทำการตลาดนั้น ทนง บอกว่า ปัจจุบันการบินไทยยังใช้ระบบราคาเดียว (ONE PRICE) แตกต่างจากสายการบินอื่นอีกหลายๆ แห่งที่ใช้วิธีขายตั๋วในราคาถูกก่อน โดยเฉพาะตั๋วที่จองล่วงหน้าหลายๆ เดือน แล้วค่อยๆ ลดหลั่นราคาลงมา ตามระยะเวลา
การบินไทยเป็นแบบ ONE PRICE ใน 6 ระดับราคา โดยขึ้นกับแต่ละบริษัทเอเจนซี่ทัวร์ หากเป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่ซื้อที่นั่งเยอะๆ ราคาก็จะถูกลงมา บริษัทขนาดกลางก็อีกราคา แต่สำหรับบุคคลธรรมดาที่จองชั้นประหยัด(อีโคโนมี) จะค่อนข้างแพง ที่ผ่านมาการบินไทยจึงอยู่กับทัวร์ ไม่ได้อยู่กับการเดินทางระหว่างประเทศที่เป็นสากล
นอกจากนี้ การบินไทยยังเป็นสายการบินเดียวในโลกที่ขายตั๋วเครื่องบินผ่านอินเทอร์เน็ตในราคาที่แพงกว่าตั๋วของบริษัททัวร์
"กลยุทธ์เขาอาจถูกต้องในสมัยก่อน เพราะคนไทยตอนนั้นยังไม่มีอะไรทำ มีแต่นักท่องเที่ยว แต่ตอนนี้รูปแบบมันเปลี่ยนไปแล้ว คนไทยออกไปทำธุรกิจกับต่างประเทศมากขึ้น ขนาดเศรษฐกิจของเราใหญ่กว่าสิงคโปร์ แต่ระบบขายตั๋วยังเหมือนเดิม ผมเสียดายผมอยู่มา 4 ปี ถ้าไม่ถูกเรียกไปเป็นรัฐมนตรี ผมคงลุยด้านมาร์เก็ตติ้งต่อ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากสุด"
ซื้อแอร์บัสต้นตอขาดเรื้อรัง
ส่วน "ข้อครหา" เรื่อง การจัดซื้อเครื่องบิน "แอร์บัส เอ 340-500" จำนวน 4 ลำ มูลค่าเกือบแสนล้านบาท เพื่อบินตรงในเส้นทาง "กรุงเทพ-นิวยอร์ก" จนกลายมาเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทำให้ "การบินไทย" ขาดทุนเรื้อรังอย่างทุกวันนี้นั้น
ทนง ชี้แจงว่า มันเป็นเรื่อง "กลยุทธ์" ซึ่งเรื่องกลยุทธ์นั้น หากจะผิดพลาด หรือไม่ผิดพลาดมันไม่ทำให้การบินไทยขาดทุนหนักขนาดนั้น ความจริงแล้ว แอร์บัส เอ 340-500 ซื้อมาเพื่อที่จะแข่งกับ สิงคโปร์แอร์ไลน์ เพราะตอนนั้นสิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดเส้นทางใหม่บินตรงไปนิวยอร์ก และการบินไทยเองก็มองว่า กรุงเทพฯ ควรเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งเอเชีย เราจึงสั่งซื้อเครื่อง แอร์บัส เอ 340-500 บินตรงไปนิวยอร์กแข่งกับสิงคโปร์
ทนง ย้ำว่า เรื่องกลยุทธ์ในขณะนั้น ทุกคนเห็นด้วยว่า ควรผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางธุรกิจให้ได้ พอทำเสร็จเขาได้ให้นโยบายเรื่องการตลาดไว้ โดยบอกว่าการบินไทยจะใช้คำว่าเส้นทาง "กรุงเทพ-นิวยอร์ก" อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้คำว่า "อาเซียน-นิวยอร์ก" เพราะจะสามารถดันราคาตั๋วขึ้นได้ ขณะเดียวกันต้องมีตั๋วชั้นอีโคโนมีให้น้อยที่สุด โดยปรับเป็น ตั๋วชั้นธุรกิจ (บิสิเนสคลาส) หรือไม่ก็เป็น เดอะลุกซ์ อีโคโนมี่
"เชื่อมั๊ย เขาไปใช้ตั๋วกรุงเทพ-นิวยอร์ก และเขาก็พยายามขายตั๋วให้เต็ม ซึ่งก็เต็มทุกเที่ยว แต่ก็ขาดทุนทุกเที่ยว เพราะว่าขายตั๋วราคาถูกกว่าสิงคโปร์แอร์ไลน์ในเส้นทางเดียวกัน 30-50% ผมบอกได้เลยว่า ทำไมคนไม่คิดถึงเส้นทาง กรุงเทพ-แอลเอ ที่ใช้เครื่องบิน โบอิ้ง 747 บิน เพราะคนไทยใช้เยอะ ขาดทุนช่างมัน แต่พอคุณคิดจะแข่งกับโลก บอกว่าผมซื้อเครื่องผิด อย่างนี้แฟร์หรือไม่"
แนะยกระดับบิน"อาเซียน-นิวยอร์ก"
ส่วนเรื่องราคาตั๋ว ทนง มั่นใจว่า หากปรับเป็น "อาเซียน-นิวยอร์ก" จะสามารถขึ้นราคาได้ เพราะลูกค้าสามารถบินจากฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย แล้วมาต่อเครื่องที่เมืองไทยได้ แต่ขณะนี้การบินไทยยังอิงอยู่กับกลุ่ม 5 เสือ แล้วขายแต่ตั๋วชั้นอีโคโนมี่เป็นหลัก
ทนง บอกว่า การบินไทยแตกต่างจากสิงคโปร์แอร์ไลน์ตรงที่ สิงคโปร์เน้นขายตั๋วบิสิเนสคลาสก่อน เมื่อขายจนคุ้มทุนแล้ว ตั๋วที่เหลือจึงปรับมาขายอีโคโนมี่คลาส ในขณะที่การบินไทยเน้นขายอีโคโนมี่คลาสก่อนเพื่อให้คุ้มทุน ที่เหลือค่อยไปขาย บิสิเนสคลาส เมื่อสิงคโปร์ขายตั๋วบิสิเนสคลาสเต็มเมื่อไหร่ เขาก็สามารถลดราคาตั๋วอีโคโนมี่คลาสมาแข่งกับการบินไทยได้สบาย
"อธิบายง่ายๆ คือ เราต้องการให้การบินไทยเป็นโรงแรม 5 ดาว แต่คุณอยากลดตัวลงมาเป็นโรงแรม 2 ดาว ไปแข่งกับแอร์เอเชีย อย่างนี้คิดว่าถูกหรือไม่ สำหรับการบินไทย"
ทุกเที่ยวที่บินไม่จำเป็นต้องกำไร
เขาย้ำว่า ทุกเที่ยวที่การบินไทยบินไม่จำเป็นต้องมีกำไร อย่างสิงคโปร์แอร์ไลน์เอง ก็ไม่ได้กำไรในทุกเที่ยวบิน บางเที่ยวบินควรต้องมีไว้เพื่อสู้กับคนอื่น เพราะเราต้องการให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ดังนั้นบางเรื่องจำเป็นต้องยอม ซึ่งอันนี้คือนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น
"ผมต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ผมรักการบินไทย สมัยผมอยู่เราทำกำไรได้หมื่นกว่าล้านบาท พนักงานได้โบนัส ทุกคนแฮปปี้ พอผมออกมาก็ใส่ไฟผม หาว่าซื้อเครื่องบินผิด ไอ้คนที่ใส่ไฟผมก็รู้ว่าจริงๆ ที่ต้องซื้อเพื่อประโยชน์ทางการบินของไทย เพราะอยู่ดีๆ ประธานจะไปสั่งซื้อเครื่องบินคนเดียวมันไม่ได้ ผมเพียงแต่บอกว่านโยบายควรเป็นอย่างนี้"
ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์ของบอร์ดการบินไทย ทนง ยืนยันว่า "ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่ทำให้การบินไทยขาดทุน เพราะสิทธิประโยชน์ที่ได้ น้อยกว่า ปตท. หรือ ธนาคารกรุงไทย ด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่ให้บินฟรีนั้น ขอถามกลับว่าแต่ละปี กรรมการ จะได้บินปีละกี่วัน ซึ่งต้องบอกว่าน้อยมาก"