จะอธิบายความในพระโอวาทปาติโมกข์สืบต่อไป
พระพุทธวาทะข้อที่ ๓
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต
แปลว่า
บรรพชิตคือนักบวช ผู้ยังทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
อีกอย่างหนึ่งแปลปฏิเสธทั้งสอง คือแปลว่า
บุคคลผู้ทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
ของพม่าเขาใส่ น ปฏิเสธ ในบาทที่ ๒ ด้วยเลยว่า น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต
แต่ในฉบับของไทยเรา น ปฏิเสธที่บาท หลังนี้ไม่มี โดยความก็เท่ากัน
ผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่นทำร้ายผู้อื่นด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ หรือด้วยอำนาจของตัณหา
ไม่ควรจะเรียกว่าเป็น
บรรพชิต ที่แปลตามศัพท์ว่า ผู้ออก ซึ่งเป็นผู้งดเว้นจากบาปต่างๆ
ไม่ควรจะเรียกชื่อว่า
สมณะ ที่แปลว่า ผู้สงบ
บุคคลที่ควรจะชื่อว่าเป็นบรรพชิต ควรจะเป็นผู้ออกจากกิเลส ออกจากบาปด้วยตนเอง หรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อออกจากกิเลส
ออกจากบาปด้วยตนเอง บุคคลที่ชื่อว่าสมณะก็ เช่นเดียวกัน ควรจะเป็นผู้สงบกิเลสบาปด้วยตนเอง
หรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสงบดั่งกล่าว
ถ้ากิเลสยังไม่สงบก็จะต้องมีการทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ถ้ากิเลสนั้นรุนแรง
บุคคลลุอำนาจของกิเลส ก็จะต้องทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกายด้วย วาจา
ถ้ากิเลสนั้นไม่รุนแรงถึงอย่างนั้น มีอยู่เพียงในจิตใจ ก็จะทำร้ายผู้อื่นเบียดเบียนผู้อื่นด้วยใจ ก็ยังชื่อว่าเบียดเบียนอยู่นั่นเอง
ฉะนั้นจะเป็นบรรพชิตได้เต็มที่ จึงจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติให้มีขันติดั่ง กล่าวในพระพุทธวาทะข้อที่ ๑
และได้มี นิพพานดั่งกล่าวในพระพุทธวาทะข้อที่ ๒
ฉะนั้นเมื่อกล่าวสรุปประมวลเข้ามาแล้ว พระพุทธวาทะข้อที่ ๑ และ ๒ แสดงธรรมพระพุทธวาทะข้อที่ ๓ นี้แสดงบุคคลที่มีธรรมนั้น
แต่แสดงในรูปปฏิเสธว่าถ้าบุคคล ปราศจากธรรมดั่งกล่าวนั้น ก็ยังจะต้อง ทำร้ายผู้อื่น ยังจะต้องเบียดเบียนผู้อื่นแม้ด้วยใจ
ถ้าเป็นดั่งนั้นก็ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ หรือจะพูดอย่างธรรมดาว่า
นักบวชที่ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ยังไม่ชื่อว่าเป็นสมณะคือผู้สงบ
ในทางพระพุทธศาสนาได้แสดง สมณะ ไว้ ๔ ชั้น มุ่งถึงการบรรลุธรรมเป็นเกณฑ์
ไม่มุ่งถึงเพศว่าจะเป็นชายเป็นหญิงเป็นบรรพชิตหรือเป็นคฤหัสถ์
สมณะที่ ๑ ได้แก่ พระโสดาบัน
สมณะที่ ๒ ได้แก่ พระสกทาคามี
สมณะที่ ๓ ได้แก่ พระอนาคามี
สมณะที่ ๔ ได้แก่ พระอรหันต์
สมณะทั้ง ๔ ชั้นนี้ที่เรียกว่าสังโฆ คือพระสงฆ์ ซึ่งเป็นรัตนะที่ ๓ และเป็นสรณะที่ ๓
-------------------------------
จากหนังสือ ธรรมาภิธาน (คำค้น " โอวาทปาติโมกข์ ")
พจนานุกรมคำสอนพระพุทธศาสนา
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
http://www.sangharaja.org/dic/index.php
บุคคลผู้ทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
พระพุทธวาทะข้อที่ ๓ น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต
แปลว่า บรรพชิตคือนักบวช ผู้ยังทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
อีกอย่างหนึ่งแปลปฏิเสธทั้งสอง คือแปลว่า บุคคลผู้ทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
ของพม่าเขาใส่ น ปฏิเสธ ในบาทที่ ๒ ด้วยเลยว่า น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต
แต่ในฉบับของไทยเรา น ปฏิเสธที่บาท หลังนี้ไม่มี โดยความก็เท่ากัน
ผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่นทำร้ายผู้อื่นด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ หรือด้วยอำนาจของตัณหา
ไม่ควรจะเรียกว่าเป็น บรรพชิต ที่แปลตามศัพท์ว่า ผู้ออก ซึ่งเป็นผู้งดเว้นจากบาปต่างๆ
ไม่ควรจะเรียกชื่อว่า สมณะ ที่แปลว่า ผู้สงบ
บุคคลที่ควรจะชื่อว่าเป็นบรรพชิต ควรจะเป็นผู้ออกจากกิเลส ออกจากบาปด้วยตนเอง หรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อออกจากกิเลส
ออกจากบาปด้วยตนเอง บุคคลที่ชื่อว่าสมณะก็ เช่นเดียวกัน ควรจะเป็นผู้สงบกิเลสบาปด้วยตนเอง
หรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสงบดั่งกล่าว
ถ้ากิเลสยังไม่สงบก็จะต้องมีการทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ถ้ากิเลสนั้นรุนแรง
บุคคลลุอำนาจของกิเลส ก็จะต้องทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกายด้วย วาจา
ถ้ากิเลสนั้นไม่รุนแรงถึงอย่างนั้น มีอยู่เพียงในจิตใจ ก็จะทำร้ายผู้อื่นเบียดเบียนผู้อื่นด้วยใจ ก็ยังชื่อว่าเบียดเบียนอยู่นั่นเอง
ฉะนั้นจะเป็นบรรพชิตได้เต็มที่ จึงจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติให้มีขันติดั่ง กล่าวในพระพุทธวาทะข้อที่ ๑
และได้มี นิพพานดั่งกล่าวในพระพุทธวาทะข้อที่ ๒
ฉะนั้นเมื่อกล่าวสรุปประมวลเข้ามาแล้ว พระพุทธวาทะข้อที่ ๑ และ ๒ แสดงธรรมพระพุทธวาทะข้อที่ ๓ นี้แสดงบุคคลที่มีธรรมนั้น
แต่แสดงในรูปปฏิเสธว่าถ้าบุคคล ปราศจากธรรมดั่งกล่าวนั้น ก็ยังจะต้อง ทำร้ายผู้อื่น ยังจะต้องเบียดเบียนผู้อื่นแม้ด้วยใจ
ถ้าเป็นดั่งนั้นก็ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ หรือจะพูดอย่างธรรมดาว่า
นักบวชที่ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ยังไม่ชื่อว่าเป็นสมณะคือผู้สงบ
ในทางพระพุทธศาสนาได้แสดง สมณะ ไว้ ๔ ชั้น มุ่งถึงการบรรลุธรรมเป็นเกณฑ์
ไม่มุ่งถึงเพศว่าจะเป็นชายเป็นหญิงเป็นบรรพชิตหรือเป็นคฤหัสถ์
สมณะที่ ๑ ได้แก่ พระโสดาบัน
สมณะที่ ๒ ได้แก่ พระสกทาคามี
สมณะที่ ๓ ได้แก่ พระอนาคามี
สมณะที่ ๔ ได้แก่ พระอรหันต์
สมณะทั้ง ๔ ชั้นนี้ที่เรียกว่าสังโฆ คือพระสงฆ์ ซึ่งเป็นรัตนะที่ ๓ และเป็นสรณะที่ ๓
-------------------------------
จากหนังสือ ธรรมาภิธาน (คำค้น " โอวาทปาติโมกข์ ")
พจนานุกรมคำสอนพระพุทธศาสนา
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
http://www.sangharaja.org/dic/index.php