โลกตะวันออกใกล้โบราณ:โลกที่เต็มไปด้วยเทพบุรุษ(gods)และเทพสตรี(goddesses)ศาสนาในเมโสโปเตเมีย(5)

ลูกกลม สว่างจ้า  ส่องสว่างในตอนเช้าทางทิศตะวันออก, จากนั้นไต่ขึ้นไปบนฟากฟ้า ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่โลก  สร้างความเกรงขามให้แก่           ชาวเมโสโปเตเมียยิ่งนัก.เขาแปลกใจว่า  ที่ดวงอาทิตย์หายไปทางทิศตะวันตกในตอนกลางคืน,  มาปรากฏตัวอีกครั้งในเช้าวันถัดมา.  ดวงอาทิตย์เดินทางไปใต้ดินตลอดคืนหรือ?  พวกเขาเรียกพลังที่มีพลังอำนาจเต็มเปี่ยมนี้ว่า “Utu”  ในภาษาเมโสโปเตเมียภาคใต้ และShamash   ในภาษาแอคคาเดียน (Akkadian) ซึ่งเป็นภาษาที่พูดกันในเมโสโปเตเมียตอนกลาง.  เราแปลความหมายนี้ว่า “ดวงอาทิตย์”
    
ชาวเมโสโปเตเมียพบความลึกลับของดวงอาทิตย์.  ดวงอาทิตย์เดินทางไปไหนบ้าง,พลังของมันมาจากไหน.  ดูเหมือนมันเคลื่อนที่ไปได้ด้วยตนเอง เหมือนที่คนเคลื่อนที่?.  ดังนั้นคนเมโสโปเตเมียให้เหตุผล ว่าดวงอาทิตย์ต้องเหมือนคนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง.   ภาพของชาว
เมโสโปเตเมียที่พวกเขาให้กับ Shamash ที่ยิ่งใหญ่    แสดงออกมาเป็นภาพ ของชายมีผมเป็นลอนและมีเครา,มีลำแสงของดวงอาทิตย์ส่อง
เป็นลำมาจากบ่าของเขา. พวกเขาสรรเสริญและร้องเพลงสรรเสริญ ว่า :
    “ทุกแผ่นดิน ที่ภาษาแตกต่างกัน,ท่านรู้ความตั้งใจของพวกเขา ท่านเห็นรอยเท้าของพวกเขา
     มนุษย์ทุกชาติ คุกเข่าหน้าท่าน
     โอ Shamash ที่คนอยากได้แสงสว่างจากท่าน.
     (“เพลงสรรเสริญ Shamash"  ประเทศอิรัก ประมาณปี  ๑๕๐๐ ถึง ๑๐๐๐ กคศ.)

เหมือนgodของชาวเมโสโปเตเมียทั้งมวล Shamash  สวมหมวกปลายแหลม.แสงของดวงอาทิตย์ ไหลมาจากไหล่ของเขา  บอกให้ใครๆรู้ว่าเขาเป็นgodแห่งดวงอาทิตย์.   ตราประทับขวามือ กลิ้งลงบนแผ่นดินเหนียวซ้ายมือ.
.............................................................................................

น้ำท่วมใหญ่
น้ำจำนวนมากที่ออกมา
พลังทำลายของมัน  มายังผู้คนเหมือนทำสงคราม.
คนหนึ่งมองไม่เห็นอีกคนหนึ่ง,
ในความหายนะ.พวกเขาจำอีกคนหนึ่งไม่ได้
ท่วมท้น ดังคำราม เหมือนวัวตัวผู้,
เสียงลมฟังเหมือนเหยี่ยวที่แผดเสียง.
“ตำนานแห่ง Atrahasis “ ศต. ที่17กคศ.
...............................................................................

ชาวเมโสโปเตเมีย รู้สึกว่า Shamash เป็นยิ่งกว่ามนุษย์รูปร่างใหญ่โต.  แต่กระนั้น สิ่งหนึ่ง ก็คือ ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตาย- คนมองเห็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ขึ้นและดำรงอยู่  เพื่อคนทุกยุคทุกสมัย.   นอกจากนี้ ดวงอาทิตย์ ยังมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง.  แสงของมันยังสัมผัสทุกส่วนของโลกและส่องสว่างให้แก่ทุกคน ไม่ว่าดีหรือเลว.  ชาวเมโสโปเตเมีย   คิดถึง Shamash ในฐานะผู้ทรงปัญญาและผู้พิพากษายิ่งใหญ่ คนลงโทษคนชั่วและให้รางวัลแก่คนที่ดำเนินชีวิตดี.
    
ชาวเมโสโปเตเมียนับถือgods  หลายองค์, ซึ่งหมายความว่า เขาเชื่อในgods/เทพเจ้าหลายองค์, ไม่เฉพาะ Shamash.พวกเขาให้เหตุผลว่า god
ต้องมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน, เช่นเดียวกับที่คนมีหลายบุคลิก.

พวกเขาเชื่อว่า godsแต่ละองค์ควบคุมบางส่วนของจักรวาล. แม้แต่การกำเนิดโลก  ก็เกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของgodsหลายองค์นั้น . ความเชื่อเหล่านี้         ช่วยชาวเมโสโปเตเมียให้เข้าใจทั้งสิ่งดีและสิ่งเลวที่เกิดขึ้นกับพวกเขา.  ถ้าเกิดสิ่งดีพวกเขาคิดว่าgodsเหล่านั้นมีความสุข,แต่เมื่อมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น
หมายความว่ามีgodองค์หนึ่งโศกเศร้า.

ในเมโสโปเตเมีย สมัยก่อน(และปัจจุบัน)ไม่ค่อยมีพายุฝน ,  แต่เป็นเรื่องน่าทึ่ง.  พายุที่ก่อตัวสามารถมองเห็นในระยะไกล.  เมฆด้านล่างรวมตัวกันดูน่ากลัว, หมุนดูโกรธขึ้ง. ลมพัดแรงขึ้นและกวาดเมฆสีเขียวเทาข้ามท้องฟ้าไป . นานก่อนจะมีฟ้าลั่นครั่นครืน, แสงฟ้าแลบเหมือนธนูพุ่งลงพื้นดิน.จากนั้นเม็ดฝนลงมาเหมือนม่านหนาของน้ำทั่วแผ่นดิน.

ชาวเมโสโปเตเมียเชื่อว่า Adad ที่ดุร้ายสร้างพายุนี้. คุณสามารถมองเห็นเขาต่อสู้กับ Shamash,  ซึ่งเป็นgodแห่งดวงอาทิตย์ ตอนที่เมฆบังดวงอาทิตย์และ
มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น.
...............................................

แผ่นดินเหนียวแตกนี้ เขียนขึ้นในสุเมเรียน ประมาณปี ๑๗๔๐ กคศ. บรรยายลมที่รุนแรงและฝนตอนน้ำท่วมใหญ่ที่ชาวเมโสโปเตเมียเชื่อว่ากวาดโลกครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา.มีเพียงชายคนหนึ่งและครอบครัวของเขาเท่านั้นรอดชีวิต.
.........................................................

ภาพแกะสลัก ศต.ที่๑๙ ,ภาพพายุเฮอร์ริเคนบนแม่น้ำไทรกริช ทำลายเรือกลไฟ.นี่เป็นลมพายุชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมีย  เชื่อว่าเป็นพลังอำนาจของ Adad.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่