เห็นใครๆก็บอกว่าเมืองปรากสวย น่าไปเที่ยว ดังนั้น เมื่อสบโอกาสเหมาะ ก็เลยขอไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองซักหน่อย แม้จะต้องนั่งรถไฟจากกราซไปนานถึง 8 ชั่วโมงก็ยอม แต่ฟ้าฝนดูจะไม่เป็นใจ เมฆสีเทาเข้มแผ่ปกคลุมท้องฟ้าสีหม่น ราวกับจะกระซิบว่า “นอนอยู่บ้านซะเถอะเอ็ง” ฉันนัดพบกับเพื่อนร่วมทริปอีกสองคนที่สถานีรถไฟ แล้วจึงเดินทางเข้าที่พัก โดยขึ้นรถไฟใต้ดิน เพื่อไปยัง Hotel GEO ที่พักราคากลางๆ อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินเท่าไหร่ สภาพห้องนั้น แม้ไม่หรู แต่ก็ดูดีทีเดียว พอถึง รุ่งเช้า ภารกิจแรกของเราคือการแลกเงินยูโรให้เป็น “โครูนาเช็ก” หรือ CZK ณ ร้านแลกเงินในเขต old town ซึ่งให้อัตราดีที่สุด ที่ 1 EUR ต่อ 27 CZK จากนั้น ช่วงเวลาที่รอคอยจึงค่อยเริ่มต้นขึ้น
ณ จตุรัสย่านเมืองเก่า แลเห็นหอคอยสูงแบบโกธิค นั่นคือหอนาฬิกาดาราศาสตร์ที่มี Astronomical Clock นาฬิกามหัศจรรย์ ที่บ่งบอกวิถีการโคจรของดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ได้ และยังมีปฏิทินซึ่งคอยบอกวันที่ตลอดทั้งปี และเมื่อครบชั่วโมง ประตูสองบานด้านบนนั้นก็จะเปิดให้หุ่นตัวเล็กๆ ออกมาอวดโฉมแก่สายตานักท่องเที่ยว
อากาศอึมครึมเมื่อเราทั้งสามเดินมาถึงสะพานชาร์ล ขอเล่าประวัติซักนิด สะพานชาร์ลนั้น ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1357 ในสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่ 4 ด้วยศิลปะแบบโกธิค เหตุที่ทำให้สะพานแข็งแรง และยังคงอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงปัจจุบันนี้ น้ำท่วมกี่ทีก็ไม่พัง ก็เพราะมีการผสมไข่ขาวดิบลงไปกับปูนที่ใช้ก่อสร้างสะพานด้วย ทำให้ก้อนอิฐยึดเกาะกันแบบเหนียวแน่นหนึบยิ่งขึ้น บนตัวสะพานนั้น เต็มไปด้วยรูปปั้นของนักบุญ แต่ที่เก่าแก่ที่สุดเห็นจะเป็นรูปปั้นของพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน และมีภาษาฮีบรูแลดูขลัง ซึ่งแปลความได้ว่า “แด่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์” นอกจากนี้ ยังมีรูปปั้นของนักบุญ John of Nepomuk ผู้ถูกนำไปถ่วงน้ำ เนื่องจากไม่ยอมเปิดเผยความลับของราชินีแห่งโบฮีเมีย (ความลับอันใดน้อ ที่ทำให้นักบุญผู้นี้ต้องสังเวยชีวิต)


สะพานชาร์ลทอดตัวข้ามแม่น้ำ Vltava นำพาเราไปสู่ปราสาทปราก ณ ที่นั่น เราตกลงกันว่าจะซื้อตั๋วสำหรับการเข้าชมสถานที่ 4 แห่งในบริเวณปราสาท มหาวิหารเซนต์วิตัส หรือ St.Vitus cathedral คือที่แรกที่เราไปเยือน ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค รวมถึงซุ้มประตูใหญ่ยักษ์แบบ Romanesque มหาวิหารแห่งนี้ จึงมีความคล้ายคลึงกับมหาวิหารสเตฟานที่เวียนนาอยู่บ้าง ส่วนภายในนั้นมีความเป็นโกธิคเต็มขั้น บานหน้าต่างประดับกระจกสีบานเขื่อง เสาใหญ่ยักษ์ เพดานสูงแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างหลังคาแบบโค้งแหลม รูปปั้นและแท่นบูชาต่างดูวิจิตรงดงามตระการตา จนฉันแทบจะลืมเวลาไปเลย และเมื่อออกมาจากวิหาร เมฆฝนก็เริ่มหลีกทางให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาทั่วบริเวณ ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้า พวกเราทั้งสามจึงฝ่าฝูงชนที่มายืนออกันอย่างแน่นขนัดหน้าบริเวณปราสาท เพื่อรอชมการเดินขบวนของทหารยามผู้เฝ้าประตูปราสาทในเวลาเที่ยงตรง


มื้อแรกที่ปราก เราฝากท้องไว้ที่ Restaurace U Labuti ภัตราคารหน้าปราสาทปราก หลังจากชมการเดินขบวนเสร็จ คุณเพื่อนผู้สันทัดเรื่องของกินของฉันพาลูกทัวร์ผู้หิวโหยทั้งสองพุ่งตรงมายังร้านนี้ ซึ่งมีอาหารสไตล์โบฮีเมียนดั้งเดิมมากมายให้เราได้เลือกสรร ฉันสั่ง Roast Duck เพื่อนสั่ง Bohemian Plate น้องอีกคนสั่ง Goulash Soup ซึ่งเป็นเมนูคลาสสิกแบบโบฮีเมียนล้วนๆ
Roast Duck นั้นเนื้อนิ่มและล่อนมากกกก ในขณะที่หนังกรอบอร่อย เมื่อกินแกล้มกับกะหล่ำปลีอบนุ่มๆแล้วเข้ากันดี ส่วน Bohemian Plate นั้น ก็จะมีเนื้อสัตว์หลายๆอย่างรวมมาให้ในจานเดียวรวมทั้งเป็ดด้วย และ Goulash Soup ซึ่งเป็นซุปเนื้อวัวที่เคี่ยวจนเปื่อย เติมรสเผ็ดเล็กน้อยด้วยผงปาปริก้า ที่พิเศษคือทุกจานจะมี Bread Dumpling ก้อนใหญ่มาให้ ซึ่งทำให้อิ่มได้เลยทีเดียว มื้อนี้ เพื่อนฉันถือโอกาสลองเบียร์ยี่ห้อดังของที่นี่ นั่นคือ Pilsner Urquell เป็น pilsner beer ยี่ห้อแรกของโลกฉันแอบชิมแล้วก็พบว่ารสชาตินุ่มลิ้นใช้ได้

เมื่ออิ่มท้อง สถานที่ต่อไปคือ Old royal palace ซึ่งเป็นวังยุคกลางแห่งแรกที่ฉันได้เข้าชม แตกต่างอย่างชัดเจนจากวังอื่นๆที่เคยไปเยือน ฝาผนังเรียบๆไม่มีลวดลายอันใด จะมีก็แต่เพดานที่แสดงถึงโครงสร้างโค้งแหลมแบบโกธิค โต๊ะและเก้าอี้ไม้แบบเรียบง่าย ชวนให้นึกถึงภาพของอัศวินในยุคกลางนั่งประชุมกัน ส่วนสำคัญของพระราชวังแห่งนี้คือ The Diet ไม่เกี่ยวอะไรกับอาหารแต่อย่างใด แต่คือห้องประชุมสภา ซึ่งประกอบด้วยบัลลังก์ของกษัตริย์ และม้านั่งยาวสำหรับขุนนาง นอกจากนี้ ในห้องยังจัดแสดงแบบจำลองของมงกุฏแห่งกษัตริย์โบฮีเมีย หรือ Crown of Saint Wenceslas รวมถึงคฑา และลูกโลกประดับกางเขน เครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์ในยุโรป (เนื่องจากที่นี่ห้ามถ่ายรูป จึงไม่มีภาพมาให้ชมกันค่ะ)
ถัดไปไม่ไกลนัก จะพบกับ St. George’s Basilica โบสถ์สไตล์ Romanesque ที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณปราสาท ซึ่งรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่ค่อยคุ้นตา สร้างความประหลาดใจให้ฉันไม่น้อย แต่ส่วนที่น่ารักมีเสน่ห์ที่สุดในบริเวณปราสาทปราก ก็คงหนีไม่พ้น Golden Lane ถนนซึ่งทอดตัวไปตามแนวกำแพงปราสาท เคยเป็นที่พำนักของนักเล่นแร่แปรธาตุ ช่างฝีมือต่างๆ หมอยาสมุนไพร และบรรดาคณะผู้ติดตามของกษัตริย์ บ้านเล็กๆแต่ละหลังที่เรียงรายกันต่างถูกทาด้วยสีสันที่สวยงาม บนชั้นสอง ชุดเกราะมากมายหลากหลายรูปแบบถูกจัดวางเรียงรายไปตามทางเดินยาวนั้น แต่ถ้าหากมันขยับกันขึ้นมาล่ะก็ คงเผ่นกันป่าราบ!
NOTE: ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทปราก ดูได้ตามลิงค์นี้ค่ะ
http://www.hrad.cz/en/prague-castle/prague-castle-tourist-information/visit-of-prague-castle.shtml
[CR] Prague-2-day : ทริปเมาๆ ที่โบฮีเมีย [ไม่เหมาะสำหรับเด็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา และผู้รักสุขภาพ]
ณ จตุรัสย่านเมืองเก่า แลเห็นหอคอยสูงแบบโกธิค นั่นคือหอนาฬิกาดาราศาสตร์ที่มี Astronomical Clock นาฬิกามหัศจรรย์ ที่บ่งบอกวิถีการโคจรของดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ได้ และยังมีปฏิทินซึ่งคอยบอกวันที่ตลอดทั้งปี และเมื่อครบชั่วโมง ประตูสองบานด้านบนนั้นก็จะเปิดให้หุ่นตัวเล็กๆ ออกมาอวดโฉมแก่สายตานักท่องเที่ยว
อากาศอึมครึมเมื่อเราทั้งสามเดินมาถึงสะพานชาร์ล ขอเล่าประวัติซักนิด สะพานชาร์ลนั้น ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1357 ในสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่ 4 ด้วยศิลปะแบบโกธิค เหตุที่ทำให้สะพานแข็งแรง และยังคงอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงปัจจุบันนี้ น้ำท่วมกี่ทีก็ไม่พัง ก็เพราะมีการผสมไข่ขาวดิบลงไปกับปูนที่ใช้ก่อสร้างสะพานด้วย ทำให้ก้อนอิฐยึดเกาะกันแบบเหนียวแน่นหนึบยิ่งขึ้น บนตัวสะพานนั้น เต็มไปด้วยรูปปั้นของนักบุญ แต่ที่เก่าแก่ที่สุดเห็นจะเป็นรูปปั้นของพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน และมีภาษาฮีบรูแลดูขลัง ซึ่งแปลความได้ว่า “แด่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์” นอกจากนี้ ยังมีรูปปั้นของนักบุญ John of Nepomuk ผู้ถูกนำไปถ่วงน้ำ เนื่องจากไม่ยอมเปิดเผยความลับของราชินีแห่งโบฮีเมีย (ความลับอันใดน้อ ที่ทำให้นักบุญผู้นี้ต้องสังเวยชีวิต)
สะพานชาร์ลทอดตัวข้ามแม่น้ำ Vltava นำพาเราไปสู่ปราสาทปราก ณ ที่นั่น เราตกลงกันว่าจะซื้อตั๋วสำหรับการเข้าชมสถานที่ 4 แห่งในบริเวณปราสาท มหาวิหารเซนต์วิตัส หรือ St.Vitus cathedral คือที่แรกที่เราไปเยือน ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค รวมถึงซุ้มประตูใหญ่ยักษ์แบบ Romanesque มหาวิหารแห่งนี้ จึงมีความคล้ายคลึงกับมหาวิหารสเตฟานที่เวียนนาอยู่บ้าง ส่วนภายในนั้นมีความเป็นโกธิคเต็มขั้น บานหน้าต่างประดับกระจกสีบานเขื่อง เสาใหญ่ยักษ์ เพดานสูงแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างหลังคาแบบโค้งแหลม รูปปั้นและแท่นบูชาต่างดูวิจิตรงดงามตระการตา จนฉันแทบจะลืมเวลาไปเลย และเมื่อออกมาจากวิหาร เมฆฝนก็เริ่มหลีกทางให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาทั่วบริเวณ ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้า พวกเราทั้งสามจึงฝ่าฝูงชนที่มายืนออกันอย่างแน่นขนัดหน้าบริเวณปราสาท เพื่อรอชมการเดินขบวนของทหารยามผู้เฝ้าประตูปราสาทในเวลาเที่ยงตรง
มื้อแรกที่ปราก เราฝากท้องไว้ที่ Restaurace U Labuti ภัตราคารหน้าปราสาทปราก หลังจากชมการเดินขบวนเสร็จ คุณเพื่อนผู้สันทัดเรื่องของกินของฉันพาลูกทัวร์ผู้หิวโหยทั้งสองพุ่งตรงมายังร้านนี้ ซึ่งมีอาหารสไตล์โบฮีเมียนดั้งเดิมมากมายให้เราได้เลือกสรร ฉันสั่ง Roast Duck เพื่อนสั่ง Bohemian Plate น้องอีกคนสั่ง Goulash Soup ซึ่งเป็นเมนูคลาสสิกแบบโบฮีเมียนล้วนๆ
Roast Duck นั้นเนื้อนิ่มและล่อนมากกกก ในขณะที่หนังกรอบอร่อย เมื่อกินแกล้มกับกะหล่ำปลีอบนุ่มๆแล้วเข้ากันดี ส่วน Bohemian Plate นั้น ก็จะมีเนื้อสัตว์หลายๆอย่างรวมมาให้ในจานเดียวรวมทั้งเป็ดด้วย และ Goulash Soup ซึ่งเป็นซุปเนื้อวัวที่เคี่ยวจนเปื่อย เติมรสเผ็ดเล็กน้อยด้วยผงปาปริก้า ที่พิเศษคือทุกจานจะมี Bread Dumpling ก้อนใหญ่มาให้ ซึ่งทำให้อิ่มได้เลยทีเดียว มื้อนี้ เพื่อนฉันถือโอกาสลองเบียร์ยี่ห้อดังของที่นี่ นั่นคือ Pilsner Urquell เป็น pilsner beer ยี่ห้อแรกของโลกฉันแอบชิมแล้วก็พบว่ารสชาตินุ่มลิ้นใช้ได้
เมื่ออิ่มท้อง สถานที่ต่อไปคือ Old royal palace ซึ่งเป็นวังยุคกลางแห่งแรกที่ฉันได้เข้าชม แตกต่างอย่างชัดเจนจากวังอื่นๆที่เคยไปเยือน ฝาผนังเรียบๆไม่มีลวดลายอันใด จะมีก็แต่เพดานที่แสดงถึงโครงสร้างโค้งแหลมแบบโกธิค โต๊ะและเก้าอี้ไม้แบบเรียบง่าย ชวนให้นึกถึงภาพของอัศวินในยุคกลางนั่งประชุมกัน ส่วนสำคัญของพระราชวังแห่งนี้คือ The Diet ไม่เกี่ยวอะไรกับอาหารแต่อย่างใด แต่คือห้องประชุมสภา ซึ่งประกอบด้วยบัลลังก์ของกษัตริย์ และม้านั่งยาวสำหรับขุนนาง นอกจากนี้ ในห้องยังจัดแสดงแบบจำลองของมงกุฏแห่งกษัตริย์โบฮีเมีย หรือ Crown of Saint Wenceslas รวมถึงคฑา และลูกโลกประดับกางเขน เครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์ในยุโรป (เนื่องจากที่นี่ห้ามถ่ายรูป จึงไม่มีภาพมาให้ชมกันค่ะ)
ถัดไปไม่ไกลนัก จะพบกับ St. George’s Basilica โบสถ์สไตล์ Romanesque ที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณปราสาท ซึ่งรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่ค่อยคุ้นตา สร้างความประหลาดใจให้ฉันไม่น้อย แต่ส่วนที่น่ารักมีเสน่ห์ที่สุดในบริเวณปราสาทปราก ก็คงหนีไม่พ้น Golden Lane ถนนซึ่งทอดตัวไปตามแนวกำแพงปราสาท เคยเป็นที่พำนักของนักเล่นแร่แปรธาตุ ช่างฝีมือต่างๆ หมอยาสมุนไพร และบรรดาคณะผู้ติดตามของกษัตริย์ บ้านเล็กๆแต่ละหลังที่เรียงรายกันต่างถูกทาด้วยสีสันที่สวยงาม บนชั้นสอง ชุดเกราะมากมายหลากหลายรูปแบบถูกจัดวางเรียงรายไปตามทางเดินยาวนั้น แต่ถ้าหากมันขยับกันขึ้นมาล่ะก็ คงเผ่นกันป่าราบ!
NOTE: ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทปราก ดูได้ตามลิงค์นี้ค่ะ http://www.hrad.cz/en/prague-castle/prague-castle-tourist-information/visit-of-prague-castle.shtml