เทคนิคการทำหนังสไตล์ ‘สตีเว่น สปีลเบิร์ก’
ด้วยหนังฟอร์มยักษ์จำนวนหนึ่งส่งผลให้ ชื่อเสียงเรียงนามของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ถูกแช่ซ้องสรรเสริญมากมายว่าเป็นคนทำหนังที่ทำให้ความบันเทิงได้รับการแพร่หลายอย่างใหญ่โตมหาศาล และได้รับเสียงชื่นชมคงทนถาวรมานานนับทศวรรษ แม้ทั้งหมดเป็นเพียงมายาภาพแห่งหนังสามองก์เท่านั้น แต่อย่างไรตามเบื้องหลังความสำเร็จของเขาเป็นผลมาจากหลายสิ่งหลายอย่าง แต่จุดสำคัญท่ามกลางสิ่งเหล่านี้อยู่ที่ความรู้สึกตอนวัยเด็กที่ทั้งมหัศจรรย์และชวนพิศวง เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เขาไม่เคยทอดทิ้งมันไปแม้แต่วินาทีเดียว
วัยเด็กกับกล้องถ่ายภาพในมือ
จากหนังเรื่อง Jaws ไป Close Encounters of the Third Kind ไป Indiana Jones ไป The Color Purple และEmpire of the Sun และ Jurassic Park และ Amistad Schindler’s List และ Munich และ, และ, และ… เขาเคยมีผลงานมากมาย และการแสดงออกทางความสามารถในอาณาจักรของคนทำหนังยาวนานกว่า 5 ทศววรษ แล้ว ด้วยการทำหนังหลากหลายแนว หลากอารมณ์ และประเด็นเนื้อหาอีกมากมาย
และนี่คือบทเรียนการทำหนัง (สำหรับแฟนคลับและคนทำหนัง) จากเด็กน้อยคนหนึ่งที่นอนหลับใต้ผ้าห่มหลังดูการ์ตูนเรื่อง Bambi(1942) ยามค่ำคืน
การคาดเดาเกี่ยวกับหนังของคุณมักจะผิดพลาดเสมอ
บางทีคำแนะนำดีที่สุดในพื้นตรงนี้ที่ควรไตร่ตรอง คือเลิกเชื่อซะทีเถอะว่าความเห็นดาร์กๆจะเป็นตัวการทำลายหนังของคุณ
ทั้งนี้มันง่ายมากๆที่จะคาดเดาว่าผู้กำกับ(หรือโปรดิวเซอร์) ที่คุณได้รับอำนาจควบคุมแบบเบ็ดเสร็จนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณเกิดความล้มเหลว
“สิ่งหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ผมกำลังเผชิญ หลายครั้งที่ความเชื่อมั่นของผมในการทำหนังมักจะผิดพลาด ยกตัวอย่าง เช่น เรื่อง Schindler’s List ผมมั่นใจมากว่าอะไรก็ตามที่ผมกำลังทำในโปแลนด์ผมควรตั้งใจทำ และเพียงแค่ผมวางกล้องของผมระหว่างตัวผมและสิ่งที่ถ่าย และปกป้องตัวผมเองโดยการสร้างสรรค์ความงามในแบบของผม แต่ทันทีที่วันแรกของการถ่ายทำมาถึง ทุกอย่างกลับพังทลาย โดยที่ไม่ได้เตรียมใจกันไว้ก่อนล่วงหน้า ในเวลานั้นผมตระหนักได้ว่าเหตุการณ์นี้พร้อมจะกลายเป็นบทเรียนส่วนตัวมากที่สุดในชีวิตของผม มันเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่รุนแรงของผม และในบางครั้งผมก็ยังไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้"
ผมกลับไปคิดถึงตอนถ่ายทำ Schindler’s List ด้วยความทรงจำที่แสนเศร้า เป็นเพราะประเด็นสำคัญของเรื่อง ไม่ใช่เพราะประสบการณ์การทำงาน ประสบการณ์การทำงานเกือบจะสมบูรณ์อยู่แล้ว เพราะทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือในกองถ่าย ทำงานกันเป็นทีม มันเหมือนการบำบัด และสำหรับผู้คนมากมาย มันได้เปลี่ยนชีวิตพวกเขา นักแสดงมากมายและทีมงานมากมาย มันเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา แน่นอนมันเปลี่ยนชีวิตของผมด้วย จนต่อมาในกองถ่ายหนังเรื่องอื่นมันทำให้ผมทำงานด้วยจิตใจที่สนุกสนาน ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมพ่ายแพ้ มันทำให้ผมคิดแบบนั้น หนังจะเลี้ยวกลับหลังและชนผมล้มราวกับว่ามันเป็นรถถัง ดังนั้นผมจึงพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหยุดการคาดเดาสิ่งที่งานควรจะเป็น เพราะว่ามันมักจะผิดพลาดอยู่เสมอ
มันอาจเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ แต่สำหรับใครก็ตามผู้ที่เคยพยายามสร้างหนังสัตว์ประหลาดที่แสดงโดยปลาฉลาม เพื่อสร้างหนังเขย่าขวัญแบบฮิทช์ค็อกค์เกี่ยวกับปลาฉลามที่ทั้งเรื่องแทบไม่มีปลาฉลามอยู่เลย ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ากระบวนการทำหนังสามารถเปลี่ยนตัวคุณด้วยเหตุผลที่เหนือเกินคำบรรยายของคุณเอง คุณจะตอบสนองอย่างไรกับสิ่งที่กำหนดคุณและหนังของคุณ
การเลือกทีมงานที่ถูกต้องเป็นกุญแจไขความลับสู่ความสำเร็จ
“ขณะผมยังเด็ก ไม่มีทีมงานสักคน มีเพียงแค่ตัวคุณกับกล้องที่สั่งการรอบๆตัวเพื่อนของคุณ แต่เมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่ การทำหนังมันเกี่ยวกับการสรรเสริญคนมีความสามารถที่อยู่รายล้อมตัวคุณและการรู้ว่าคุณไม่สามารถทำหนังได้ด้วยตัวของคุณคนเดียว
‘ภาพยนตร์เป็นกีฬาที่เล่นกันเป็นทีม’
ใช้เล่ห์กลนิดหน่อยโดยไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
ตอนผมอายุ 15 16 ปี ผมเรียนอยู่ในโรงเรียน ผมใช้เวลาตอนปิดเทอมหมดไปกับการไปเที่ยวในแคลิฟอร์เนียกับลูกของลูกพี่ลูกน้อง และผมต้องการเป็นผู้กำกับ ผมทำหนังโดยใช้กล้อง 8 มม. ถ่าย ตั้งแต่อายุ 12 ปี ผมทำหนังตลกและดราม่านิดหน่อยกับเด็กๆข้างบ้าน
วันหนึ่งผมตัดสินใจเข้าไปที่ยูนิเวอร์แซล ผมแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมและผูกเนคไท ผมไปเที่ยวหนึ่งวันในยูนิเวอร์แซล และที่จริงกว่านั้นคือผมกระโดดลงจากรสบัสท่องเที่ยว ผมใช้เวลาตลอดวันอย่างมากมาย ผมพบผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ชัค ซิลเวอร์ ผมบอกเขาว่าผมเป็นนักทำหนังมาจาก อาริโซน่า
เขาพูดว่า “เด็กน้อย มาอีกครั้งพรุ่งนี้นะ ฉันจะเขียนบัตรผ่านให้และคุณโชว์หนังที่ถ่ายทำด้วยกล้อง 8 มม.ให้ฉันดูได้เลย”
ผมเลยได้จัดเทศกาลหนังเล็กๆสำหรับเขาคนเดียว
เขาพูดว่า “นายเก่งมาก ฉันหวังว่านายจะทำสำเร็จ แต่... เพราะว่าฉันเป็นเพียงแค่บรรณารักษ์ ฉันไม่สามารถเขียนลงนามในจดหมายเป็นบัตรผ่านให้ได้” (เขาหัวเราะ)
ดังนั้นวันต่อมา ผมเฝ้าสังเกตผู้คนว่าเขาแต่งตัวกันอย่างไรในแต่ละวัน ผมแต่งตามเขา สะพายกระเป๋าหิ้ว และเดินผ่านยามคนเดิมหน้าประตู ชื่อ สก๊อตตี้ ผู้ที่น่าจะทำงานมานานแล้ว เพราะเขาเป็นดูมีอายุมาก เขาโบกมือให้ผมเข้าไป
ตลอด 3 เดือน ซึ่งเป็นวันหยุดปิดเทอมภาคฤดูร้อนทั้งหมด ผมใช้เวลาทุกวัน ค้นหาสำนักงาน ไปที่ร้านค้าเพื่อจะขายกล้อง และซื้อตัวอักษรพลาสติก ค้นหาออฟฟิศร้างในยูนิเวอร์แซล และลักลอบจับจองเป็นของผม และติดชื่อและเบอร์โทรลงไปในอาคาร และนั่นเป็นพื้นฐานการทำธุรกิจในแบบของผม แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ผมเรียนรู้มากมายจากการตัดต่อและการอัดเสียงโดยการดูมืออาชีพเขาทำกัน แต่ผมไม่เคยได้งานที่ถูกหลอกลวงเลย
สปีลเบิร์ก พูดหลายครั้งเกี่ยวกับเล่ห์กลเพทุบายของสตูดิโอยูนิเวอร์แซลของเขาเองต่อคนหนุ่ม แต่มันก็มีเสน่ห์มากมายเมื่ออยู่ในหนังเรื่อง Catch Me If You Can
แน่นอนคุณอาจจะไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมดในการใช้เล่ห์อุบายแบบเดียวกันในวันนี้
มากกว่าก็ไม่จำเป็นต้องมากเสมอไป
“งบประมาณที่ล้นเอ่อคือซากปรักหักพังของฮอลลีวู้ด เงินกำลังมีอำนาจปกคลุมหนังไปทั่วทั้งโลก มันเป็นหายนะชัดๆ ขณะที่ผมทำ The Lost World ผมจำกัดจำนวนของช็อตเทคนิคพิเศษเพราะว่ามันแพงอย่างเหลือเชื่อ หากว่าไดโนเสาร์เดินเข้าไปในฉาก มันมีราคา 8 หมื่นดอลลาร์ สำหรับ 8 วินาที หากไดโนเสาร์ 4 ตัว อยู่ในพื้นหลังมันมีราคา 1 แสน 5 หมื่น ดอลลาร์"
มากกว่าก็ไม่ได้ทำให้ออกมาดีที่สุดเสมอไป
อาเมน
ความเครียดและความวิกลจริตอาจคุ้มค้าต่อตัวมันเองก็เป็นได้
“มันคุณค่าเพราะว่า ตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง Close Encounters ซึ่งเป็นหนังที่ผมเขียนและเป็นหนังที่ไม่มีใครต้องการสร้างมันเลย ทุกคนดูต้องการทำอะไรที่เหมาะสมหลังจาก Jaws ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกเลย Jaws ทำให้ทางสตูดิโอยอมรับผม ทาง โคลัมเบีย ไฟเขียวให้ผมทำ Close Encounters ต่อกันเป็นเรื่องที่ 2 ทำให้ผมต่อลมหายใจของผมในอาชีพออกไปได้ แต่สิ่งที่ผมเป็นหนี้ต่อ Jaws คือมันทำให้ผมเป็นคนที่นอบน้อมมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับการควบคุมการประนีประนอมภาพในจินตนาการของผมให้มันดูมันมีความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
ในการสัมภาษณ์ที่สปีลเบิร์กเคยทำได้ดีที่สุดครั้งหนึ่ง เกี่ยวการพูดคุยอย่างสบายๆในความลึกซึ้งเกี่ยวกับอาชีพของเขาและฉลามเลวทรามที่เปลี่ยนเขาไปตลอดกาล เขาพูดคุยเกี่ยวนิสัยส่วนตัว แรงขับเคลื่อนของเขา และประเด็นอีกมากมาย มันเป็นการพูดคุยที่เปิดเผย แต่สิ่งหนึ่งที่บอกถึงความชัดเจนของเขา คือ ในบางครั้งการผ่านขุมนรกไปให้ได้ย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมันคุ้มค่ากับรางวัลที่ได้รับจากมัน
อะไรคือสิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้
สปีลเบิร์ก เป็นนักทำหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในความสามารถของเขาที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างไม่ถากถาง ริชาร์ด เดรย์ฟัสส์ บอกว่า เขาเป็นคนมั่นใจในงานที่ล้อมรอบตัวเขา ความดีงามจะรวมน้ำเสียงและความมีสุนทรียศาสตร์เข้าไว้ทั้งหมดด้วยกัน นี้เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ของการผจญภัย และไม่มีภาพแทนแบบคงที่ในประเด็นบรรลุความสำเร็จของมนุษย์และ ความเป็นไปได้ของมนุษย์ในหนังของสปีลเบิร์ก
สิ่งที่หนังของเขาหลายเรื่องนำเสนอ(แม้กระทั่งหลักศีลธรรมหรือหลักปฎิบัติซึ่งความรุดหน้าถูกตั้งคำถาม) แต่ข้อความเรียบง่าย สปีลเบิร์ก ประสบความสำเร็จเพราะเขาสามารถทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง บางครั้งเป็นเพราะว่า ความเมตตาหรือการกระทำอันที่โหดร้ายของตัวมนุษย์เอง ฝันร้ายที่น่าหวาดกลัว หรือเป็นเพราะว่า หุบเขาใหญ่โตที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์
การอ้าปากค้าง เป็นหัวใจของการทำหนังของเขา และเป็นหัวใจที่เป็นอารมณ์กระตุ้นประกายไฟอันน่าพิศวง ในแบบฉบับของคนหนุ่มสาว ที่เข้าใจพวกเรามากกว่าสิ่งที่พวกเราเป็น สปีลเบิร์ก คอยยืนข้างและกุมมือด้วยตัวตนที่ยังเด็กของตัวเขา เพื่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์
แปลโดย A-Bellamy
ที่มา filmschoolrejects
ฝากติดตามกดไลค์ เพจ Surcine แฟนเพจภาพยนตร์ที่เน้นผู้กำกับภาพยนตร์ และภาพยนตร์คลาสสิก รวมทั้งยังมีเสื้อยืดสวยๆลายภาพยนตร์และผู้กำกับที่บ่งบอกรสยนิยมและสไตล์การเป็นคนคลั่งหนังในตัวคุณ
คลิ๊ก :
https://www.facebook.com/surcines
เทคนิคการทำหนังสไตล์ ‘สตีเว่น สปีลเบิร์ก’
ด้วยหนังฟอร์มยักษ์จำนวนหนึ่งส่งผลให้ ชื่อเสียงเรียงนามของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ถูกแช่ซ้องสรรเสริญมากมายว่าเป็นคนทำหนังที่ทำให้ความบันเทิงได้รับการแพร่หลายอย่างใหญ่โตมหาศาล และได้รับเสียงชื่นชมคงทนถาวรมานานนับทศวรรษ แม้ทั้งหมดเป็นเพียงมายาภาพแห่งหนังสามองก์เท่านั้น แต่อย่างไรตามเบื้องหลังความสำเร็จของเขาเป็นผลมาจากหลายสิ่งหลายอย่าง แต่จุดสำคัญท่ามกลางสิ่งเหล่านี้อยู่ที่ความรู้สึกตอนวัยเด็กที่ทั้งมหัศจรรย์และชวนพิศวง เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เขาไม่เคยทอดทิ้งมันไปแม้แต่วินาทีเดียว
จากหนังเรื่อง Jaws ไป Close Encounters of the Third Kind ไป Indiana Jones ไป The Color Purple และEmpire of the Sun และ Jurassic Park และ Amistad Schindler’s List และ Munich และ, และ, และ… เขาเคยมีผลงานมากมาย และการแสดงออกทางความสามารถในอาณาจักรของคนทำหนังยาวนานกว่า 5 ทศววรษ แล้ว ด้วยการทำหนังหลากหลายแนว หลากอารมณ์ และประเด็นเนื้อหาอีกมากมาย
และนี่คือบทเรียนการทำหนัง (สำหรับแฟนคลับและคนทำหนัง) จากเด็กน้อยคนหนึ่งที่นอนหลับใต้ผ้าห่มหลังดูการ์ตูนเรื่อง Bambi(1942) ยามค่ำคืน
บางทีคำแนะนำดีที่สุดในพื้นตรงนี้ที่ควรไตร่ตรอง คือเลิกเชื่อซะทีเถอะว่าความเห็นดาร์กๆจะเป็นตัวการทำลายหนังของคุณ
ทั้งนี้มันง่ายมากๆที่จะคาดเดาว่าผู้กำกับ(หรือโปรดิวเซอร์) ที่คุณได้รับอำนาจควบคุมแบบเบ็ดเสร็จนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณเกิดความล้มเหลว
“สิ่งหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ผมกำลังเผชิญ หลายครั้งที่ความเชื่อมั่นของผมในการทำหนังมักจะผิดพลาด ยกตัวอย่าง เช่น เรื่อง Schindler’s List ผมมั่นใจมากว่าอะไรก็ตามที่ผมกำลังทำในโปแลนด์ผมควรตั้งใจทำ และเพียงแค่ผมวางกล้องของผมระหว่างตัวผมและสิ่งที่ถ่าย และปกป้องตัวผมเองโดยการสร้างสรรค์ความงามในแบบของผม แต่ทันทีที่วันแรกของการถ่ายทำมาถึง ทุกอย่างกลับพังทลาย โดยที่ไม่ได้เตรียมใจกันไว้ก่อนล่วงหน้า ในเวลานั้นผมตระหนักได้ว่าเหตุการณ์นี้พร้อมจะกลายเป็นบทเรียนส่วนตัวมากที่สุดในชีวิตของผม มันเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่รุนแรงของผม และในบางครั้งผมก็ยังไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้"
ผมกลับไปคิดถึงตอนถ่ายทำ Schindler’s List ด้วยความทรงจำที่แสนเศร้า เป็นเพราะประเด็นสำคัญของเรื่อง ไม่ใช่เพราะประสบการณ์การทำงาน ประสบการณ์การทำงานเกือบจะสมบูรณ์อยู่แล้ว เพราะทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือในกองถ่าย ทำงานกันเป็นทีม มันเหมือนการบำบัด และสำหรับผู้คนมากมาย มันได้เปลี่ยนชีวิตพวกเขา นักแสดงมากมายและทีมงานมากมาย มันเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา แน่นอนมันเปลี่ยนชีวิตของผมด้วย จนต่อมาในกองถ่ายหนังเรื่องอื่นมันทำให้ผมทำงานด้วยจิตใจที่สนุกสนาน ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมพ่ายแพ้ มันทำให้ผมคิดแบบนั้น หนังจะเลี้ยวกลับหลังและชนผมล้มราวกับว่ามันเป็นรถถัง ดังนั้นผมจึงพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหยุดการคาดเดาสิ่งที่งานควรจะเป็น เพราะว่ามันมักจะผิดพลาดอยู่เสมอ
มันอาจเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ แต่สำหรับใครก็ตามผู้ที่เคยพยายามสร้างหนังสัตว์ประหลาดที่แสดงโดยปลาฉลาม เพื่อสร้างหนังเขย่าขวัญแบบฮิทช์ค็อกค์เกี่ยวกับปลาฉลามที่ทั้งเรื่องแทบไม่มีปลาฉลามอยู่เลย ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ากระบวนการทำหนังสามารถเปลี่ยนตัวคุณด้วยเหตุผลที่เหนือเกินคำบรรยายของคุณเอง คุณจะตอบสนองอย่างไรกับสิ่งที่กำหนดคุณและหนังของคุณ
“ขณะผมยังเด็ก ไม่มีทีมงานสักคน มีเพียงแค่ตัวคุณกับกล้องที่สั่งการรอบๆตัวเพื่อนของคุณ แต่เมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่ การทำหนังมันเกี่ยวกับการสรรเสริญคนมีความสามารถที่อยู่รายล้อมตัวคุณและการรู้ว่าคุณไม่สามารถทำหนังได้ด้วยตัวของคุณคนเดียว
‘ภาพยนตร์เป็นกีฬาที่เล่นกันเป็นทีม’
ตอนผมอายุ 15 16 ปี ผมเรียนอยู่ในโรงเรียน ผมใช้เวลาตอนปิดเทอมหมดไปกับการไปเที่ยวในแคลิฟอร์เนียกับลูกของลูกพี่ลูกน้อง และผมต้องการเป็นผู้กำกับ ผมทำหนังโดยใช้กล้อง 8 มม. ถ่าย ตั้งแต่อายุ 12 ปี ผมทำหนังตลกและดราม่านิดหน่อยกับเด็กๆข้างบ้าน
วันหนึ่งผมตัดสินใจเข้าไปที่ยูนิเวอร์แซล ผมแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมและผูกเนคไท ผมไปเที่ยวหนึ่งวันในยูนิเวอร์แซล และที่จริงกว่านั้นคือผมกระโดดลงจากรสบัสท่องเที่ยว ผมใช้เวลาตลอดวันอย่างมากมาย ผมพบผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ชัค ซิลเวอร์ ผมบอกเขาว่าผมเป็นนักทำหนังมาจาก อาริโซน่า
เขาพูดว่า “เด็กน้อย มาอีกครั้งพรุ่งนี้นะ ฉันจะเขียนบัตรผ่านให้และคุณโชว์หนังที่ถ่ายทำด้วยกล้อง 8 มม.ให้ฉันดูได้เลย”
ผมเลยได้จัดเทศกาลหนังเล็กๆสำหรับเขาคนเดียว
เขาพูดว่า “นายเก่งมาก ฉันหวังว่านายจะทำสำเร็จ แต่... เพราะว่าฉันเป็นเพียงแค่บรรณารักษ์ ฉันไม่สามารถเขียนลงนามในจดหมายเป็นบัตรผ่านให้ได้” (เขาหัวเราะ)
ดังนั้นวันต่อมา ผมเฝ้าสังเกตผู้คนว่าเขาแต่งตัวกันอย่างไรในแต่ละวัน ผมแต่งตามเขา สะพายกระเป๋าหิ้ว และเดินผ่านยามคนเดิมหน้าประตู ชื่อ สก๊อตตี้ ผู้ที่น่าจะทำงานมานานแล้ว เพราะเขาเป็นดูมีอายุมาก เขาโบกมือให้ผมเข้าไป
ตลอด 3 เดือน ซึ่งเป็นวันหยุดปิดเทอมภาคฤดูร้อนทั้งหมด ผมใช้เวลาทุกวัน ค้นหาสำนักงาน ไปที่ร้านค้าเพื่อจะขายกล้อง และซื้อตัวอักษรพลาสติก ค้นหาออฟฟิศร้างในยูนิเวอร์แซล และลักลอบจับจองเป็นของผม และติดชื่อและเบอร์โทรลงไปในอาคาร และนั่นเป็นพื้นฐานการทำธุรกิจในแบบของผม แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ผมเรียนรู้มากมายจากการตัดต่อและการอัดเสียงโดยการดูมืออาชีพเขาทำกัน แต่ผมไม่เคยได้งานที่ถูกหลอกลวงเลย
สปีลเบิร์ก พูดหลายครั้งเกี่ยวกับเล่ห์กลเพทุบายของสตูดิโอยูนิเวอร์แซลของเขาเองต่อคนหนุ่ม แต่มันก็มีเสน่ห์มากมายเมื่ออยู่ในหนังเรื่อง Catch Me If You Can
แน่นอนคุณอาจจะไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมดในการใช้เล่ห์อุบายแบบเดียวกันในวันนี้
“งบประมาณที่ล้นเอ่อคือซากปรักหักพังของฮอลลีวู้ด เงินกำลังมีอำนาจปกคลุมหนังไปทั่วทั้งโลก มันเป็นหายนะชัดๆ ขณะที่ผมทำ The Lost World ผมจำกัดจำนวนของช็อตเทคนิคพิเศษเพราะว่ามันแพงอย่างเหลือเชื่อ หากว่าไดโนเสาร์เดินเข้าไปในฉาก มันมีราคา 8 หมื่นดอลลาร์ สำหรับ 8 วินาที หากไดโนเสาร์ 4 ตัว อยู่ในพื้นหลังมันมีราคา 1 แสน 5 หมื่น ดอลลาร์"
มากกว่าก็ไม่ได้ทำให้ออกมาดีที่สุดเสมอไป
อาเมน
“มันคุณค่าเพราะว่า ตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง Close Encounters ซึ่งเป็นหนังที่ผมเขียนและเป็นหนังที่ไม่มีใครต้องการสร้างมันเลย ทุกคนดูต้องการทำอะไรที่เหมาะสมหลังจาก Jaws ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกเลย Jaws ทำให้ทางสตูดิโอยอมรับผม ทาง โคลัมเบีย ไฟเขียวให้ผมทำ Close Encounters ต่อกันเป็นเรื่องที่ 2 ทำให้ผมต่อลมหายใจของผมในอาชีพออกไปได้ แต่สิ่งที่ผมเป็นหนี้ต่อ Jaws คือมันทำให้ผมเป็นคนที่นอบน้อมมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับการควบคุมการประนีประนอมภาพในจินตนาการของผมให้มันดูมันมีความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
ในการสัมภาษณ์ที่สปีลเบิร์กเคยทำได้ดีที่สุดครั้งหนึ่ง เกี่ยวการพูดคุยอย่างสบายๆในความลึกซึ้งเกี่ยวกับอาชีพของเขาและฉลามเลวทรามที่เปลี่ยนเขาไปตลอดกาล เขาพูดคุยเกี่ยวนิสัยส่วนตัว แรงขับเคลื่อนของเขา และประเด็นอีกมากมาย มันเป็นการพูดคุยที่เปิดเผย แต่สิ่งหนึ่งที่บอกถึงความชัดเจนของเขา คือ ในบางครั้งการผ่านขุมนรกไปให้ได้ย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมันคุ้มค่ากับรางวัลที่ได้รับจากมัน
สปีลเบิร์ก เป็นนักทำหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในความสามารถของเขาที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างไม่ถากถาง ริชาร์ด เดรย์ฟัสส์ บอกว่า เขาเป็นคนมั่นใจในงานที่ล้อมรอบตัวเขา ความดีงามจะรวมน้ำเสียงและความมีสุนทรียศาสตร์เข้าไว้ทั้งหมดด้วยกัน นี้เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ของการผจญภัย และไม่มีภาพแทนแบบคงที่ในประเด็นบรรลุความสำเร็จของมนุษย์และ ความเป็นไปได้ของมนุษย์ในหนังของสปีลเบิร์ก
สิ่งที่หนังของเขาหลายเรื่องนำเสนอ(แม้กระทั่งหลักศีลธรรมหรือหลักปฎิบัติซึ่งความรุดหน้าถูกตั้งคำถาม) แต่ข้อความเรียบง่าย สปีลเบิร์ก ประสบความสำเร็จเพราะเขาสามารถทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง บางครั้งเป็นเพราะว่า ความเมตตาหรือการกระทำอันที่โหดร้ายของตัวมนุษย์เอง ฝันร้ายที่น่าหวาดกลัว หรือเป็นเพราะว่า หุบเขาใหญ่โตที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์
การอ้าปากค้าง เป็นหัวใจของการทำหนังของเขา และเป็นหัวใจที่เป็นอารมณ์กระตุ้นประกายไฟอันน่าพิศวง ในแบบฉบับของคนหนุ่มสาว ที่เข้าใจพวกเรามากกว่าสิ่งที่พวกเราเป็น สปีลเบิร์ก คอยยืนข้างและกุมมือด้วยตัวตนที่ยังเด็กของตัวเขา เพื่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์
แปลโดย A-Bellamy
ที่มา filmschoolrejects
ฝากติดตามกดไลค์ เพจ Surcine แฟนเพจภาพยนตร์ที่เน้นผู้กำกับภาพยนตร์ และภาพยนตร์คลาสสิก รวมทั้งยังมีเสื้อยืดสวยๆลายภาพยนตร์และผู้กำกับที่บ่งบอกรสยนิยมและสไตล์การเป็นคนคลั่งหนังในตัวคุณ
คลิ๊ก : https://www.facebook.com/surcines