ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังต่างชาติถอย ชี้ของดีราคาแพงเกินเทียบเพื่อนบ้าน

กระทู้สนทนา
ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังต่างชาติถอย ชี้ของดีราคาแพงเกินเทียบเพื่อนบ้าน
updated: 23 มิ.ย. 2557 เวลา 13:08:11 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


"ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ชี้ตลาดหุ้นไทยพี/อี 14 เท่า ครึ่งปีหลังเงินต่างชาติยังไหลออกรอดูผลงาน คสช.ปลุกเศรษฐกิจดึงเชื่อมั่น ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนไทยค้านเก็บภาษีกำไรหุ้น ทุบรายย่อย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า หลังจากเกิดการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 22 พ.ค. 57 จนถึงปัจจุบัน (19 มิ.ย.) ซึ่งจะครบ 1 เดือนนั้น พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4% จากระดับ 1,405.21 จุด ขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 1,461.91 จุด (19 มิ.ย.) โดยมูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ได้เพิ่มขึ้นจาก 12.56 ล้านล้านบาท (22 พ.ค.) มาอยู่ที่ประมาณ 13.130 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7 แสนล้านบาท หรือ 4.5%

ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายสุทธิประมาณ 24,185.82 ล้านบาท ทำให้ต้นปี (2 ม.ค.) ถึง 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา มียอดขายสุทธิ 43,176 ล้านบาท



ต่างชาติมองหุ้นไทยแพง

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ครึ่งปีหลังนี้ แนวโน้มนักลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าลงทุนตลาดหุ้นไทยจะยากขึ้น เนื่องจากประเด็นอยู่ที่ตลาดหุ้นไทยแพงแล้ว โดยดูจากค่าพี/อี (อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ) ของตลาดโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 14-15 เท่า ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา คสช.เข้ามาบริหารประเทศนั้น ตลาดหุ้นได้ปรับขึ้นไปสูง ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาเล่นกัน เพราะเห็นว่าการเมืองมีการเปลี่ยนแปลง และเห็นเสถียรภาพชัดเจนขึ้น แต่ตอนนี้ ทุกคนรอดูว่าความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

"ฝรั่งก็อยากจะซื้อหุ้นไทย แต่ไม่ใช่ราคาหุ้นในภาวะตลาดตอนนี้ หุ้นของเราดีก็จริง แต่ว่าแพงไป เพราะต่างชาติจะเปรียบเทียบหุ้นไทยกับหุ้นของประเทศอื่นด้วย เขาเลือกซื้อประเทศอื่นได้ อย่างหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกไทย ก็จะเทียบกับหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ว่าของใครราคาถูกหรือแพง หรืออย่างกลุ่มสื่อสาร ที่ตอนนี้ภาพธุรกิจกำลังเปลี่ยนเยอะ ขณะที่กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นน้ำมันของไทย ราคาหุ้นตกมา 2 ปีแล้ว ทั้งที่ราคาน้ำมันโลกขึ้น ซึ่งก็ต้องรอดูว่า คสช.จะทำอะไรกับโครงสร้างพลังงาน ตลาดหุ้นไทยรอหุ้นน้ำมันขึ้นอย่างเดียว ไม่เช่นนั้น ตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นไม่ได้" นายก้องเกียรติกล่าว

รอดูความชัดเจนด้าน ศก.

สำหรับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติตอนนี้ ดีขึ้นหรือไม่ นายก้องเกียรติกล่าวว่า แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือนักลงทุนต่างชาติที่ใกล้ชิดประเทศไทย ก็จะมีความเข้าใจปัญหาทางการเมืองไทย และการแก้ไขในขณะนี้ แต่หากเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ไม่ใกล้ชิดประเทศไทย อธิบายไปก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่เรื่องนี้จะต้องรอดูผลงานของ คสช.ทำให้ได้ก่อน

"สิ่งที่ คสช.ทำ อย่างน้อยก็เข้ามาช่วยล้างท่อให้ เพราะทุกอย่างอุดตันมานาน ประเทศเดินไม่ได้ ซึ่งก็หวังว่า คสช.ล้างท่อแล้วทุกอย่างจะไหลลื่นต่อไป ต่างชาติรอดูอยู่ว่า ทำเสร็จแล้วจะไหลลื่นได้แค่ไหน ในบางอย่าง คสช.ก็ทำได้เร็ว เช่น ตั้งบอร์ดบีโอไอ การลงทุนต่าง ๆ ที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนให้ดีขึ้น หรือโครงการลงทุนยาว ๆ ไม่ได้ ก็น่าจะเห็นโครงการลงทุนระยะสั้น 2-3 ปี ที่ทำออกมาได้ เรื่องพวกนี้ควรรีบทำ เพื่อเรียกความมั่นใจให้กลับมาโดยเร็ว" นายก้องเกียรติกล่าว

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ เนื่องจากค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันของอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) อยู่ระดับต่ำ ซึ่งปีนี้อยู่ที่ 7.7% แต่หากว่า คสช.มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก และมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะก้าวข้ามตลาดหุ้นที่แพงนี้ได้

นายกรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยแพง หากดูจากค่าพี/อีล่วงหน้า (Expected P/E) ที่ปรับขึ้นมา 14.5 เท่า สูงกว่าค่าพี/อีเฉลี่ยของตลาด ที่อยู่ 13% แต่ถ้าเทียบกับค่าพี/อีของตลาดหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ที่อยู่ระดับ 14.9% ถือว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง

"ปกติแล้ว ต่างชาติจะเชื่อว่า หากเกิดการรัฐประหารในประเทศแล้ว จีดีพีของประเทศจะไม่ค่อยเติบโตมากนัก ความเสี่ยงเรื่องการเมืองทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ซึ่งสิ่งที่จะดึงดูดการกลับเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติมีอยู่ 2 เรื่อง 1.การมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน และ2.การตั้งรัฐบาลรักษาการโดยเร็ว ซึ่งคาดว่าใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อความมีเสถียรภาพของการบริหารประเทศ" นายกรภัทร กล่าว

ตลาดป่วนข่าวเก็บภาษีหุ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา( 18 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเกือบ 20 จุด เนื่องจากเกิดกระแสข่าว รัฐบาลจะมีการเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น(Capital Gain Tax) ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรง และนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นทิ้งอย่างหนัก

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า สภาธุรกิจฯ ไม่เห็นด้วยกรณีจะมีการเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นระยะสั้นเนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่มีความพร้อม ซึ่งหากดำเนินการจริงจะส่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดหุ้นลดหายไป จนกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน อีกทั้งฐานนักลงทุนรายย่อย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเพียง 1 ล้านบัญชี จากวัยทำงานที่มีจำนวน 40 ล้านคน ดังนั้นควรจะเน้นให้เกิดการขยายจำนวนมากกว่านี้ก่อน

"ตลาดเรายังไม่พร้อมที่จะทำ เพราะเป็นช่วงที่กำลังพัฒนาอยู่ ซึ่งตลาดกำลังพัฒนา(อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต)อื่นๆ ก็ยังไม่มีใครทำ ถ้ารัฐจะเก็บภาษีจริงๆ ก็มีอีกช่องทางอื่นอีกมากให้เลือก เช่น ภาษีที่ดิน สำหรับคนที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งน่าจะได้เม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำมากกว่า"นายไพบูลย์กล่าว

นายธำรงชัย เอกอมรวงศ์ นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนที่มีพอร์ตขนาดใหญ่ จะได้รับผลกระทบน้อยหากมีการเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นระยะสั้น เนื่องจากมีทางเลี่ยงไม่ต้องเสียภาษี เช่น การตั้งกองทุนส่วนบุคคล(Private Fund) การออกไปเปิดบัญชีในต่างประเทศ แต่กลุ่มนักลงทุนรายย่อยจะได้รับผลกระทบมากกว่า

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า กรณีเรื่องการเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น (Capital Gain Tax) น่าจะเกิดขึ้นได้ยากกับตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง เนื่องจากระบบภาษีของประเทศไทยยังไม่พัฒนาและมีเสถียรภาพมากพอถึงขั้นที่จะเก็บภาษีจากกำไรหุ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ หากมีประเด็นดังกล่าวก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนเงินลงทุนจากต่างชาติ รวมทั้งยังต้องพิจารณาในทางกลับกันว่าหากลงทุนในหุ้นแล้วขาดทุน จะสามารถเรียกคืนภาษีดังเช่นภาษีบุคคลธรรมดาได้หรือไม่ และทางกรมสรรพากรจะยินยอมหรือไม่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่