สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
..เป็นปัญหายุ่งยากสำคัญที่สุดปัญหาหนึ่ง ของนักภาวนา เกิดกับหลายๆๆคน แทบทุกๆคนนั่นแหละ... จะเกิดกับคนที่เคยได้จิตรวมดีๆหรือเคยได้สมาธิดีๆมาแล้ว หรือกับคนที่มีศรัทธามากๆ ผสมกับชอบคิดหาเหตุผล ชอบพิจารณาเรื่องแปลกๆ
..ปัญหานี้ ภาษาตำราเรียกว่า อภิสังขารมาร คือการปรุงแต่งบิดเบือนลึกๆ โดยเจ้าตัวไม่มีความประสงค์จะให้จิตปรุงแต่งไปแบบนั้น แต่มันเกิดมาเองในจิตลึกๆ ลึกมากๆ แล้วผุดโผล่ออกมาข้างนอกเป็นตัวนึกตัวคิดวิปลาสแบบนั้น ใครที่แก้ตัวนี้ไมได้ และกังวลกับมันมาก อนาคตมีทางจะเป็นบ้าไปได้ อน่างน้อยก็เป็นโรคประสาท เลิกฝึกภาวนาไปเลย
..วิธีแก้ ยากมากๆ ต้องทุ่มเทกำลังเต็มที่หนักๆ ภาวนาหนักๆแบบมอบกายถวายชีวิต จึงจะแก้ตัวนี้ได้ถึงราก ..แต่ถ้ายังไม่อาจจะมีโอกาสฝึกได้ถึงระดับนั้น ก็พอจะมีวิธีทำให้ทุเลาไปบ้างพอแก้ขัดไปก่อนพลางๆ คือพอมันเกิด ก็รับนึกคำขอขมาสวนทางแก้มันทันที ทุกๆครั้งที่มันเกิด เอาแบบนั้นไปก่อน ..เมื่อใดมีเวลา มีโอกาสเต็มๆ ค่อยสู้กับมันแบบแลกตายเลย ตั้งใจเอาชนะให้ได้ ขุดลงไปถึงรากมันให้ได้ ใช้ความอกดทน ความเพียร สติปัญญา และทุกๆอย่างที่มีในจิต ฟัดกับมันให้ถึงพริกถึงขิงไปเลย ตายก็ตาย อย่ากลัว...
...การฝึกภาวนาเพื่อแก้ไขตัววิปลาสตัวนี้ ขั้นแรก ฝึกพิจารณากายคตาสติ ให้มากๆๆ เป็นพื้นฐานก่อน ควบคู่กับการฝึกสมถะให้จิตรวมให้ได้เรื่อยๆ รวมแบบเต็มท่ี่ หนักๆ แน่นๆ ต่อจากนั้น เริ่มพิจารณากหารปรุงแต่งของมัน คือเพ่งไล่ย้อนสวนทางมันกลับลงไปหาต้นรากของมันที่มันโผล่ออกมา ซึ่งไม่ง่ายนัก คือพยายามย้อนทวนเข้าหาตัวรู้เรื่อยๆๆ เพราะการปรุงแต่งของมัน ปรุงออกมาจากศูนย์กลางของตัวรู้เลย ละเอียดลึกมากๆ อย่าเผลอเพ่งย้อนไปข้างนอกเด็ดขาด สาเหตุของมันไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ที่ศูนย์กลางหรือที่ใจกลางของตัวรู้นั่นเอง
....ส่วนตัว ผมเคยเจอปัญหานี้ ติดมานานตั้ง ๙ ปี ตอนหลังต้องหาเวลาเต็มที่ ทุ่มใจ ทุ่มความเพียรลงเต็มที่เพื่อแก้มันออกไป...ขอบอกว่า ยากมากๆๆ...แต่โชคดีที่มีครูบาอาจารย์คอยช่วยประคับประคองช่วย จึงผ่านไปได้ หลังจากทุ่มเทแบบสุดๆ ตลอด ๑๐ เดือน บางทีก็อดหลับอดนอนไปหลายๆวันหลายๆคืนติเต่อกัน บางทีก็อดอาหารนานเป็นเดือนๆ เป็นช่วงๆ สลับกันไป บางทีก็นั่งสมาธิตลอดทั้งคืนไม่ขยับ เป็นเหมือนหัวหลักหัวตอ ตั้งแต่หัวคค่ำจนรุ่งสว่าง บางทีก็เดินจงกรมตลอดทั้งวัน หรือทั้งคืน เป็น ๑๐ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน หยุดเพียงแค่ถ่ายปัสสาวะ ฝึกไปอยบ่างหนักแบบนั้น ตลอดเกือบ ๑๐ เดือน จนถึงวันหนึ่ง ได้จังหวะ จึงเห็นรากที่มาของมัน ก็แก้มันหลุดไปได้ตอนนั้นเอง แล้วมันก็ไม่กลับมาอีก หรืออาจจะมาบ้างนิดๆ แต่ไม่ก่อปัญหาอีกเหมือนเมื่อก่อน..
...จุดเริ่มสังเกตของผม คือ มันไม่เกิดกับครูบาอาจารย์บางท่าน เช่นไม่เกิดกับหลวงตามหาบัว และไม่เกิดกับพระพุทธเจ้า ถือยังโชคดีอยู่บ้าง ก็จับอันนี้มาเป็นข้อสังเกต แต่นอกจากนั้น มันจะเกิดกับครูบาอาจารย์แทบทุกๆรุป ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมา ...ครั้งแรกที่มันเกิด กำลังอ่านประวัติหลวงปู่มั่น ด้วยใจศรัทธาและเคารพสูงสุด จู่ๆก็มีคำผุดออกมาจากในใจ ด่าหลวงปู่มั่นว่า "ใอ้เปตหลวงปู่มั่น" ทำเอาสะดุ้ง ใจร้อนขึ้นมาสุดๆทันที ว่ามันเกิดมาได้ไง งงไปหมด ตั้งใจไม่ถูก กลัวบาปสุดๆ กลัวตกนรกสุดๆ ต่อจากนั้นมันก็เริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเพ่งหาสาเหตุมัน มันยิ่งเกิด และกเิดกับครูบาอาจารย์อื่นๆแทบทุกๆท่าน ยกเว้นหลวงตามหาบัวและพระพุทธเจ้า นั่นแหละ ...ถ้ายิ่งเข้าใกล้ครูบาอาจารย์ ที่เราเคารพมากๆ หรือวันไหนใจสงบมากๆ ยิ่งเกิดรุนแรง เผาใจยิ่งกว่าไฟนรกอเวจี แน่ใจว่า ถ้าแก้มันไม่ได้ ชาติหน้าต้องตกนรกแน่ๆ ดังนั้น ทางแก้ทางหนึ่งคือ พยายามไม่ให้ใจสงบ หาทางให้มันฟุ้งหรือเพลิดเพลินกับกามารมณ์ทางโลกไปก่อน เรื่อยๆ เพื่อผ่อนคลายอาหารร้อนลงไปบ้าง ...
...หนทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ถึงรากของมัน คุณต้องฝึกจนเกิดวิปัสสนาญาณขึ้น เท่านั้น วิปัสสนาญาณเท่านั้น จึงจะแก้ได้ คือ คุณต้องฝึกจิตจนจิตสงบมากๆ แล้วไล่เพ่งย้อนทวนมาดูตัวปรุงแต่ง ที่นึกๆคิดๆ ลึกๆๆลงไป เหมือนกัยเราจับใบบัวบนผิวน้ำ แล้วเราก็ไล่ย้อนสายบัวลงไปใต้น้ำ จนลึกๆลงไปถึงรากของมันที่จมโคลนอยู่ แล้วถอนรากของมันขึ้นมา ...การฝึกไล่ย้อนแบบนั้น ถ้าฝึกดีๆ วันใดวันหนึ่ง คุณจะเห็นจิตทื่เกิดๆดับๆเป็นดวงๆ ไวมากๆ ตามที่กล่าวไว้ในอภิธรรมนั่นแหละ (ไวเทียบเท่า ในช่วงกระพริบตา ๑ ครั้ง จิตเกิดๆดับๆไปแล้วประมาณ ล้านล้านดวง) เมื่อใดคุณมีจิตละเอียดจนเห็นจิตที่เกิดๆดับๆที่ไวสุดๆนั่นได้ วันนั้นคือวันที่คุณจะขจัดตัววิปลาสนี้ออกไปได้ ..ซึ่งก็ยาก แต่ยังไงก็อย่าท้อ มันไม่เหลือวิสัยที่คนเราจะทำได้หรอก... ที่จริงรายละเอียดมีมากมาย อาจจะเขียนได้หลายพันหน้ากระดาษ แต่เอาแค่คร่าวๆก่อน ...คุณไปฝึกมา ให้หนักหน่วงเต็มที่ แบบที่บอกแต่แรก ..แล้วค่อยมาคุยกัน..
..ปัญหานี้ ภาษาตำราเรียกว่า อภิสังขารมาร คือการปรุงแต่งบิดเบือนลึกๆ โดยเจ้าตัวไม่มีความประสงค์จะให้จิตปรุงแต่งไปแบบนั้น แต่มันเกิดมาเองในจิตลึกๆ ลึกมากๆ แล้วผุดโผล่ออกมาข้างนอกเป็นตัวนึกตัวคิดวิปลาสแบบนั้น ใครที่แก้ตัวนี้ไมได้ และกังวลกับมันมาก อนาคตมีทางจะเป็นบ้าไปได้ อน่างน้อยก็เป็นโรคประสาท เลิกฝึกภาวนาไปเลย
..วิธีแก้ ยากมากๆ ต้องทุ่มเทกำลังเต็มที่หนักๆ ภาวนาหนักๆแบบมอบกายถวายชีวิต จึงจะแก้ตัวนี้ได้ถึงราก ..แต่ถ้ายังไม่อาจจะมีโอกาสฝึกได้ถึงระดับนั้น ก็พอจะมีวิธีทำให้ทุเลาไปบ้างพอแก้ขัดไปก่อนพลางๆ คือพอมันเกิด ก็รับนึกคำขอขมาสวนทางแก้มันทันที ทุกๆครั้งที่มันเกิด เอาแบบนั้นไปก่อน ..เมื่อใดมีเวลา มีโอกาสเต็มๆ ค่อยสู้กับมันแบบแลกตายเลย ตั้งใจเอาชนะให้ได้ ขุดลงไปถึงรากมันให้ได้ ใช้ความอกดทน ความเพียร สติปัญญา และทุกๆอย่างที่มีในจิต ฟัดกับมันให้ถึงพริกถึงขิงไปเลย ตายก็ตาย อย่ากลัว...
...การฝึกภาวนาเพื่อแก้ไขตัววิปลาสตัวนี้ ขั้นแรก ฝึกพิจารณากายคตาสติ ให้มากๆๆ เป็นพื้นฐานก่อน ควบคู่กับการฝึกสมถะให้จิตรวมให้ได้เรื่อยๆ รวมแบบเต็มท่ี่ หนักๆ แน่นๆ ต่อจากนั้น เริ่มพิจารณากหารปรุงแต่งของมัน คือเพ่งไล่ย้อนสวนทางมันกลับลงไปหาต้นรากของมันที่มันโผล่ออกมา ซึ่งไม่ง่ายนัก คือพยายามย้อนทวนเข้าหาตัวรู้เรื่อยๆๆ เพราะการปรุงแต่งของมัน ปรุงออกมาจากศูนย์กลางของตัวรู้เลย ละเอียดลึกมากๆ อย่าเผลอเพ่งย้อนไปข้างนอกเด็ดขาด สาเหตุของมันไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ที่ศูนย์กลางหรือที่ใจกลางของตัวรู้นั่นเอง
....ส่วนตัว ผมเคยเจอปัญหานี้ ติดมานานตั้ง ๙ ปี ตอนหลังต้องหาเวลาเต็มที่ ทุ่มใจ ทุ่มความเพียรลงเต็มที่เพื่อแก้มันออกไป...ขอบอกว่า ยากมากๆๆ...แต่โชคดีที่มีครูบาอาจารย์คอยช่วยประคับประคองช่วย จึงผ่านไปได้ หลังจากทุ่มเทแบบสุดๆ ตลอด ๑๐ เดือน บางทีก็อดหลับอดนอนไปหลายๆวันหลายๆคืนติเต่อกัน บางทีก็อดอาหารนานเป็นเดือนๆ เป็นช่วงๆ สลับกันไป บางทีก็นั่งสมาธิตลอดทั้งคืนไม่ขยับ เป็นเหมือนหัวหลักหัวตอ ตั้งแต่หัวคค่ำจนรุ่งสว่าง บางทีก็เดินจงกรมตลอดทั้งวัน หรือทั้งคืน เป็น ๑๐ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน หยุดเพียงแค่ถ่ายปัสสาวะ ฝึกไปอยบ่างหนักแบบนั้น ตลอดเกือบ ๑๐ เดือน จนถึงวันหนึ่ง ได้จังหวะ จึงเห็นรากที่มาของมัน ก็แก้มันหลุดไปได้ตอนนั้นเอง แล้วมันก็ไม่กลับมาอีก หรืออาจจะมาบ้างนิดๆ แต่ไม่ก่อปัญหาอีกเหมือนเมื่อก่อน..
...จุดเริ่มสังเกตของผม คือ มันไม่เกิดกับครูบาอาจารย์บางท่าน เช่นไม่เกิดกับหลวงตามหาบัว และไม่เกิดกับพระพุทธเจ้า ถือยังโชคดีอยู่บ้าง ก็จับอันนี้มาเป็นข้อสังเกต แต่นอกจากนั้น มันจะเกิดกับครูบาอาจารย์แทบทุกๆรุป ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมา ...ครั้งแรกที่มันเกิด กำลังอ่านประวัติหลวงปู่มั่น ด้วยใจศรัทธาและเคารพสูงสุด จู่ๆก็มีคำผุดออกมาจากในใจ ด่าหลวงปู่มั่นว่า "ใอ้เปตหลวงปู่มั่น" ทำเอาสะดุ้ง ใจร้อนขึ้นมาสุดๆทันที ว่ามันเกิดมาได้ไง งงไปหมด ตั้งใจไม่ถูก กลัวบาปสุดๆ กลัวตกนรกสุดๆ ต่อจากนั้นมันก็เริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเพ่งหาสาเหตุมัน มันยิ่งเกิด และกเิดกับครูบาอาจารย์อื่นๆแทบทุกๆท่าน ยกเว้นหลวงตามหาบัวและพระพุทธเจ้า นั่นแหละ ...ถ้ายิ่งเข้าใกล้ครูบาอาจารย์ ที่เราเคารพมากๆ หรือวันไหนใจสงบมากๆ ยิ่งเกิดรุนแรง เผาใจยิ่งกว่าไฟนรกอเวจี แน่ใจว่า ถ้าแก้มันไม่ได้ ชาติหน้าต้องตกนรกแน่ๆ ดังนั้น ทางแก้ทางหนึ่งคือ พยายามไม่ให้ใจสงบ หาทางให้มันฟุ้งหรือเพลิดเพลินกับกามารมณ์ทางโลกไปก่อน เรื่อยๆ เพื่อผ่อนคลายอาหารร้อนลงไปบ้าง ...
...หนทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ถึงรากของมัน คุณต้องฝึกจนเกิดวิปัสสนาญาณขึ้น เท่านั้น วิปัสสนาญาณเท่านั้น จึงจะแก้ได้ คือ คุณต้องฝึกจิตจนจิตสงบมากๆ แล้วไล่เพ่งย้อนทวนมาดูตัวปรุงแต่ง ที่นึกๆคิดๆ ลึกๆๆลงไป เหมือนกัยเราจับใบบัวบนผิวน้ำ แล้วเราก็ไล่ย้อนสายบัวลงไปใต้น้ำ จนลึกๆลงไปถึงรากของมันที่จมโคลนอยู่ แล้วถอนรากของมันขึ้นมา ...การฝึกไล่ย้อนแบบนั้น ถ้าฝึกดีๆ วันใดวันหนึ่ง คุณจะเห็นจิตทื่เกิดๆดับๆเป็นดวงๆ ไวมากๆ ตามที่กล่าวไว้ในอภิธรรมนั่นแหละ (ไวเทียบเท่า ในช่วงกระพริบตา ๑ ครั้ง จิตเกิดๆดับๆไปแล้วประมาณ ล้านล้านดวง) เมื่อใดคุณมีจิตละเอียดจนเห็นจิตที่เกิดๆดับๆที่ไวสุดๆนั่นได้ วันนั้นคือวันที่คุณจะขจัดตัววิปลาสนี้ออกไปได้ ..ซึ่งก็ยาก แต่ยังไงก็อย่าท้อ มันไม่เหลือวิสัยที่คนเราจะทำได้หรอก... ที่จริงรายละเอียดมีมากมาย อาจจะเขียนได้หลายพันหน้ากระดาษ แต่เอาแค่คร่าวๆก่อน ...คุณไปฝึกมา ให้หนักหน่วงเต็มที่ แบบที่บอกแต่แรก ..แล้วค่อยมาคุยกัน..
ความคิดเห็นที่ 2
ปัญหาพบบ่อยเลยสำหรับผู้เริ่มภาวนา. ถ้าผ่านจุดนี้ได้จะก้าวหน้าอีกเยอะ.
คนจะผ่านปัญหาโลกแตกนี้ได้ต้องเจริญวิปัสนาเท่านั้น และผมก็ผ่านมาแล้วหลังจากจมกับการลบหลู่พระรัตนไตรเป็น 10 ปี
ถ้าจะเอาวิธีแก้ปัญหาแบบตรงเป้าเลยนะ คือ "ช่างแม่...ง" จิตคิดไม่ใช่เราคิด ยอมรับว่าเราทำอะไรมันไม่ได้ อย่ากลัวบาปที่ทำเพราะนิดเดียวเพราะเราไม่ได้มีเจตนา
สักว่ารู้ว่าจิตมันปรุงคำหยาบไป ไม่ต้านและไม่ตามความคิดที่ปรุงคำหยาบ. เมื่อใจเป็นกลางกับการปรุงแต่ง เมื่อนั้นอาการจะหาย
แนะนำไปศึกษาคำสอนเรื่องการดูจิตของหลวงพ่อ ปราโมทย์ ปราโมทย์โช. จะเป็นวิธีที่เข้าใจวิธีการเจริญวิปัสนาเรื่องการดูจิตได้ตรงและง่าย
แต่ถ้าจะเอาสมาธิเข้าไปกดไม่ให้จิตคิด. ก็เป็นการแก้ปัญหาอีกแบบ วิธีนี้จะไม่เกิดปัญญาเหมือนกับหินทับหญ้า เมื่อกำลังสมาธิหมดอาการก็กลับมา
หรือการเลิกคิดแล้วหันไปคิดอย่าอื่น วิธีนี้คือการหนีปัญหา. ซึ่งทั้งสองวิธีมันแก้ปัญหาไม่ได้จริง(ผมลองทั้งสองวิธีมานาน)
ปล.แก้และเพิ่มข้อมูล
คนจะผ่านปัญหาโลกแตกนี้ได้ต้องเจริญวิปัสนาเท่านั้น และผมก็ผ่านมาแล้วหลังจากจมกับการลบหลู่พระรัตนไตรเป็น 10 ปี
ถ้าจะเอาวิธีแก้ปัญหาแบบตรงเป้าเลยนะ คือ "ช่างแม่...ง" จิตคิดไม่ใช่เราคิด ยอมรับว่าเราทำอะไรมันไม่ได้ อย่ากลัวบาปที่ทำเพราะนิดเดียวเพราะเราไม่ได้มีเจตนา
สักว่ารู้ว่าจิตมันปรุงคำหยาบไป ไม่ต้านและไม่ตามความคิดที่ปรุงคำหยาบ. เมื่อใจเป็นกลางกับการปรุงแต่ง เมื่อนั้นอาการจะหาย
แนะนำไปศึกษาคำสอนเรื่องการดูจิตของหลวงพ่อ ปราโมทย์ ปราโมทย์โช. จะเป็นวิธีที่เข้าใจวิธีการเจริญวิปัสนาเรื่องการดูจิตได้ตรงและง่าย
แต่ถ้าจะเอาสมาธิเข้าไปกดไม่ให้จิตคิด. ก็เป็นการแก้ปัญหาอีกแบบ วิธีนี้จะไม่เกิดปัญญาเหมือนกับหินทับหญ้า เมื่อกำลังสมาธิหมดอาการก็กลับมา
หรือการเลิกคิดแล้วหันไปคิดอย่าอื่น วิธีนี้คือการหนีปัญหา. ซึ่งทั้งสองวิธีมันแก้ปัญหาไม่ได้จริง(ผมลองทั้งสองวิธีมานาน)
ปล.แก้และเพิ่มข้อมูล
แสดงความคิดเห็น
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา
ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค