คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ฝนตกหนักมาก ผมสะดุ้งตื่นจากเสียงลมและฟ้าร้องอยู่หลายคราว
ถึงตอนเช้า ผมอาบน้ำแต่งตัว และเดินลงบันไดมาแต่เช้า เพื่อที่จะเอาของไปให้พ่อที่วัด (พ่อกับแม่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดธรรมฯ)
เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ....สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผมเบื้องหน้า....
ไม่ต่างอะไรไปจาก...... 'สมรภูมิ' ที่เพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ
อึกับฉี่หมาเรี่ยราดไปหมดทั่วบริเวณพื้นห้องชั้นล่าง (หมาของผมตัวนึง มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย คือมันจะถ่ายไม่ค่อยสุด(ทั้งอึทั้งฉี่) ทำให้ต้องเดินถ่ายไปเรื่อย แต่ปกติจะไม่เละขนาดนี้ อาจจะเป็นเมื่อคืนฝนตกฟ้าร้องเสียงดัง มันคงนอนไม่หลับหรือตกใจเลยจัดเต็มซะขนาดนี้ ) ถังขยะถูกรื้อจนล้มคว่ำ สิ่งปฎิกูลข้างในกลิ้งออกมากองกับพื้น
มันช่างเป็นภาพ(และกลิ่น)ที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์นักสำหรับคนที่จะตื่นไปวัดแต่เช้า
การจะเดินฝ่าไปยังประตูหน้าบ้าน... มีเพียงวิธีเดียว คือ เขย่ง...ก้าว...กระโดด
ผมเดิน (เขย่ง ?) ออกจากบ้านมาเรียกรถด้วยอารมณ์หัวเสียสุดๆ ระหว่างรถแล่นไป ก็คิดไปตลอดทาง ว่าไอหมาบ้านี่หนอ มันช่างมาทำลายวันหยุดพักผ่อนของเราแท้ๆ กลับไปก็ต้องไปเช็ดกองอึฉี่ที่มันถ่ายไว้ซะเรี่ยราดยังกะเศษซากในสมรภูมิรบ ราวกับว่ามันจะแกล้งยั่วโมโหผมอยู่ก็ไม่ปาน ไม่รู้ไปทำเวรทำกรรมอะไรให้มัน
คอยดูเถอะ กลับไปบ้าน ได้มีเปิด'สมรภูมิ'ครั้งใหม่กับไอหมาเจ้ากรรมนายเวรตัวนี้แน่ๆ
ถึงวัดธรรม เอาของไปให้พ่อเรียบร้อยแล้ว ผมก็แวะไปนั่งสมาธิที่บริเวณหน้าพระพุทธรูป(หลวงพ่อองค์ดำ) เพื่อสงบสติอารมณ์อยู่ซักพักใหญ่ เสร็จแล้วก็เตรียมจะเดินกลับบ้าน
ระหว่างที่กำลังจะเดินกลับ ผมได้สะดุดตากับภาพเขียนหนึ่งบนผนังข้างหนึ่งของห้อง เลยเดินเข้าไปดู
มันเป็นภาพเขียนแสดงปริศนาธรรม เป็นรูปพระโพธิสัตว์นั่งสมาธิลอยอยู่เหนือโลก และก็มีบทบรรยายใต้ภาพประมาณว่า พระโพธิสัตว์ผู้มีใจบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งปรารถนาพุทธภูมิ แม้เคยอยู่ในโลกอันสกปรกเน่าเหม็น เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลมาแล้วทั้งสิ้น ทว่าท่านไม่ยึดถือ ไม่นำพา หรืออะไรประมาณนี้ เนี่ยแหละ
จริงๆภาพปริศนาธรรมพวกนี้ ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านผ่านตามาก่อนแล้ว (เพราะผ่านมาแถวนี้บ่อย) ..แต่พอได้อ่านอีกทีวันนี้มันเหมือนกับ "ปิ๊ง" ขึ้นมาเลยครับ เกิด'โอปนยิโก'(โดยไม่ได้ตั้งใจ) คือ จิตน้อมเข้าไปสู่ตน เข้าไปพิจารณาธรรม แม้จะไม่ได้แยบคายนัก แต่จิตใจที่หดหู่ห่อเหี่ยวเมื่อเช้า ก็พลันโล่งโปร่งเบาขึ้นมาเลยทีเดียว
ผมกลับบ้านไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญกับ 'สมรภูมิ' ที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า...
เปิดประตูบ้านออกมา กลิ่นงี้โชยมาเลยทีเดียว .... ผมไม่พูดพล่ามทำเพลงครับ คว้าทิชชู่กับถุงก๊อบแก๊บ ลงมือเก็บอึกับฉี่หมาทันที เก็บไปก็พิจารณาอสุภะไปครับ ได้สติดีซะอีก พิจารณาแล้วมันก็เห็น(ด้วยปัญญา) ว่าพวกสิ่งปฏิกูล ของเน่าเหม็นพวกนี้ มันก็คือธาตุสี่ (ดินน้ำลมไฟ) ดีๆนี่เองครับ ก็เราเองนั่นแหละที่ไปให้ค่า ว่ามันสกปรก น่ารังเกียจอย่างนู้นอย่างนี้ มันเป็นของธรรมชาติทั้งนั้น กินเข้าไปก็ต้องถ่ายออกมา หมามันเองก็คงไม่ตั้งใจ เราจะไปโกรธเกลียดมันทำไมกันเล่า มันก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเราด้วยกันทั้งนั้น ว่าแล้วผมก็เลยไปลูบหัวมัน แผ่เมตตาให้มันหายเจ็บป่วยไปด้วย
กลายเป็นว่า 'สมรภูมิ' ได้เปลี่ยนไปแล้วครับตอนนี้
เปลี่ยนจาก...'คน VS.หมา' ไปเป็น 'คน'(+สติ) VS.'กิเลส' ไปโดยปริยาย....
หากเมื่อครู่ที่ผมเข้าบ้าน ผมโมโหฉุนเฉียว ปล่อยให้กิเลสคอยชี้นิ้วบงการ ผมอาจจะกำลังวิ่งไล่ตีหมาอย่างโกรธแค้น แล้วไปตามเก็บอึเก็บฉี่หมาด้วยความชิงชังพลางด่าทอมันไปเรื่อย ....โอเค งานมันเสร็จเหมือนกัน แต่เช้าวันนั้นมันจะกลายเป็นเช้าวันอาทิตย์อันขมุกขมัว จิตใจเศร้าหมองราวกับไปเกลือกกลั้วสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นซะเอง
แต่...เพียงแค่ผมมีสติเท่านั้นแหละครับ
มันพลิกเลยนะครับคุณผู้อ่าน... มันกลายเป็นว่าผมได้ปฏิบัติธรรม ทำอสุภกรรมฐานไปในตัว ...ได้แผ่เมตตาให้หมา
....แล้วผมก็เก็บอึเก็บฉี่มันด้วยจิตใจที่สงบ งานก็เสร็จ และเช้านั้นก็กลายเป็นเช้าวันอาทิตย์อันเป็นมงคล เพราะได้ไปไหว้พระ นั่งสมาธิ และกลับมาปฏิบัติธรรมต่อที่บ้าน
...แถมได้บทความธรรมะมาเขียนให้คุณๆได้อ่านกันอีก
สุดท้ายนี้ อยากให้คุณผู้อ่านได้ลองเอาไปคิด พิจารณาดูนะครับ เวลามีใครมาทำให้คุณโกรธ จนอยากจะลุกไปไฝ้ว์.....คุณแน่ใจแล้วหรือว่า....
นั่นมันเป็นสมรภูมิ(ภายนอก) ระหว่าง 'คุณ' กับ 'เขา'?
หรือแท้จริงแล้ว ...มันเป็นสมรภูมิ(ภายใน) ระหว่าง 'คุณ' กับ 'กิเลส' กันแน่?
.........................
ธรรมรักษาครับ
ปล. ขอบพระคุณ หลวงพ่อองค์ดำ ที่ได้ประทาน 'ปัญญา' ให้ผมได้ไปต่อกรกับกิเลสในใจ
ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน .....สมรภูมิ??....
ถึงตอนเช้า ผมอาบน้ำแต่งตัว และเดินลงบันไดมาแต่เช้า เพื่อที่จะเอาของไปให้พ่อที่วัด (พ่อกับแม่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดธรรมฯ)
เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ....สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผมเบื้องหน้า....
ไม่ต่างอะไรไปจาก...... 'สมรภูมิ' ที่เพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ
อึกับฉี่หมาเรี่ยราดไปหมดทั่วบริเวณพื้นห้องชั้นล่าง (หมาของผมตัวนึง มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย คือมันจะถ่ายไม่ค่อยสุด(ทั้งอึทั้งฉี่) ทำให้ต้องเดินถ่ายไปเรื่อย แต่ปกติจะไม่เละขนาดนี้ อาจจะเป็นเมื่อคืนฝนตกฟ้าร้องเสียงดัง มันคงนอนไม่หลับหรือตกใจเลยจัดเต็มซะขนาดนี้ ) ถังขยะถูกรื้อจนล้มคว่ำ สิ่งปฎิกูลข้างในกลิ้งออกมากองกับพื้น
มันช่างเป็นภาพ(และกลิ่น)ที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์นักสำหรับคนที่จะตื่นไปวัดแต่เช้า
การจะเดินฝ่าไปยังประตูหน้าบ้าน... มีเพียงวิธีเดียว คือ เขย่ง...ก้าว...กระโดด
ผมเดิน (เขย่ง ?) ออกจากบ้านมาเรียกรถด้วยอารมณ์หัวเสียสุดๆ ระหว่างรถแล่นไป ก็คิดไปตลอดทาง ว่าไอหมาบ้านี่หนอ มันช่างมาทำลายวันหยุดพักผ่อนของเราแท้ๆ กลับไปก็ต้องไปเช็ดกองอึฉี่ที่มันถ่ายไว้ซะเรี่ยราดยังกะเศษซากในสมรภูมิรบ ราวกับว่ามันจะแกล้งยั่วโมโหผมอยู่ก็ไม่ปาน ไม่รู้ไปทำเวรทำกรรมอะไรให้มัน
คอยดูเถอะ กลับไปบ้าน ได้มีเปิด'สมรภูมิ'ครั้งใหม่กับไอหมาเจ้ากรรมนายเวรตัวนี้แน่ๆ
ถึงวัดธรรม เอาของไปให้พ่อเรียบร้อยแล้ว ผมก็แวะไปนั่งสมาธิที่บริเวณหน้าพระพุทธรูป(หลวงพ่อองค์ดำ) เพื่อสงบสติอารมณ์อยู่ซักพักใหญ่ เสร็จแล้วก็เตรียมจะเดินกลับบ้าน
ระหว่างที่กำลังจะเดินกลับ ผมได้สะดุดตากับภาพเขียนหนึ่งบนผนังข้างหนึ่งของห้อง เลยเดินเข้าไปดู
มันเป็นภาพเขียนแสดงปริศนาธรรม เป็นรูปพระโพธิสัตว์นั่งสมาธิลอยอยู่เหนือโลก และก็มีบทบรรยายใต้ภาพประมาณว่า พระโพธิสัตว์ผู้มีใจบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งปรารถนาพุทธภูมิ แม้เคยอยู่ในโลกอันสกปรกเน่าเหม็น เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลมาแล้วทั้งสิ้น ทว่าท่านไม่ยึดถือ ไม่นำพา หรืออะไรประมาณนี้ เนี่ยแหละ
จริงๆภาพปริศนาธรรมพวกนี้ ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านผ่านตามาก่อนแล้ว (เพราะผ่านมาแถวนี้บ่อย) ..แต่พอได้อ่านอีกทีวันนี้มันเหมือนกับ "ปิ๊ง" ขึ้นมาเลยครับ เกิด'โอปนยิโก'(โดยไม่ได้ตั้งใจ) คือ จิตน้อมเข้าไปสู่ตน เข้าไปพิจารณาธรรม แม้จะไม่ได้แยบคายนัก แต่จิตใจที่หดหู่ห่อเหี่ยวเมื่อเช้า ก็พลันโล่งโปร่งเบาขึ้นมาเลยทีเดียว
ผมกลับบ้านไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญกับ 'สมรภูมิ' ที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า...
เปิดประตูบ้านออกมา กลิ่นงี้โชยมาเลยทีเดียว .... ผมไม่พูดพล่ามทำเพลงครับ คว้าทิชชู่กับถุงก๊อบแก๊บ ลงมือเก็บอึกับฉี่หมาทันที เก็บไปก็พิจารณาอสุภะไปครับ ได้สติดีซะอีก พิจารณาแล้วมันก็เห็น(ด้วยปัญญา) ว่าพวกสิ่งปฏิกูล ของเน่าเหม็นพวกนี้ มันก็คือธาตุสี่ (ดินน้ำลมไฟ) ดีๆนี่เองครับ ก็เราเองนั่นแหละที่ไปให้ค่า ว่ามันสกปรก น่ารังเกียจอย่างนู้นอย่างนี้ มันเป็นของธรรมชาติทั้งนั้น กินเข้าไปก็ต้องถ่ายออกมา หมามันเองก็คงไม่ตั้งใจ เราจะไปโกรธเกลียดมันทำไมกันเล่า มันก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเราด้วยกันทั้งนั้น ว่าแล้วผมก็เลยไปลูบหัวมัน แผ่เมตตาให้มันหายเจ็บป่วยไปด้วย
กลายเป็นว่า 'สมรภูมิ' ได้เปลี่ยนไปแล้วครับตอนนี้
เปลี่ยนจาก...'คน VS.หมา' ไปเป็น 'คน'(+สติ) VS.'กิเลส' ไปโดยปริยาย....
หากเมื่อครู่ที่ผมเข้าบ้าน ผมโมโหฉุนเฉียว ปล่อยให้กิเลสคอยชี้นิ้วบงการ ผมอาจจะกำลังวิ่งไล่ตีหมาอย่างโกรธแค้น แล้วไปตามเก็บอึเก็บฉี่หมาด้วยความชิงชังพลางด่าทอมันไปเรื่อย ....โอเค งานมันเสร็จเหมือนกัน แต่เช้าวันนั้นมันจะกลายเป็นเช้าวันอาทิตย์อันขมุกขมัว จิตใจเศร้าหมองราวกับไปเกลือกกลั้วสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นซะเอง
แต่...เพียงแค่ผมมีสติเท่านั้นแหละครับ
มันพลิกเลยนะครับคุณผู้อ่าน... มันกลายเป็นว่าผมได้ปฏิบัติธรรม ทำอสุภกรรมฐานไปในตัว ...ได้แผ่เมตตาให้หมา
....แล้วผมก็เก็บอึเก็บฉี่มันด้วยจิตใจที่สงบ งานก็เสร็จ และเช้านั้นก็กลายเป็นเช้าวันอาทิตย์อันเป็นมงคล เพราะได้ไปไหว้พระ นั่งสมาธิ และกลับมาปฏิบัติธรรมต่อที่บ้าน
...แถมได้บทความธรรมะมาเขียนให้คุณๆได้อ่านกันอีก
สุดท้ายนี้ อยากให้คุณผู้อ่านได้ลองเอาไปคิด พิจารณาดูนะครับ เวลามีใครมาทำให้คุณโกรธ จนอยากจะลุกไปไฝ้ว์.....คุณแน่ใจแล้วหรือว่า....
นั่นมันเป็นสมรภูมิ(ภายนอก) ระหว่าง 'คุณ' กับ 'เขา'?
หรือแท้จริงแล้ว ...มันเป็นสมรภูมิ(ภายใน) ระหว่าง 'คุณ' กับ 'กิเลส' กันแน่?
.........................
ธรรมรักษาครับ
ปล. ขอบพระคุณ หลวงพ่อองค์ดำ ที่ได้ประทาน 'ปัญญา' ให้ผมได้ไปต่อกรกับกิเลสในใจ