ก่อนปี 2516 คำพังเพยที่ว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง" ยังคงศักดิ์สิทธิ์อยู่ครับ
เพราะผู้ที่มีควบคุมอำนาจปกครองด้วยอาวุธทั้งหลายจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยเกือบทั้งหมด สินค้าอุปโภคบริโภคถูกปิดกั้นพื้นที่เป็นสัมปทานของท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายด้วยเหตุผลว่าเป็น "ยุทธปัจจัย" จึงได้มีการก่อตั้ง "องค์การ" ต่างๆภายใต้การควบคุมของรัฐ(ทหาร) เช่นองค์การแก้ว, องค์การยา, องค์การเชื้อเพลิง, องค์การฟอกหนัง, องค์แบตเตอรี่, องค์การทอผ้า...ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เอกชนที่เข้าถึงผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์รับสัมปทานช่วงไปผลิตภายใต้ "การดูแล" ของท่านผู้มีอำนาจวาสนาเหล่านั้น
การต่อสู้เพื่อให้คนไทยรู้จักคุณค่าของสิทธิพลเมืองภายใต้บรรยากาศท็อปบู้ทนั้น มักจะถูกเริ่มต้นจากนักหนังสือพิมพ์, ทนายและผู้นำชุมชนบางคนที่ยอมเสี่ยงชีวิต หลายคนต้องพลีชีพและอีกหลายคนต้องเข้าไปอยู่ในคุกเพราะอำนาจมืดโดยที่ "ประชาชน" ทั่วไปที่ไม่เข้าใจการต่อสู้พากันสมน้ำหน้าแล้วก็ดำรงชีพกันไปในกะลาที่ที่ผู้ยิ่งใหญ่ครอบเอาไว้ต่อไปโดยไม่รู้สึกว่าพวกตนได้สูญเสียอะไร อำนาจทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศจึงอยู่ในมือของผู้ดีตระกูลเก่าแก่, นายทหาร และพ่อค้าที่เข้าถึงศูนย์อำนาจ คำว่า "การค้าเสรี" ยังไม่เคยมีใครได้ยินเลยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งหลังปี 2516 เกิดเหตุ "วันมหาวิปโยค" รัฐบาลถนอม-ประภาสถูกโค่นล้ม ถึงแม้กองทัพจะยังพยายามยึดโยงโครงสร้างเดิมเอาไว้ได้ แต่การเรียกร้องความเป็นธรรมในด้านต่างๆถูกแพร่กระจายจนคุมเอาไว้ไม่อยู่ เกิดสหภาพต่างๆทั้งด้านสังคม, การเมืองและแรงงาน ความกร่างของ "ศูนย์นิสิตนักศึกษาประชาชน" ที่เที่ยวแสดงอภินิหารไปทั่วทำให้ความกลัวข้าราชการที่ฝังลึกในใจคนทั่วไปเริ่มลดลงบ้าง ด้านหนึ่งอาจจะหมั่นไส้นักศึกษาที่ควรจะใส่ใจการเรียนเพียงอย่างเดียวแต่กลับไปเรียกร้องอะไรต่ออะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ของ "เยาวชน" ตามที่ถูกฝังหัวในสังคม แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกเหมือนมีอิสระในการใช้ความคิดและการแสดงออกมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
การที่ศูนย์อำนาจต้องหนีออกจากประเทศช่วงแรกของเหตุการณ์ ทำให้ภายในกองทัพเองก็เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจในระดับหนึ่ง พวกที่ "จมูกไว" อย่างพ่อค้าที่ใกล้ชิดศูนย์อำนาจเก่าต้องติดตามสถานการณ์เพื่อจะได้แทงหวยไม่ผิดตัว พอเกิดการประนีประนอมกันเองในกลุ่มขุนศึกชั่วคราวเพื่อปฏิบัติการเอาคืนศูนย์นิสิตนักศึกษาก่อน ศูนย์อำนาจที่พ่อค้าหวังพึ่งพิงเพื่อรักษาอภิสิทธิ์จึงกระจายตัวออกไปแล้วไม่น้อย จำนวนของพ่อค้าที่อยู่ใกล้ศูนย์อำนาจจึงเพิ่มจำนวนขึ้นด้วย การแข่งขันใน "ระดับอภิสิทธิ์" จึงพลอยเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์ 14 ตุลาคมได้ทำให้อำนาจที่เคยรวมศูนย์อย่างจำกัดได้กระจายตัวออกอย่างกว้างขวาง โอกาสและการเข้าถึงสิทธิประกอบกิจการเริ่มถูกเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพราะการกีดกันโดยระบบราชการลดลง การประท้วงในหลายๆเรื่อง เช่น การชุมนุมขับไล่โรงงานอุตสาหกรรมของนักลงทุนชาวญี่ปุ่นด้วยเหตุผลการกดขี่แรงงานและการหลีกเลี่ยงจ่ายภาษีเพราะมีผู้ยิ่งใหญ่คุ้มครอง ทำให้เกิดมานะของนักลงทุนไทยที่เริ่มคิดก่อตั้งโรงงานขึ้นมาแข่งขันกับต่างชาติ การกระจายความรู้ทางเทคโนโลยีการผลิตและทักษะก็แพร่กระจายออกนอกโรงงานใหญ่ๆไม่กี่แห่งเดิมไปสู่สังคมแรงงานที่กว้างขวางกว่าเดิม เป็นครั้งแรกที่คำว่าการแข่งขันมีตัวตนจริงในสังคม
เมื่อถึงวันหนึ่งที่การสร้างความหมั่นไส้ในความกร่างของศูนย์นิสิตถูกปลุกสร้างขึ้นจนถึงระดับ ปฏิบัติการสร้างมวลชนกระทิงแดงและแนวร่วมลูกเสือชาวบ้านเป็นรูปร่างมีการจัดตั้งชัดเจน และการปลุกเร้าให้เกิดอารมณ์เกลียดชังคอมมิวนิสม์ได้ขยายไปจนพอกับการสร้างสถานการณ์แล้ว ปฏิบัติการ 6 ตุลาคม 2519 จึงเกิดขึ้นและสำเร็จ
สังคมไทยส่วนที่ไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจอนุรักษ์เองก็มักจะจำได้เพียงแง่มุมของการต่อสู้เผด็จการของประชาธิปไตย แต่ที่จริงแล้ว "คนชั้นกลาง" ที่ในยุคต่อมาคือกลุ่มที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือผลพวงที่ถูกสร้างจากเหตุการณ์นั้นเช่นกัน
แต่น่าเศร้าที่ชนชั้นกลางยุคหลังๆได้ลืมเลือนประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปกันเกือบหมด ในตำราการเรียนประวัติศาสตร์ไทยและวิชาสังคมศึกษาระดับประถมและมัธยมไม่เคยบรรจุเรื่องพวกนี้ด้วยความจงใจจากบางภาคส่วนที่มีอิทธิพลมาถึงวงการศึกษา 40 ปีที่ผ่านมาวิธีการเดิมๆแต่หุ้มเปลือกใหม่ๆตามยุคสมัยจึงยังหลอกคนที่เชื่อง่ายได้เสมอๆจนทุกวันนี้
ถ้าไม่มีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ประเทศไทยก็ไม่มี "คนชั้นกลาง"
เพราะผู้ที่มีควบคุมอำนาจปกครองด้วยอาวุธทั้งหลายจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยเกือบทั้งหมด สินค้าอุปโภคบริโภคถูกปิดกั้นพื้นที่เป็นสัมปทานของท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายด้วยเหตุผลว่าเป็น "ยุทธปัจจัย" จึงได้มีการก่อตั้ง "องค์การ" ต่างๆภายใต้การควบคุมของรัฐ(ทหาร) เช่นองค์การแก้ว, องค์การยา, องค์การเชื้อเพลิง, องค์การฟอกหนัง, องค์แบตเตอรี่, องค์การทอผ้า...ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เอกชนที่เข้าถึงผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์รับสัมปทานช่วงไปผลิตภายใต้ "การดูแล" ของท่านผู้มีอำนาจวาสนาเหล่านั้น
การต่อสู้เพื่อให้คนไทยรู้จักคุณค่าของสิทธิพลเมืองภายใต้บรรยากาศท็อปบู้ทนั้น มักจะถูกเริ่มต้นจากนักหนังสือพิมพ์, ทนายและผู้นำชุมชนบางคนที่ยอมเสี่ยงชีวิต หลายคนต้องพลีชีพและอีกหลายคนต้องเข้าไปอยู่ในคุกเพราะอำนาจมืดโดยที่ "ประชาชน" ทั่วไปที่ไม่เข้าใจการต่อสู้พากันสมน้ำหน้าแล้วก็ดำรงชีพกันไปในกะลาที่ที่ผู้ยิ่งใหญ่ครอบเอาไว้ต่อไปโดยไม่รู้สึกว่าพวกตนได้สูญเสียอะไร อำนาจทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศจึงอยู่ในมือของผู้ดีตระกูลเก่าแก่, นายทหาร และพ่อค้าที่เข้าถึงศูนย์อำนาจ คำว่า "การค้าเสรี" ยังไม่เคยมีใครได้ยินเลยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งหลังปี 2516 เกิดเหตุ "วันมหาวิปโยค" รัฐบาลถนอม-ประภาสถูกโค่นล้ม ถึงแม้กองทัพจะยังพยายามยึดโยงโครงสร้างเดิมเอาไว้ได้ แต่การเรียกร้องความเป็นธรรมในด้านต่างๆถูกแพร่กระจายจนคุมเอาไว้ไม่อยู่ เกิดสหภาพต่างๆทั้งด้านสังคม, การเมืองและแรงงาน ความกร่างของ "ศูนย์นิสิตนักศึกษาประชาชน" ที่เที่ยวแสดงอภินิหารไปทั่วทำให้ความกลัวข้าราชการที่ฝังลึกในใจคนทั่วไปเริ่มลดลงบ้าง ด้านหนึ่งอาจจะหมั่นไส้นักศึกษาที่ควรจะใส่ใจการเรียนเพียงอย่างเดียวแต่กลับไปเรียกร้องอะไรต่ออะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ของ "เยาวชน" ตามที่ถูกฝังหัวในสังคม แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกเหมือนมีอิสระในการใช้ความคิดและการแสดงออกมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
การที่ศูนย์อำนาจต้องหนีออกจากประเทศช่วงแรกของเหตุการณ์ ทำให้ภายในกองทัพเองก็เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจในระดับหนึ่ง พวกที่ "จมูกไว" อย่างพ่อค้าที่ใกล้ชิดศูนย์อำนาจเก่าต้องติดตามสถานการณ์เพื่อจะได้แทงหวยไม่ผิดตัว พอเกิดการประนีประนอมกันเองในกลุ่มขุนศึกชั่วคราวเพื่อปฏิบัติการเอาคืนศูนย์นิสิตนักศึกษาก่อน ศูนย์อำนาจที่พ่อค้าหวังพึ่งพิงเพื่อรักษาอภิสิทธิ์จึงกระจายตัวออกไปแล้วไม่น้อย จำนวนของพ่อค้าที่อยู่ใกล้ศูนย์อำนาจจึงเพิ่มจำนวนขึ้นด้วย การแข่งขันใน "ระดับอภิสิทธิ์" จึงพลอยเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์ 14 ตุลาคมได้ทำให้อำนาจที่เคยรวมศูนย์อย่างจำกัดได้กระจายตัวออกอย่างกว้างขวาง โอกาสและการเข้าถึงสิทธิประกอบกิจการเริ่มถูกเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพราะการกีดกันโดยระบบราชการลดลง การประท้วงในหลายๆเรื่อง เช่น การชุมนุมขับไล่โรงงานอุตสาหกรรมของนักลงทุนชาวญี่ปุ่นด้วยเหตุผลการกดขี่แรงงานและการหลีกเลี่ยงจ่ายภาษีเพราะมีผู้ยิ่งใหญ่คุ้มครอง ทำให้เกิดมานะของนักลงทุนไทยที่เริ่มคิดก่อตั้งโรงงานขึ้นมาแข่งขันกับต่างชาติ การกระจายความรู้ทางเทคโนโลยีการผลิตและทักษะก็แพร่กระจายออกนอกโรงงานใหญ่ๆไม่กี่แห่งเดิมไปสู่สังคมแรงงานที่กว้างขวางกว่าเดิม เป็นครั้งแรกที่คำว่าการแข่งขันมีตัวตนจริงในสังคม
เมื่อถึงวันหนึ่งที่การสร้างความหมั่นไส้ในความกร่างของศูนย์นิสิตถูกปลุกสร้างขึ้นจนถึงระดับ ปฏิบัติการสร้างมวลชนกระทิงแดงและแนวร่วมลูกเสือชาวบ้านเป็นรูปร่างมีการจัดตั้งชัดเจน และการปลุกเร้าให้เกิดอารมณ์เกลียดชังคอมมิวนิสม์ได้ขยายไปจนพอกับการสร้างสถานการณ์แล้ว ปฏิบัติการ 6 ตุลาคม 2519 จึงเกิดขึ้นและสำเร็จ
สังคมไทยส่วนที่ไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจอนุรักษ์เองก็มักจะจำได้เพียงแง่มุมของการต่อสู้เผด็จการของประชาธิปไตย แต่ที่จริงแล้ว "คนชั้นกลาง" ที่ในยุคต่อมาคือกลุ่มที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือผลพวงที่ถูกสร้างจากเหตุการณ์นั้นเช่นกัน
แต่น่าเศร้าที่ชนชั้นกลางยุคหลังๆได้ลืมเลือนประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปกันเกือบหมด ในตำราการเรียนประวัติศาสตร์ไทยและวิชาสังคมศึกษาระดับประถมและมัธยมไม่เคยบรรจุเรื่องพวกนี้ด้วยความจงใจจากบางภาคส่วนที่มีอิทธิพลมาถึงวงการศึกษา 40 ปีที่ผ่านมาวิธีการเดิมๆแต่หุ้มเปลือกใหม่ๆตามยุคสมัยจึงยังหลอกคนที่เชื่อง่ายได้เสมอๆจนทุกวันนี้